คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สนิท สุมาวงศ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 679 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1884/2505

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินมือเปล่าและสิทธิครอบครอง แม้คดีขาดอายุความแล้ว สิทธิครอบครองยังคงอยู่
การซื้อขายที่ดินมือเปล่า เมื่อผู้ขายได้สละสิทธิครอบครองโดยมอบที่ดินให้ผู้ซื้อเข้าครอบครองแล้ว ผู้ซื้อก็ได้สิทธิครอบครองทันที
เมื่อผู้ซื้อได้สิทธิครอบครองในที่มือเปล่าแล้ว ข้อที่ผู้ซื้อเรียกให้ทายาทผู้ขายปฏิบัติตามสัญญาซื้อขายเมื่อเกินกำหนด 1 ปี นับแต่วันผู้ขายตาย คดีขาดอายุความแล้วก็ตาม ก็ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1854/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีสัญชาติ: การพิสูจน์สัญชาติไทยและการโต้แย้งสิทธิโดยเจ้าหน้าที่
โจทก์เดินทางเข้ามาในประเทศไทยโดยถือหนังสือสำคัญแสดงรูปพรรณว่าเป็นคนจีน กองตรวจคนเข้าเมืองกรมตำรวจอนุญาตให้โจทก์อยู่ได้ชั่วคราว โจทก์ได้ยื่นคำร้องต่อกองตรวจคนเข้าเมืองขอพิสูจน์สัญชาติว่าเป็นคนไทย โดยยื่นเมื่ออยู่ในประเทศไทยแล้ว กองตรวจคนเข้าเมืองและกรมตำรวจไม่สั่งประการใด โจทก์รออยู่หลายเดือนไม่ได้รับทราบ จึงยื่นฟ้องอธิบดีกรมตำรวจและหัวหน้ากองตรวจคนเข้าเมืองเป็นจำเลย ขอให้ศาลสั่งแสดงว่าโจทก์มีสัญชาติไทย และให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่สั่งให้โจทก์ออกไปจากประเทศไทย ดังนี้ ย่อมเห็นได้ว่า เมื่อครบกำหนดเวลาที่จำเลยอนุญาตแล้ว โจทก์ก็ต้องเดินทางกลับออกไป เพราะจำเลยถือว่าโจทก์มีสัญชาติจีน ทั้งที่โจทก์ก็ยืนยันอยู่ว่าเขาเป็นคนไทย มีสิทธิอยู่ในประเทศไทยได้ เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
โจทก์ถือว่าตนเป็นคนไทยออกไปต่างประเทศโดยมิได้ทำหนังสือเดินทาง เมื่อจะกลับได้ไปแสดงต่อกงสุลไทย ณ เมืองฮ่องกงว่าโจทก์เป็นคนไทย แต่กงสุลไทยไม่ออกหนังสือเดินทางให้ โจทก์ต้องการเข้ามาพิสูจน์สัญชาติว่าเป็นคนไทยจึงต้องทำหนังสือสำคัญแสดงว่าเป็นคนจีนขอเดินทางเข้ามาอยู่ในประเทศไทยชั่วคราว เมื่อได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่แล้ว โจทก์ก็ขอให้พิสูจน์สัญชาติไทย ดังนี้ หาเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1854/2505

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีสัญชาติ: การพิสูจน์สัญชาติและการโต้แย้งสิทธิโดยเจ้าหน้าที่
โจทก์เดินทางเข้ามาในประเทศไทยโดยถือหนังสือสำคัญแสดงรูปพรรณว่าเป็นคนจีน กองตรวจคนเข้าเมืองกรมตำรวจอนุญาตให้โจทก์อยู่ชั่วคราว โจทก์ได้ยื่นคำร้องต่อกองตรวจคนเข้าเมืองขอพิสูจน์สัญชาติว่าเป็นคนไทย โดยยื่นเมื่ออยู่ในประเทศไทยแล้ว กองตรวจคนเข้าเมืองและกรมตำรวจไม่สั่งประการใด โจทก์รออยู่หลายเดือนไม่ได้รับทราบ จึงยื่นฟ้องอธิบดีกรมตำรวจและหัวหน้ากองตรวจคนเข้าเมืองเป็นจำเลยขอให้ศาลสั่งแสดงว่าโจทก์มีสัญชาติไทย และให้เพิกถอนคำสั่งของที่สั่งให้โจทก์ออกไปจากประเทศไทยดังนี้ ย่อมเห็นได้ว่าเมื่อครบกำหนดเวลาที่จำเลยอนุญาตแล้ว โจทก์ก็ต้องเดินทางกลับไป เพราะจำเลยถือว่าโจทก์มีสัญชาติจีน ทั้งที่โจทก์ก็ยืนยันอยู่ว่าเขาเป็นคนไทยมีสิทธิอยู่ในประเทศไทยได้เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
โจทก์ถือตนว่าเป็นคนไทยออกไปต่างประเทศโดยมิได้ทำหนังสือเดินทาง เมื่อจะกลับได้ไปแสดงต่อกงสุลไทย ณ เมืองฮ่องกงว่าโจทก์เป็นคนไทย แต่กงสุลไทยไม่ออกหนังสือเดินทางให้ โจทก์ต้องการเข้ามาพิสูจน์สัญชาติว่าเป็นคนไทยจึงต้องทำหนังสือสำคัญแสดงว่าเป็นคนจีนขอเดินทางเข้ามาอยู่ในประเทศไทยชั่วคราว เมื่อได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่แล้วโจทก์ก็ขอพิสูจน์สัญชาติไทย ดังนี้ หาเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1853/2505

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องแบ่งทรัพย์สินหลังเลิกคบ: ที่ดินมือเปล่า, การครอบครอง, การปฏิเสธแบ่ง
สามีภรรยาอยู่กินกันมาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสระหว่างอยู่กินด้วยกันได้เอาเงินที่ทำมาหาได้ด้วยกันซื้อที่ดินมือเปล่าไว้ทำกินร่วมกัน ต่อมาเลิกเป็นสามีภรรยากัน ภรรยาขอให้แบ่งที่ดินนี้ให้ครึ่งหนึ่ง สามีไม่ยอมแบ่งให้ และสามีเป็นฝ่ายครอบครองทำกินแต่ฝ่ายเดียวหลังจากเลิกเป็นสามีภรรยากัน ดังนี้ เมื่อภรรยาจะฟ้องขอแบ่งเอาที่ดินนั้น ก็ต้องฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่ทราบการที่สามีปฏิเสธไม่ยองแบ่งให้ เพราะการที่สามีปฏิเสธไม่ยอมแบ่งให้นั้น ย่อมเห็นได้ว่า สามีไม่ได้ปกครองที่ดินแทนภรรยาด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1783/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลายพิมพ์นิ้วมือทำพินัยกรรม: พยานรับรองการพิมพ์นิ้วมือและการมีสติของผู้ทำพินัยกรรม
พินัยกรรมแบบธรรมดา มีพยาน 4 คนลงลายมือชื่อไว้ท้ายลายพิมพ์นิ้วมือของเจ้ามรดก แต่ปรากฏว่าก่อนถึงลายเซ็นของพยานมีข้อความระบุไว้ด้วยว่าผู้สั่งพินัยกรรมได้ลงชื่อหรือพิมพ์นิ้วมือต่อหน้าข้าพเจ้าด้วย ดังนี้ ไม่จำเป็นจะต้องมีพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือโดยตรงต่างหากอีก
เรื่องสติของผู้ทำพินัยกรรมดีหรือไม่ ย่อมเป็นข้อเท็จจริงที่จะต้องพิจารณา ในเมื่อมีการโต้เถียงกัน ตามกฎหมายไม่ได้บังคับว่าพินัยกรรมจะต้องมีข้อความว่าพยานรับรองสติของผู้ทำพินัยกรรม
ตามปกติการพิมพ์ลายนิ้วมือก็ควรจะมีลายนิ้วมือปรากฏอยู่ด้วย แต่ลายพิมพ์นิ้วมือของเจ้ามรดกผู้ทำพินัยกรรมแม้จะไม่มีลายนิ้วมือเพราะเป็นโรคเรื้อน แต่เมื่อมีพยานลงลายมือชื่อรับรองถูกต้องและข้อเท็จจริงก็ฟังได้ว่าเจ้ามรดกได้พิมพ์ลายนิ้วมือไว้จริงแล้ว ลายพิมพ์นิ้วมือนั้นย่อมใช้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1783/2505

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พินัยกรรมแบบพิมพ์นิ้วมือ: การรับรองลายพิมพ์นิ้วมือและสติของผู้ทำพินัยกรรม
พินัยกรรมแบบธรรมดา มีพยาน 4 คนลงลายมือชื่อไว้ท้ายลายพิมพ์นิ้วมือของเจ้ามรดก แต่ปรากฏว่าก่อนถึงลายเซ็นของพยานมีข้อความระบุไว้ด้วยว่าผู้ส่งพินัยกรรมได้ลงชื่อหรือพิมพ์นิ้วมือต่อหน้าข้าพเจ้าด้วย ดังนี้ ไม่จำเป็นจะต้องมีพยานรับรองลายพิมพ์นิ้วมือโดยตรงต่างหากอีก
เรื่องสติของผู้ทำพินัยกรรมดีหรือไม่ ย่อมเป็นข้อเท็จจริงที่จะต้องพิจารณาในเมื่อมีการโต้เถียงกัน ตามกฎหมายไม่ได้บังคับว่าพินัยกรรมจะต้องมีข้อความว่าพยานรับรองสติของผู้ทำพินัยกรรม
ตามปกติการพิมพ์ลายนิ้วมือก็ควรจะมีลายนิ้วมือปรากฏอยู่ด้วย แต่ลายพิมพ์นิ้วมือของเจ้ามรดกผู้ทำพินัยกรรมแม้จะไม่มีลายนิ้วมือเพราะเป็นโรคเรื้อน แต่เมื่อมีพยานลงลายมือชื่อรับรองถูกต้อง และข้อเท็จจริงก็ฟังได้ว่าเจ้ามรดกได้พิมพ์ลายนิ้วมือไว้จริงแล้ว ลายพิมพ์นิ้วมือนั้นย่อมใช้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1719/2505

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีขับไล่ต้องพิสูจน์กรรมสิทธิ์ ผู้แพ้ต้องรับผิดชอบค่าขึ้นศาล
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกจากที่พิพาท เมื่อจำเลยต่อสู้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ ก็ต้องถือว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์ และเมื่อที่พิพาทมีราคาเพียง 1,500 บาท แม้โจทก์จะเสียค่าขึ้นศาลอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์ตลอดมาถ้าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้ยกฟ้อง โจทก์ก็ฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้
โจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่า จำเลยอาศัยปลูกเรือนอยู่ในที่บ้านของโจทก์ และบุกรุกที่นาของโจทก์ด้วย ย่อมเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องพิสูจน์ให้ได้ความตามฟ้อง เมื่อพยานหลักฐานโจทก์ ฟังไม่ได้ว่าจำเลยอาศัยและบุกรุกที่ของโจทก์ ก็เป็นเรื่องโจทก์สืบไม่สมฟ้อง ต้องแพ้คดี แม้จำเลยจะให้การว่าได้ที่รายพิพาทมาโดยทางมรดกแล้วกลับนำสืบว่าได้มาโดยบิดามารดายกให้ ก็ไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1688/2505

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้กระทำผิดติดนิสัย – ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ซ้ำ – การกักกัน
จำเลยเคยถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุกไม่ต่ำกว่า 6 เดือนมาแล้วสองครั้งครั้งแรกฐานรับของโจร ครั้งสองฐานลักทรัพย์ เมื่อพ้นโทษไปแล้วไม่ถึง 10 ปี จำเลยกลับมากระทำผิดฐานลักทรัพย์จนศาลพิพากษาจำคุกเกินกว่า 6 เดือนอีกเช่นนี้ แม้ความผิดของจำเลยในครั้งแรกจะต่างกับสองครั้งหลังก็ตาม ก็เป็นความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ซึ่งอยู่ในประเภทเดียวกัน จึงเข้าเกณฑ์ที่ศาลจะถือได้แล้วว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดติดนิสัยและพิพากษาให้กักกันได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1688/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้กระทำผิดติดนิสัย: การพิจารณาโทษกักกันสำหรับผู้กระทำความผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับทรัพย์
จำเลยเคยถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุกไม่ต่ำกว่า 6 เดือนมาแล้วสองครั้ง ครั้งแรกฐานรับของโจร ครั้งสองฐานลักทรัพย์ เมื่อพ้นโทษไปแล้วไม่ถึง 10 ปี จำเลยกลับมากระทำผิดฐานลักทรัพย์จนศาลพิพากษาจำคุกเกินกว่า 6 เดือนอีก เช่นนี้ แม้ความผิดของจำเลยในครั้งแรกจะต่างกับสองครั้งหลังก็ตาม ก็เป็นความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ซึ่งอยู่ในประเภทเดียวกัน จึงเข้าเกณฑ์ที่ศาลจะถือได้แล้วว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดติดนิสัยและพิพากษาให้กักกันได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1673/2505

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนสามัญจากการกู้เงินของผู้จัดการ
การที่หุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนสามัญ ทำหนังสือสัญญากู้เงินจากบุคคลภายนอกนั้น จะให้ผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่นซึ่งมิได้เป็นคู่สัญญาต้องรับผิดด้วยหาได้ไม่ เว้นแต่ผู้ให้กู้จะพิสูจน์ได้ว่าผู้นั้นได้ทำในฐานะเป็นผู้จัดการหรือตัวแทนของห้างหุ้นส่วนหรือได้นำเงินที่กู้มาใช้ในกิจการห้างหุ้นส่วนนั้น ๆ
of 68