พบผลลัพธ์ทั้งหมด 679 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 437/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความเสียหายจากการผิดสัญญาเช่า: ความเสียหายปกติ vs. พฤติการณ์พิเศษ
การที่จำเลยสัญญาจะให้โจทก์เช่าที่ดินซึ่งจำเลยกำลังฟ้องขับไล่ผู้เช่าเดิมออก และโจทก์ได้ให้มัดจำแก่จำเลยและเข้าครอบครองที่ดินนั้นแล้ว โดยจำเลยสัญญาว่าถ้าเสร็จคดี จะเรียกโจทก์มาทำสัญญาจดทะเบียนการเช่า ต่อมาเมื่อเสร็จคดี จำเลยกลับผิดสัญญานั้น ค่าเสียหายที่โจทก์ต้องถูกปรับเพราะไม่อาจโอนสิทธิการเช่าที่ดินเดิมที่โจทก์เช่าอยู่ รวมทั้งขายบ้านให้บุคคลอื่นได้ มิใช่เป็นความเสียหายที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้น โจทก์จึงเรียกค่าเสียหายนี้จากจำเลยไม่ได้
ส่วนเงินที่โจทก์ต้องเสียไปเป็นค่าทำรั้วในที่ดินที่จำเลยสัญญาจะให้โจทก์เช่า โดยจำเลยยอมให้โจทก์ทำได้นั้น เมื่อจำเลยผิดสัญญาย่อมถือว่าเป็นความเสียหายในพฤติการณ์พิเศษ ซึ่งจำเลยคาดเห็นหรือควรจะได้คาดเห็นล่วงหน้าก่อนแล้วโจทก์จึงเรียกค่าเสียหายนั้นจากจำเลยได้
ส่วนเงินที่โจทก์ต้องเสียไปเป็นค่าทำรั้วในที่ดินที่จำเลยสัญญาจะให้โจทก์เช่า โดยจำเลยยอมให้โจทก์ทำได้นั้น เมื่อจำเลยผิดสัญญาย่อมถือว่าเป็นความเสียหายในพฤติการณ์พิเศษ ซึ่งจำเลยคาดเห็นหรือควรจะได้คาดเห็นล่วงหน้าก่อนแล้วโจทก์จึงเรียกค่าเสียหายนั้นจากจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 422/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลบล้างมลทินโทษกักกัน และการเพิ่มโทษซ้ำโดยอาศัยโทษกักกันเดิมที่ไม่สามารถนำมาใช้เพิ่มโทษได้
ก่อนใช้ประมวลกฎหมายอาญา พระราชบัญญัติกักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย พ.ศ.2479 มาตรา 5 บัญญัติให้ถือกักกันเป็นโทษอาญาสถานหนึ่ง เมื่อใช้ประมวลกฎหมายอาญาแล้ว ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 15 ให้เปลี่ยนโทษกักกันมาเป็นวิธีการเพื่อความปลอดภัยโทษกักกันจึงไม่ใช่โทษอาญาเสียแล้ว แต่บทบัญญัติมาตรา 15 นี้ย่อมไม่ย้อนหลังไปบังคับถึงโทษกักกันที่ได้เสร็จสิ้นพ้นโทษไปแล้ว
จำเลยเคยต้องคำพิพากษาให้กักกันมีกำหนด 3 ปี พ้นโทษไปเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2498 ก่อนใช้พระราชบัญญัติล้างมลทินฯ พ.ศ.2499 และก่อนใช้ประมวลกฎหมายอาญา ดังนี้ โทษกักกันที่จำเลยได้รับเสร็จสิ้นไปแล้วก่อนประมวลกฎหมายอาญาออกใช้ ก็คงถือเป็นโทษอยู่ ย่อมได้รับการล้างมลทินโดยพระราชบัญญัติล้างมลทินฯ พ.ศ.2499 มาตรา 3 จะกักกันจำเลยโดยอาศัยเหตุที่จำเลยเคยถูกกักกันมาแล้วตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 41 อีกหาได้ไม่
จำเลยเคยต้องคำพิพากษาให้กักกันมีกำหนด 3 ปี พ้นโทษไปเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2498 ก่อนใช้พระราชบัญญัติล้างมลทินฯ พ.ศ.2499 และก่อนใช้ประมวลกฎหมายอาญา ดังนี้ โทษกักกันที่จำเลยได้รับเสร็จสิ้นไปแล้วก่อนประมวลกฎหมายอาญาออกใช้ ก็คงถือเป็นโทษอยู่ ย่อมได้รับการล้างมลทินโดยพระราชบัญญัติล้างมลทินฯ พ.ศ.2499 มาตรา 3 จะกักกันจำเลยโดยอาศัยเหตุที่จำเลยเคยถูกกักกันมาแล้วตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 41 อีกหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 422/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
โทษกักกันที่พ้นโทษแล้วก่อนใช้ประมวลกฎหมายอาญา ย่อมได้รับการล้างมลทินตาม พ.ร.บ.ล้างมลทินฯ และไม่อาจนำมาเพิ่มโทษซ้ำได้
ก่อนใช้ประมวลกฎหมายอาญา พระราชบัญญัติกักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย พ.ศ.2479 มาตรา 5 บัญญัติให้ถือกักกันเป็นโทษอาญาสถานหนึ่ง เมื่อใช้ประมวลกฎหมายอาญาแล้ว ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 15 ให้เปลี่ยนโทษกักกันมาเป็นวิธีการเพื่อความปลอดภัย โทษกักกันจึงไม่ใช่โทษอาญาเสียแล้ว แต่บทบัญญัติมาตรา 15 นี้ย่อมไม่ย้อนหลังไปบังคับถึงโทษกักกันที่ได้เสร็จสิ้นพ้นโทษไปแล้ว
จำเลยเคยต้องคำพิพากษาให้กักกันมีกำหนด 3 ปี พ้นโทษไปเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2498 ก่อนใช้พระราชบัญญัติล้างมลทิน ฯ พ.ศ. 2499 และก่อนใช้ประมวลกฎหมายอาญา ดังนี้ โทษกักกันที่จำเลยได้รับเสร็จสิ้นไปแล้วก่อนประมวลกฎหมายอาญาออกใช้ ก็คงถือเป็นโทษอยู่ ย่อมได้รับการล้างมลทินโดยพระราชบัญญัติล้างมลทินฯ พ.ศ.2499 มาตรา 3 จะกักกันจำเลยโดยอาศัยเหตุที่จำเลยเคยถูกกักกันมาแล้วตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 41 อีก หาได้ไม่.
จำเลยเคยต้องคำพิพากษาให้กักกันมีกำหนด 3 ปี พ้นโทษไปเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2498 ก่อนใช้พระราชบัญญัติล้างมลทิน ฯ พ.ศ. 2499 และก่อนใช้ประมวลกฎหมายอาญา ดังนี้ โทษกักกันที่จำเลยได้รับเสร็จสิ้นไปแล้วก่อนประมวลกฎหมายอาญาออกใช้ ก็คงถือเป็นโทษอยู่ ย่อมได้รับการล้างมลทินโดยพระราชบัญญัติล้างมลทินฯ พ.ศ.2499 มาตรา 3 จะกักกันจำเลยโดยอาศัยเหตุที่จำเลยเคยถูกกักกันมาแล้วตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 41 อีก หาได้ไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 420-421/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีอาญาของผู้ตาย: ภรรยาฟ้องแทนสามีที่ประมาทเองไม่ได้
ภรรยาเข้าเป็นโจทก์แทนสามีซึ่งถึงแก่ความตายฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์โดยประมาททำให้สามีโจทก์และคนอื่นถึงแก่ความตาย เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าคนตายเพราะรถชนกันจากความประมาทของจำเลยและสามีโจทก์ด้วยกันแล้ว สามีโจทก์จึงเป็นผู้กระทำผิดฐานขับรถโดยประมาทจนเป็นเหตุให้คนตายอันจะต้องรับโทษทางอาญาด้วยผู้หนึ่ง จึงไม่เป็นผู้เสียหาย โจทก์ฟ้องจำเลยได้ก็โดยเข้าฟ้องแทนสามีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5(2) เมื่อสามีไม่เป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 2(4) โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 417/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งข้อเท็จจริงต่อผู้บังคับบัญชาเพื่อป้องกันความเสียหายในคดีอาญา ไม่ถือเป็นการหมิ่นประมาท
การที่จำเลยมีหนังสือถึงผู้บังคับบัญชาสูงสุดของโจทก์โดยมุ่งประสงค์ชี้แจงให้ทราบว่าจำเลยได้ฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญาต่อศาลแล้ว ขอให้หาทางป้องกันมิให้โจทก์ทำหลักฐานว่าในวันกล่าวหาโจทก์ปฏิบัติราชการอยู่ และหาทางป้องกันมิให้การกระทำผิดตามที่ได้ฟ้องไว้เกิดขึ้นอีกเช่นนี้เป็นการกระทำโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม เพื่อป้องกันส่วนได้เสียของจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329(1) แล้ว จำเลยไม่มีความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 417/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งข้อเท็จจริงต่อผู้บังคับบัญชาเพื่อป้องกันความเสียหายในคดีอาญา ไม่ถือเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
การที่จำเลยมีหนังสือถึงผู้บังคับบัญชาสูงสุดของโจทก์โดยมุ่งประสงค์ชี้แจงให้ทราบว่า จำเลยได้ฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญาต่อศาลแล้ว ขอให้หาทางป้องกันมิให้โจทก์ทำหลักฐานว่าในวันกล่าวหาโจทก์ปฏิบัติราชการอยู่ และหาทางป้องกันมิให้การกระทำผิดตามที่ได้ฟ้องไว้เกิดขึ้นอีก เช่นนี้ เป็นการกระทำโดยสุจริต เพื่อความชอบธรรม เพื่อป้องกันส่วนได้เสียของจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 329(1)แล้ว จำเลยไม่มีความผิด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 409-412/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ แม้ผู้โอนเสียชีวิตและผู้รับมรดกจดทะเบียนภายหลัง
เจ้าของที่ดินยกที่ดินมีโฉนดให้ผู้อื่นโดยมิได้จดทะเบียนผู้รับให้ได้ครอบครองมาโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของกว่า 10 ปีแล้ว ย่อมได้กรรมสิทธิ์ ต่อมาเจ้าของที่ดินตาย ผู้รับมรดกของเจ้าของที่ดินแม้จะได้จดทะเบียนโอนรับมรดกที่ดินแปลงนี้ถึงวันที่ผู้ครอบครองฟ้องยังไม่เกิน 10 ปี ก็ไม่มีสิทธิดีกว่าผู้ที่ได้ที่ดินโดยการครอบครอง เพราะผู้รับมรดกมิใช่เป็นผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 396/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คเล่นแชร์: การห้ามจ่ายเงินไม่เป็นเจตนาทุจริตหากมีสิทธิหักหนี้
การที่จำเลยออกเช็คให้นายวงในการเล่นแชร์เพียงเพื่อเป็นหลักฐานที่นายวงจะเรียกเก็บเงินไปให้แก่ผู้ที่เปียได้ มิใช่เพื่อให้ใช้เงินทันที แล้วจำเลยห้ามธนาคารจ่ายเงินตามเช็คไว้ เพราะนายวงไม่ชำระเงินให้จำเลยครบตามจำนวนที่จำเลยเปียได้นั้น หาใช่เป็นการห้ามธนาคารมิให้ใช้เงินตามเช็คโดยทุจริตไม่ เพราะจำเลยมีสิทธิที่จะหักหนี้กับนายวงแชร์ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 340/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานทำร้ายประชาชนแล้วอ้างเป็นเหตุปฏิบัติหน้าที่โดยชอบธรรม ไม่เป็นความผิด ม.157
จำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจไม่พอใจที่เห็นภริยาเล่นไพ่อยู่กับโจทก์และพวกจึงเข้าไปอาละวาดกลางวงไพ่และเตะโจทก์แล้วจำเลยทำทีขอตรวจใบอนุญาตเพื่อกลบเกลื่อนการกระทำของจำเลยยังถือไม่ได้ว่าจำเลยปฏิบัติการตามหน้าที่โดยมิชอบ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
โจทก์ได้พูดต่อว่าจำเลย จำเลยจึงเดินเข้าไปจะเตะโจทก์อีกโจทก์จึงเอากระโถนขว้างจำเลยแล้วเกิดกอดปล้ำสมัครใจวิวาทกัน ถือได้ว่าเป็นเหตุการณ์ตอนหลัง โจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายฟ้องจำเลยฐานทำร้ายร่างกายในความผิดซึ่งจำเลยกระทำต่อโจทก์ในตอนแรกได้
โจทก์ได้พูดต่อว่าจำเลย จำเลยจึงเดินเข้าไปจะเตะโจทก์อีกโจทก์จึงเอากระโถนขว้างจำเลยแล้วเกิดกอดปล้ำสมัครใจวิวาทกัน ถือได้ว่าเป็นเหตุการณ์ตอนหลัง โจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายฟ้องจำเลยฐานทำร้ายร่างกายในความผิดซึ่งจำเลยกระทำต่อโจทก์ในตอนแรกได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 328/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่ผู้เช่าในการดูแลทรัพย์สิน และความรับผิดจากเหตุเพลิงไหม้
ผู้เช่ามีหน้าที่จำต้องสงวนทรัพย์สินที่เช่าเสมอกับวิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สินของตนเอง ในกรณีที่ผู้เช่ากระทำการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติป้องกันและระงับอัคคีภัยมีการสะสมนุ่นไว้ในห้องเช่าเกินกว่าจำนวนที่กฎหมายกำหนดเก็บนุ่นไว้ห่างเตาไฟไม่ถึง 4 เมตร และห้องนั้นมิได้มีผนังและพื้นที่ทำด้วยซีเมนต์ทั้งมิได้จัดหาเครื่องดับเพลิงเพื่อป้องกันและระงับอัคคีภัยด้วย เมื่อเกิดเพลิงไหม้กระสอบนุ่นที่เก็บไว้ในห้องเช่าแล้วลามไหม้ห้องเช่าหมดแม้ผู้ให้เช่าจะนำสืบไม่ได้ว่าไฟเกิดขึ้นเพราะเหตุใดเช่นนี้ ต้องถือว่าผู้เช่าประมาทเลินเล่อขาดความระมัดระวังผู้เช่าจะต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ให้เช่า