พบผลลัพธ์ทั้งหมด 517 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 563/2505
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตรวจคนเข้าเมือง: บุคคลต่างด้าวที่มีใบสำคัญถิ่นที่อยู่ต้องผ่านการตรวจเมื่อเข้ามาในราชอาณาจักร
บุคคลต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรต้องผ่านการตรวจของพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อนตาม พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง 2493มาตรา 21 นั้นหมายรวมถึงบุคคลต่างด้าวที่มีใบสำคัญถิ่นที่อยู่ และออกไปนอกราชอาณาจักรตาม มาตรา 26 แล้วเข้ามาในราชอาณาจักรด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 563/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านการตรวจของเจ้าหน้าที่ แม้มีเอกสารครบถิ่นที่อยู่และออกนอกประเทศ
บุคคลต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรต้องผ่านการตรวจของพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อน ตาม พระราชบัญญัติตรวจคนเข้าเมือง พ.ศ. 2493 มาตรา 21 นั้น หมายความรวมถึงบุคคลต่างด้าวที่มีใบสำคัญถิ่นที่อยู่และออกไปนอกราชอาณาจักรด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 562/2505
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีชิงทรัพย์ แม้สร้อยไม่เป็นของผู้เสียหายโดยตรง แต่โจทก์ได้รับมอบหมายให้ใช้
ผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้องคดีชิงทรัพย์สร้อยคอแม้จะไม่ได้ระบุว่าสร้อยนั้นเป็นของโจทก์ทั้งได้ความว่าเป็นของมารดาโจทก์ให้โจทก์ใส่แต่ก็บรรยายว่าจำเลยแย่งไปจากคอโจทก์ก็ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 562/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีชิงทรัพย์: ผู้ถูกแย่งทรัพย์จากตัว แม้ไม่ใช่เจ้าของทรัพย์ ก็มีอำนาจฟ้องได้
ผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้องคดีชิงทรัพย์สร้อยคอ แม้จะไม่ได้ระบุว่าสร้อยนั้นเป็นของโจทก์ ทั้งได้ความว่าเป็นของมารดาโจทก์ให้โจทก์สวมใส่ แต่ก็บรรยายว่า จำเลยแย่งไปจากคอโจทก์ ก็ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหาย มีอำนาจฟ้อง
บรรยายฟ้องว่า สร้อยคอที่จำเลยแบ่งไปราคา 21,000 บาท แล้วโจทก์นำสืบว่าราคา 2,100 บาทแต่คำขอท้ายฟ้องขอให้คืนหรือใช้ราคาเพียง 2,100 บาท เห็นได้ว่า ทีระบุในฟ้องตอนต้นว่าราคา 21,000 บาท นั้นเป็นการพลั้งเผลอไปมิใช่แตกต่างกันในสารสำคัญกับจะเป็นเหตุให้ยกฟ้อง
บรรยายฟ้องว่า สร้อยคอที่จำเลยแบ่งไปราคา 21,000 บาท แล้วโจทก์นำสืบว่าราคา 2,100 บาทแต่คำขอท้ายฟ้องขอให้คืนหรือใช้ราคาเพียง 2,100 บาท เห็นได้ว่า ทีระบุในฟ้องตอนต้นว่าราคา 21,000 บาท นั้นเป็นการพลั้งเผลอไปมิใช่แตกต่างกันในสารสำคัญกับจะเป็นเหตุให้ยกฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 519/2505
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กำหนดเวลาอุทธรณ์ภาษี เริ่มนับจากวันรับแจ้งคำวินิจฉัย ไม่ใช่วันที่เจ้าพนักงานสรรพากรปฏิเสธหลักฐาน
การอุทธรณ์คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งชี้ขาดเกี่ยวกับการประเมินภาษี นั้นให้อุทธรณ์ต่อศาลภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันได้รับแจ้งคำวินิจฉัย
ผู้ว่าราชการจังหวัดวินิจฉัยชี้ขาดอุทธรณ์ของโจทก์ และแจ้งให้โจทก์ทราบแล้วแต่โจทก์พยายามนำหลักฐานต่างๆ ไปแสดงต่อเจ้าพนักงานสรรพากรว่าได้ชำระภาษีแล้วเจ้าพนักงานสรรพากรบันทึกว่าหลักฐานที่โจทก์นำมาแสดงฟังไม่ได้โจทก์จะนับอายุความอุทธรณ์แต่วันทราบคำสั่งเจ้าพนักงานสรรพากรไม่ได้
ผู้ว่าราชการจังหวัดวินิจฉัยชี้ขาดอุทธรณ์ของโจทก์ และแจ้งให้โจทก์ทราบแล้วแต่โจทก์พยายามนำหลักฐานต่างๆ ไปแสดงต่อเจ้าพนักงานสรรพากรว่าได้ชำระภาษีแล้วเจ้าพนักงานสรรพากรบันทึกว่าหลักฐานที่โจทก์นำมาแสดงฟังไม่ได้โจทก์จะนับอายุความอุทธรณ์แต่วันทราบคำสั่งเจ้าพนักงานสรรพากรไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 519/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความอุทธรณ์ภาษี: บันทึกเจ้าพนักงานสรรพากรไม่ใช่คำวินิจฉัยชี้ขาดอุทธรณ์
การอุทธรณ์คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งชี้ขาดเกี่ยวกับการประเมินภาษีอากรที่อำเภอไม่มีหน้าที่ประเมินนั้น ให้อุทธรณ์ต่อศาลภายใน กำหนด 15 วัน นับแต่วันได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ เพราะกฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษเช่นนั้น
ผู้ว่าราชการจังหวัดวินิจฉัยชึ้ขาดศาลอุทธรณ์ของโจทก์และแจ้งให้โจทก์ทราบแล้ว แต่โจทก์ก็พยายามนำหลักฐานต่าง ๆ ไปแสดงต่อเจ้าพนักงานสรรพากรว่าได้ชำระภาษีนั้นแล้ว เจ้าพนักงานสรรพากรบันทึกว่าหลักฐานที่โจทก์นำมาแสดงฟังไม่ได้ โจทก์จะนับอายุอุทธรณ์แต่วันทราบคำสั่งเจ้าพนักงานสรรพากรไม่ได้ เพราะบันทึกของเจ้าพนักงานสรรพากรไม่ใช่คำวินิจฉัยชี้ขาดอุทธรณ์ของผู้ว่าราชการจังหวัดทั้งไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะวินิจฉัยอุทธรณ์แทนผู้ว่าราชการจังหวัดด้วย
ผู้ว่าราชการจังหวัดวินิจฉัยชึ้ขาดศาลอุทธรณ์ของโจทก์และแจ้งให้โจทก์ทราบแล้ว แต่โจทก์ก็พยายามนำหลักฐานต่าง ๆ ไปแสดงต่อเจ้าพนักงานสรรพากรว่าได้ชำระภาษีนั้นแล้ว เจ้าพนักงานสรรพากรบันทึกว่าหลักฐานที่โจทก์นำมาแสดงฟังไม่ได้ โจทก์จะนับอายุอุทธรณ์แต่วันทราบคำสั่งเจ้าพนักงานสรรพากรไม่ได้ เพราะบันทึกของเจ้าพนักงานสรรพากรไม่ใช่คำวินิจฉัยชี้ขาดอุทธรณ์ของผู้ว่าราชการจังหวัดทั้งไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะวินิจฉัยอุทธรณ์แทนผู้ว่าราชการจังหวัดด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 500/2505
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องรวมคดีเจ้าพนักงานจดบัญชีเท็จ เมื่อศาลแขวงฯมีคำสั่งให้ไต่สวนมูลฟ้องฐานเบียดบังทรัพย์แล้ว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงาน โดยเป็นข้าราชการชั้นจัตวาประจำแผนกบัญชีและพัสดุ มีหน้าที่ทำบัญชี จัดการเกี่ยวกับการเงิน ฯลฯ ได้ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต กล่าวคือได้ยักยอกเอาเงินของกรมโยธาเทศบาลไปจำนวนหนึ่ง ในการกระทำทุจริตของจำเลยปรากฏว่าจำเลยใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริตนำเช็คที่สั่งจ่ายให้ผู้อื่นไปเบิกเงินเอาไปใช้ส่วนตัว ทำให้สาธารณชนและกรมโยธาเทศบาลเสียหาย และเพื่อปกปิดการกระทำดังกล่าว จำเลยบังอาจจดจำนวนเงินผิดจากความจริงลงในทะเบียนบัญชีเงินสดฯ อันเป็นหนังสือสำคัญในราชการซึ่งอยู่ในหน้าที่ของจำเลย พนักงานสอบสวนได้ยื่นฟ้องต่อศาลแขวงฯ ให้ไต่สวนมูลฟ้องฐานเป็นเจ้าพนักงานเบียดบังเอาทรัพย์เป็นประโยชน์โดยเจตนาทุจริต ศาลแขวงสั่งคดีมีมูล เหตุที่โจทก์ฟ้องต่อศาลอาญาในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ทำหนังสือราชการเท็จมาด้วยนั้น เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวกันเกี่ยวพันกันและต่อเนื่องกับข้อเท็จจริงในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ทำบัญชีและรักษาทรัพย์ เบียดบังเอาทรัพย์นั้นโดยทุจริตที่ศาลแขวงสั่งมีมูลนั้น
วินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องความผิด ฐานเป็นเจ้าพนักงานจดบัญชีเท็จดังกล่าวนั้น รวมมาได้ตามมาตรา 16 แห่ง พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ พ.ศ. 2499
วินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องความผิด ฐานเป็นเจ้าพนักงานจดบัญชีเท็จดังกล่าวนั้น รวมมาได้ตามมาตรา 16 แห่ง พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ พ.ศ. 2499
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 437/2505
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเพื่อป้องกันตนเอง ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
นายเสริมผู้เสียหาย ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านเคยไกล่เกลี่ยเรื่องจำเลยกับผู้อื่นพิพาทกันเรื่องบุกรุก ทำให้เสียทรัพย์ แต่ไม่ตกลงกันต่อมานายถ่ายกำนัน นายหันผู้ใหญ่บ้าน มาดูที่เกิดเหตุและพูดไกล่เกลี่ยอีก จำเลยกับคู่กรณีไม่ยอมตกลงกัน จำเลยพูดต่อหน้านายถ่ายและนายหันว่า'ผู้ใหญ่เสริมไม่มีศีลธรรม ไม่ซื่อตรง จะกินเงินผม'และศาลฟังข้อเท็จจริงว่า นายเสริมได้พูดเรียกร้องเงิน 50 บาทจากจำเลยเกี่ยวกับการพิพาทของจำเลยจริงดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการแสดงข้อความโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม ป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรมไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 437/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแสดงความเห็นโดยสุจริตเพื่อปกป้องตนเอง ไม่เป็นความผิดหมิ่นประมาท
นายเสริฒผู้เสียหาย ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านเคยไกล่เกลี่ยเรื่องจำเลยกับผู้อื่นพิพาทกันเรื่องบุกรุก ทำให้เสียทรัพย์ แต่ให้ตกลงกัน ต่อมานายถ่ายกำนัน นายหันผู้ใหญ่บ้าน มาดูที่เกิดเหตุและพูดไกล่เกลี่ยอีก จำเลยกับคู่กรณีไม่ยอมตกลงกัน จำเลยพูดต่หน้านายถ่ายและนายหันว่า ผู้ใหญ่เสริมไม่มีศีลธรรม ไม่ซื่อตรง จะกินเงินผม และศาลฟังข้อเท็จจริงว่า นายเสริมได้พูดเรียกร้องเงิน 50 บาทจากจำเลยเกี่ยวกับการพิพาทของจำเลยจริง ดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการแสดงข้อความโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรมป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม ไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 391/2505
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาใหม่เกิดจากการตอบแทนหลังบอกเลิกสัญญาเดิม ไม่ใช่การให้โดยเสน่หา
โจทก์ได้เข้าทำสัญญารับเหมาก่อสร้างตลาดให้จำเลย แต่ทำไม่แล้วเสร็จตามกำหนด จำเลยจึงบอกเลิกสัญญา และว่าจะดำเนินการก่อสร้างเองต่อไปถ้ามีเงินเหลือจะคืนให้โจทก์ ให้โจทก์จัดการมอบหมายกิจการก่อสร้างตลาดทั้งหมดให้คณะกรรมการเพื่อเป็นการทุ่นรายจ่ายในการจัดซื้อต่อไปฝ่ายโจทก์ก็สนองรับ และได้มอบกิจการกับวัสดุก่อสร้างที่เหลืออยู่ ณ ที่ก่อสร้างและที่โจทก์เก็บไว้ที่อื่นให้คณะกรรมการทั้งโจทก์ได้เข้าเป็นลูกจ้างรายวัน เพื่อมีโอกาสดูแลควบคุมให้การใช้จ่ายเงินเป็นไปโดยสมควรและถูกต้อง เพื่อหวังจะได้เงินที่เหลือดังนี้ แสดงให้เห็นว่ามีการตอบแทนกันก่อให้เกิดเป็นสัญญาขึ้นใหม่ซึ่งมีผลบังคับได้มิใช่เป็นเรื่องจะให้เงินโดยเสน่หาอย่างใด