คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
คร้าม สิวายะวิโรจน์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 517 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 389-390/2505

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ รวมพิจารณาคดีความผิดเกี่ยวพันกัน, การชำระหนี้เงินกู้, และเช็คที่สั่งจ่ายโดยไม่มีมูลหนี้
คดีความผิดเกี่ยวพันกัน เป็นอำนาจของศาลที่จะพิจารณาพิพากษารวมกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 25 หาจำต้องมีคู่ความฝ่ายใดร้องขอไม่
จำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์โดยมูลหนี้เงินกู้ 2 ราย เมื่อเงินที่จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ ไม่พอชำระหนี้ได้หมดทั้ง 2 รายและจำเลยผู้เป็นลูกหนี้ก็ไม่ได้ระบุว่าชำระหนี้รายใดก็ต้องถือว่าหนี้รายไหนถึงกำหนดก่อนก็ให้หนี้รายนั้นเป็นอันได้เปลื้องไปก่อน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 328
การที่ผู้ออกเช็คห้ามมิให้ธนาคารใช้เงินตามเช็คโดยสุจริต เพราะมูลหนี้ตามเช็คนั้น ได้มีการชำระเงินให้แล้วก็ดี หรือ เช็คนั้นไม่ถูกต้องตามมูลหนี้ที่มีต่อกันก็ดียังหามีความผิดตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 389-390/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้เช็ค การพิจารณาคดีความเกี่ยวพัน และการปฏิเสธชำระหนี้โดยชอบธรรม
คดีความผิดเกี่ยวพันกัน เป็นอำนาจของศาลที่จะพิจารณาพิพากษารวมกันได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 25 หาจำต้องมีคู่ความฝ่ายใดร้องขอไม่
จำเลยกู้เงินโจทก์ 2 ครั้ง เพื่อนำไปลงทุนรับเหมาก่อสร้างอาคารของกรมตำรวจครั้งแรกกู้ 150,000 บาท จำเลยทำสัญญากู้และออกเช็คล่วงหน้าลงวันที่ 18 พ.ย. 2499 ลงจำนวนเงิน 150,000 บาท ให้โจทก์ไว้ กับทำหนังสือมอบฉันทะให้โจทก์ไปรับเงินค่าก่อสร้างจากกรมตำรวจด้วย ครั้งที่ 2 กู้ 490,000 บาท ทำสัญญากู้และออกเช็คล่วงหน้าลงวันที่ 28 ก.พ. 2500 ลงจำนวนเงิน 490,000 บาท กับทำหนังสือมอบฉันทะมอบให้โจทก์เหมือนอย่างกู้ครั้งแรก ต่อมาวันที่ 26 ก.ย. 2499 โจทก์นำใบมอบฉันทะนั้นไปรับเงินค่าก่อสร้างจากกรมตำรวจเป็นเงิน 249,000 บาท โดยโจทก์มิได้นำเงินนั้นมามอบให้จำเลยหรือเข้าบัญชีของจำเลยในธนาคาร จึงต้องถือว่าเป็นเงินที่จำเลยชำระหนี้ ให้โจทก์ในมูลหนี้เงินกู้ทั้ง 2 ราย และไม่พอชำระหนี้ได้หมดทั้ง 2 ราย เมื่อลูกหนี้ไม่ได้ระบุว่าชำระหนี้รายใด ก็ต้องถือว่า หนี้รายไหนถึงกำหนดก่อน เป็นอันได้เปลื้องไปก่อน ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 328 ดังนั้น หนี้เงินกู้รายแรกซึ่งถึงกำหนดชำระก่อน ก็ต้องถือว่าได้ถูกชำระหนี้หมดสิ้นไปแล้ว จำเลยย่อมมีสิทธิห้ามมิให้ธนาคารจ่ายเงินให้โจทก์ตามเช็คฉบับแรก นั้นได้ ส่วนเงินที่โจทก์รับแทนจำเลยจากกรมตำรวจนั้น เมื่อหักหนี้เงินกู้ทั้ง 2 รายแล้ว จำเลยคงเป็นหนี้โจทก์เพียง 391,000 บาท โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ให้เต็มจำนวน 490,000 บาท ตามเช็คฉบับหลังได้ เมื่อโจทก์เอาเช็คฉบับหลังไปขึ้นเงิน เพื่อเอาชำระหนี้ตนเกินกว่าที่ตนมีสิทธิจำเลยย่อมปฏิเสธชำระหนี้ได้ ฉะนั้น การที่จำเลยห้ามมิให้ธนาคารใช้เงินตามเช็คฉบับหลัง จึงไม่ใช่เป็นการห้ามโดยเจตนาทุจริต การที่โจทก์นำเช็ค 2 ฉบับ ดังกล่าวไปขึ้นเงินจากธนาคารไม่ได้ จำเลยจึงไม่มีความผิดตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ มาตรา 3

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 388/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกล่าวคำหยาบคายต่อหน้าธารกำนัล ไม่ถึงขั้นดูหมิ่น แต่เข้าข่ายทำให้เดือดร้อน
ถ้อยคำที่จำเลยร้องตะโกนกล่าววาจา แก่ผู้เสียหายซึ่งหน้าและต่อหน้าธารกำนัลในเวลากลางคืนว่า อ้ายชั้น มึงหากูความอาญาหรือ ลูกกะโปกกูไม่หด กูลูกนางจักร์ โว้ย ไม่ใช่ลูกบ้านน้ำเค็ม จะเอายังไงก็เอาชีวะ จะเอาอ้ายแจะติดคุกก็ได้ นั้น เป็นข้อความที่หยาบคายไม่สุภาพ แต่ไม่มีข้อความอันเป็นการดูหมิ่นนายชั้นผู้เสียหาย จึงไม่เป็นความผิดฐานดูหมิ่นซึ่งหน้าตามประมวลกฎหมายอาญา 393 แต่ถ้อยคำที่จำเลยกล่าวประกอบกับวิธักล่าวและเวลาที่จำเลยกล่าวย่อมทำให้นายชั้นผู้เสียหายได้รับความเดือดร้อนรำคาญ จึงเป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 397 (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 9/2505)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 388/2505

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การดูหมิ่นซึ่งหน้า vs. ความเดือดร้อนรำคาญ: ถ้อยคำหยาบคายไม่ถึงดูหมิ่น แต่สร้างความเดือดร้อนได้
ถ้อยคำที่จำเลยร้องตะโกนกล่าววาจาแก่ผู้เสียหายซึ่งหน้าและต่อหน้าธารกำนัลในเวลากลางคืนว่า'อ้ายชั้นมึงหากูความอาญาหรือลูกกะโปกกูไม่หดกูลูกนางจักร์โว้ยไม่ใช่ลูกบ้านน้ำเค็มจะเอายังไงก็เอาซีวะจะเอาอ้ายแจะติดคุกก็ได้' นั้นเป็นข้อความที่หยาบคายไม่สุภาพ แต่ไม่มีข้อความอันเป็นการดูหมิ่นนายชั้นผู้เสียหาย จึงไม่เป็นความผิดฐานดูหมิ่นซึ่งหน้าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 393 แต่ถ้อยคำที่จำเลยกล่าวประกอบกับวิธีกล่าวและเวลาที่จำเลยกล่าว ย่อมทำให้นายชั้นผู้เสียหายได้รับความเดือดร้อนรำคาญ จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา397 (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 9/2505)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 381/2505

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานยักยอกทรัพย์ของเจ้าพนักงาน: การจำกัดความรับผิดตาม ม.147 และความผิดตาม ม.158
จำเลยเป็นตำรวจกองบังคับการตำรวจรถไฟมีหน้าที่อารักขาพนักงานรถไฟสืบสวนคดี และถ่ายรูปประกอบคดีในเขตการรถไฟแต่กองบังคับการไม่มีปืนพกและกล้องถ่ายรูปใช้จึงให้จำเลยเบิกจากกองกำกับการตำรวจรถไฟเพื่อใช้ในราชการ เจ้าหน้าที่ได้มอบปืนพก 1 กระบอกและกล้องถ่ายรูป 1 กล้องให้แก่จำเลยไปเพื่อใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลย ต่อมาจำเลยหลบหนีราชการและได้เบียดบังเอาปืนและกล้องถ่ายรูปนั้นไว้เป็นของตนโดยทุจริตดังนี้จำเลยมิใช่เจ้าพนักงานซึ่ง ทำจัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 147แห่งประมวลกฎหมายอาญา จำเลยจึงไม่ผิดตามมาตรานี้แต่ผิดตามมาตรา 158

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 381/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานยักยอกทรัพย์ของเจ้าพนักงาน: หน้าที่ปกครองรักษาทรัพย์ตามมาตรา 147 และความผิดฐานลักทรัพย์ (มาตรา 158)
่จำเลยเป็นตำรวจกองบังคับการตำรวจรถไฟมีหน้าที่อารักขาพนักงานรถไฟ สืบสวนคดี และถ่ายรูปประกอบคีดในเขตการรถไฟ แต่กองบังคับการไม่มีปืนพกและกล้องถ่ายรูปใช้ จึงให้จำเลยเบิกจากกองกำกับการตำรวจรถไฟเพื่อใช้ในราชการ เจ้าหน้าที่ได้มอบปืนพก 1 กระบอก และกล้องรูป 1 กล้อง ให้แก่ จำเลยไปเพื่อใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลย ต่อมาจำเลยหลบหนีราชการและได้เบียดบังเอาปืนและกล้องถ่ายรูปนั้นไว้เป็นของตนโดยทุจริต ดังนี้ จำเลยมิใช่เจ้าพนักงานซึ่ง ทำจัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ดังบัญญัติไว้ในมาตรา 147 แห่ง ประมวลกฎหมายอาญา จำเลยจึงไม่ผิดตามมาตราซึ่ง แต่ผิดตามมาตรา 158

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 323/2505

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาแบ่งห้องแถว - ความรับผิดของคู่สมรสโดยไม่จดทะเบียน
ผู้ตายทำสัญญากับโจทก์ว่าจะปลูกห้องแถวแล้วแบ่งห้องให้โจทก์โดยโจทก์ยกที่ดินส่วนที่ปลูกห้องแถวให้ผู้ตายเป็นการตอบแทนจำเลยซึ่งอยู่กินกับผู้ตายฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรส และได้รู้เห็นมีส่วนได้เสียเป็นเจ้าของรวมในที่ดินที่ได้มาตามสัญญาด้วยเช่นนี้จำเลยก็ต้องรับผิดต่อโจทก์ที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญาดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 323/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าของร่วมทางพฤติการณ์ - สัญญาประนีประนอม - การรับผิดร่วม
ผู้ตายทำสัญญากับโจทก์กว่าจะปลูกห้องแถวแล้วแบ่งห้องให้ โดยโจทก์จะยกที่ดินส่วนที่ปลูกห้องแถวให้เป็นการตอบแทน จำเลยซึ่งอยู่กินกับผู้ตายฉันสามีภริยา โดยมิได้สมรสและได้รู้เห็นมีส่วนได้เสียเป็นเจ้าของรวมในที่ดิน ที่ได้มาตามสัญาด้วยเช่นนี้ จำเลยก็ต้องรับผิดต่อโจทก์ที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญานั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 272-273/2505

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การดูหมิ่นซึ่งหน้า: ถ้อยคำมีความหมายในเชิงชู้สาว แม้มีการสะกดผิดเล็กน้อย ก็ถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 393
จำเลยเป็นชายพูดต่อหน้าผู้เสียหายซึ่งเป็นภริยาผู้ใหญ่บ้านว่า 'เมียผู้ใหญ่บ้านนี้แต่งตัวสวยน่าอยากล่ำสักที'ซึ่งหมายความว่าผู้เสียหายแต่งตัวสวยอยากเย็ดสักทีนั้นคำที่จำเลยกล่าว และวิธีที่จำเลยกล่าว ฟังได้ว่าเป็นการดูหมิ่นผู้เสียหายซึ่งหน้าแล้ว (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 8/2505

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 272-273/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การดูหมิ่นซึ่งหน้า: ถ้อยคำที่มีนัยยะทางเพศถือเป็นการดูหมิ่น แม้จะมีความผิดพลาดในการใช้คำ
จำเลยเป็นชายพูดต่อหน้าผู้เสียหายซึ่งเป็นภริยาผู้ใหญ่บ้านว่า เมียผู้ใหญ่บ้านนี้แต่งตัวสวยน่าอยากล่ำสักที ซึ่งหมายความว่า ผู้เสียหายแต่งตัวสวยอยากเย็ดสักทีนั้น คำที่จำเลยกล่าว และวิธีที่จำเลยกล่าว ฟังได้ว่า เป็นการดูหมิ่นผู้เสียหายซึ่งหน้าแล้ว (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 8/2505)
of 52