คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สนิท สุมาวงศ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 679 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 234/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลเหนือค่าธรรมเนียมบังคับคดี: เจ้าพนักงานบังคับคดีต้องปฏิบัติตามคำสั่งศาล
ค่าธรรมเนียมในการยึดทรัพย์ แม้เจ้าพนักงานบังคับคดีจะเป็นผู้กำหนดและเรียกเก็บตามกฎหมายก็ตาม ถ้าไม่ตกลงกันคู่ความหรือผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีก็มีสิทธิเสนอเรื่องต่อศาล ซึ่งจะสั่งอนุญาตหรือให้ยกคำขอเสียก็ได้
อำนาจอันเกี่ยวด้วยการบังคับคดีเป็นอำนาจของศาลเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นเพียงเจ้าพนักงานของศาลเท่านั้น ย่อมไม่มีอำนาจเข้ามาเป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือเป็นคู่ความได้ ฉะนั้น เมื่อศาลสั่งไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการยึดแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีก็ต้องปฏิบัติไปตามนั้น จะใช้สิทธิอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 234/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าธรรมเนียมยึดทรัพย์: ศาลมีอำนาจวินิจฉัย ชี้ขาด แม้เจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นผู้กำหนดอัตรา
ค่าธรรมเนียมในการยึดทรัพย์ แม้เจ้าพนักงานบังคับคดีจะเป็นผู้กำหนดและเรียกเก็บตามกฎหมายก็ตาม ถ้าไม่ตกลงกัน คู่ความหรือผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีก็มีสิทธิเสนอเรื่องต่อศาล ซึ่งจะสั่งอนุญาตหรือให้ยกคำขอเสียก็ได้
อำนาจอันเกี่ยวด้วยการบังคับคดีเป็นอำนาจของศาล เจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นเพียงเจ้าพนักงานของศาลเท่านั้น ย่อมไม่มีอำนาจเข้ามาเป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือเป็นคู่ความได้ ฉะนั้น เมื่อศาลสั่งไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการยึดแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีก็ต้องปฏิบัติไปตามนั้น จะใช้สิทธิอุทธรณ์ฎีกาไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 231/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจเจ้าพนักงานอนุญาตทำเหมืองแร่และการไม่สอดแทรกของศาล
การที่จะอนุญาตให้ผู้หนึ่งผู้ใดทำเหมืองแร่นั้น เป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานตามพระราชบัญญัติการทำเหมืองแร่โดยตรง เจ้าพนักงานผู้พิจารณาเรื่องราวตามพระราชบัญญัตินี้ มีอำนาจที่จะใช้ดุลพินิจอนุญาตหรือไม่อนุญาตก็ได้ ศาลย่อมจะไม่พึงใช้อำนาจเข้าไปสอดแทรกแต่ประการใด
การปฏิบัติของเจ้าพนักงานในการพิจารณาเรื่องราวขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ทันทีและใช้ดุลพินิจสั่งการอันถือว่าเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 231/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ดุลพินิจเจ้าพนักงานอนุญาตทำเหมืองแร่ ศาลไม่แทรกแซงหากชอบด้วยกฎหมาย
การที่จะอนุญาตให้ผู้หนึ่งผู้ใดทำเหมืองแร่นั้นเป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนักงานตามพระราชบัญญัติการทำเหมืองแร่โดยตรง เจ้าพนักงานผู้พิจารณาเรื่องราวตามพระราชบัญญัตินี้ มีอำนาจที่จะใช้ดุลพินิจอนุญาตหรือไม่อนุญาตก็ได้ ถ้าเจ้าพนักงานได้ปฏิบัติการไปโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ศาลย่อมจะไม่พึงใช้อำนาจเข้าไปสอดแทรกแต่ประการใด
การปฏิบัติของเจ้าพนักงานในการพิจารณาเรื่องราวขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ทับที่และใช้ดุลพินิจสั่งการอันถือว่าเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 201/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนิยามคำว่า 'ยา' ตาม พ.ร.บ.ขายยา พิจารณาจากความมุ่งหมายในการใช้ ไม่ใช่ผลลัพธ์การรักษา
คำว่า 'ยา' ตามพระราชบัญญัติการขายยา พ.ศ.2493มาตรา4 นั้น หาได้อยู่ที่ว่าวัตถุนั้นจะบำบัดรักษาหรือป้องกันโรคได้จริงหรือไม่ แต่อยู่ที่ความมุ่งหมายในการใช้ฉะนั้น กำไลแหวน และสร้อย ซึ่งมุ่งหมายจะใช้เพื่อบำบัดรักษาและป้องกันโรคจึงเป็นยาตามความหมายแห่งกฎหมายดังกล่าวและเมื่อผู้ใดโฆษณาหรือขายวัตถุเหล่านี้โดยมิได้รับอนุญาตก็ย่อมมีความผิด(ประชุมใหญ่ ครั้งที่42/2504)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 201/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำหน่ายวัตถุที่มีเจตนาใช้บำบัดโรค ถือเป็น 'ยา' ตาม พ.ร.บ.ขายยา แม้จะไม่ได้ผลจริง
คำว่า "ยา" ตามพระราชบัญญัติการขาย พ.ศ. 2493 มาตรา 4 นั้น หาได้อยู่ที่ว่าวัตถุนั้นจะบำบัดรักษาหรือป้องกันโรคได้จริงหรือไม่ แต่อยู่ที่ความมุ่งหมายในการใช้ ฉะนั้น กำไลแหวนและสร้อยซึ่งมุ่งหมายจะใช้ป้องกันโรค จึงเป็นยาตามความหมายแห่งกฎหมายดังกล่าว และเมื่อผู้ใดโฆษณาหรือขายวัตถุเหล่านี้โดยมิได้รับอนุญาต ก็ย่อมมีความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 182/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าค้าขาย-ที่อยู่อาศัย: ไม่คุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า แม้มีกฎหมายใหม่
สัญญาเช่าห้องแถวระบุว่า ให้เช่าเป็นที่อยู่และค้าขายแต่ตามข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้เช่าเช่าด้วยเจตนาประกอบธุรกิจการค้าเป็นส่วนสำคัญ แม้จะใช้เป็นที่อยู่อาศัยด้วยก็ไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขันฯ
เมื่อคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา มีพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดินฯ ออกใช้บังคับ ผู้เช่าก็ไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายใหม่ เพราะคดีพิพาทกันก่อนกฎหมายใหม่ออกใช้ ทั้งตามข้อเท็จจริง ผู้เช่าก็ไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายใหม่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 182/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเช่าเพื่อค้าขายย่อมไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายควบคุมค่าเช่า แม้ใช้เป็นที่อยู่อาศัยด้วย
สัญญาเช่าห้องแถวระบุว่า ให้เช่าเป็นที่อยู่และค้าขาย แต่ตามข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้เช่าเช่าด้วยเจตนาประกอบธุรกิจการค้าเป็นส่วนสำคัญ แม้จะใช้เป็นที่อยู่อาศัยด้วย ก็ไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน พ.ศ. 2489
เมื่อคดีนี้อยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา มีพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดินออกใช้บังคับ ผู้เช่าก็ไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายใหม่ เพราะคดีนี้พิพาทกันก่อนพระราชบัญญัติดังกล่าวออกใช้ ทั้งคดีก็ฟังได้ว่าผู้เช่าได้ใช้ห้องพิพาทโดยเจตนาเพื่อประกอบธุรกิจการค้าด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 175/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีอาญา: ผู้ถือหุ้นฟ้องแทนบริษัทต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 5(3) และต้องมีหลักฐานการกระทำความผิด
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยยักยอกเงินของบริษัท แต่ขณะที่ฟ้องนี้โจทก์เป็นเพียงผู้ถือหุ้น โดยถ้อยคำและความหมายย่อมชัดเจนอยู่ว่าไม่ใช่ผู้จัดการหรือผู้แทนอื่นๆ ของบริษัท อันจะฟ้องความหรือจัดการแทนบริษัทในคดีอาญาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5(3) จะขอให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาบังคับก็ไม่มีทางจะอนุโลมได้ และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1169 ที่โจทก์อ้างมาก็เป็นเรื่องฟ้องเรียกเอาสินไหมทดแทนแก่กรรมการอันเป็นเรื่องทางแพ่ง
ศาลไม่จำเป็นจะต้องวินิจฉัยปัญหาทุกข้อ เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทำผิดจริงตามฟ้องแล้ว จะไม่วินิจฉัยข้อกฎหมายเรื่องอำนาจฟ้องก็ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 175/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีอาญาของผู้ถือหุ้น และการวินิจฉัยข้อกฎหมายหลังฟังข้อเท็จจริงไม่สมฟ้อง
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยยักยอกเงินของบริษัท แต่ขณะที่ฟ้องนี้โจทก์เป็นเพียงผู้ถือหุ้น โดยถ้อยคำและความหมายย่อมชัดเจนอยู่ว่าไม่ใช่ผู้จัดการหรือผู้แทนอื่น ๆ ของบริษัทอันจะฟ้องความหรือจัดการแทนบริษัทในคดีอาญาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5 (3) จะขอให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาบังคับก็ไม่มีทางจะอนุโลมได้ และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1169 ที่โจทก์อ้างมาก็เป็นเรื่องฟ้องเรียกเอาสินไหมทดแทนแก่กรรมการอันเป็นเรื่องทางแพ่ง
ศาลไม่จำเป็นจะต้องวินิจฉัยปัญหาทุกข้อ เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทำผิดจริงตามฟ้องแล้ว จะไม่วินิจฉัยข้อกฎหมายเรื่องอำนาจฟ้องก็ได้
of 68