พบผลลัพธ์ทั้งหมด 679 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 981/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขายยาที่ทะเบียนถูกยกเลิก และการใส่ร้ายผู้อื่นให้เสียชื่อเสียง ถือเป็นความผิดตามกฎหมาย
เมื่อทะเบียนตำรับยาซึ่งห้างหุ้นส่วนจำกัดไทยเกษมผู้เสียหายได้ขึ้นทะเบียนไว้ได้ถูกยกเลิกไปโดยผลแห่งพระราชบัญญัติการขายยา (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2505 มาตรา 15 วรรคแรกแล้ว จำเลยจะอาศัยทะเบียนตำรับยาดังกล่าวสั่งยาเข้ามาจำหน่ายอีกไม่ได้ มาตรา 15 วรรคสองบัญญัติยกเว้นให้เฉพาะเจ้าของผู้ขึ้นทะเบียนตำรับยาไว้แล้วเท่านั้นโดยผ่อนผันให้ขายยาเก่าไปได้อีก 1 ปี หาได้รวมถึงบุคคลอื่นซึ่งอาศัยทะเบียนตำรับยาของคนอื่นสั่งยาเข้ามาจำหน่ายดังกรณีของจำเลยไม่
จำเลยรู้ดีแล้วว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัดไทยเกษมผู้เสียหายเป็นผู้ขึ้นทะเบียนตำรับยาสำเร็จรูปเลขที่ 869/2502 ไว้ก่อนแล้ว หาใช่ห้างหรือบริษัทอื่นไม่ ดังนี้ การที่จำเลยประกาศโฆษณาว่า มีบุคคลกระทำผิดกฎหมายเลียนแบบผลิตยาออกจำหน่าย ทั้งยังแอบอ้างใช้เลขทะเบียนปิดอยู่หน้ากล่องยา เช่นนี้ ย่อมเข้าใจได้ว่าหมายถึงห้างหุ้นส่วนจำกัดไทยเกษมผู้เสียหายเป็นผู้ปลอมแปลงผลิตยาเลียนแบบออกจำหน่าย อันเป็นเท็จ เจตนาจะให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดไทยเกษมเสียความเชื่อถือโดยมุ่งประโยชน์แก่การค้าของจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 272
จำเลยรู้ดีแล้วว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัดไทยเกษมผู้เสียหายเป็นผู้ขึ้นทะเบียนตำรับยาสำเร็จรูปเลขที่ 869/2502 ไว้ก่อนแล้ว หาใช่ห้างหรือบริษัทอื่นไม่ ดังนี้ การที่จำเลยประกาศโฆษณาว่า มีบุคคลกระทำผิดกฎหมายเลียนแบบผลิตยาออกจำหน่าย ทั้งยังแอบอ้างใช้เลขทะเบียนปิดอยู่หน้ากล่องยา เช่นนี้ ย่อมเข้าใจได้ว่าหมายถึงห้างหุ้นส่วนจำกัดไทยเกษมผู้เสียหายเป็นผู้ปลอมแปลงผลิตยาเลียนแบบออกจำหน่าย อันเป็นเท็จ เจตนาจะให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดไทยเกษมเสียความเชื่อถือโดยมุ่งประโยชน์แก่การค้าของจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 272
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 979/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิทำสัญญาประนีประนอมยอมความและการอุทธรณ์ฎีกาเมื่อมีข้อกล่าวอ้างฉ้อฉล สิทธิทางอุทธรณ์มิใช่นำคดีฟ้องใหม่
โจทก์ผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนด ย่อมมีสิทธิทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยได้ และเมื่อศาลพิพากษาตามยอมแล้วว่าที่ดินตามโฉนดนั้นเป็นของโจทก์ หากบุคคลภายนอกผู้ใดเห็นว่าตนมีสิทธิในที่ดินนั้นดีกว่าโจทก์ ก็ชอบที่จะว่ากล่าวเอากับโจทก์ จะมาฟ้องจำเลยหาได้ไม่
เมื่อโจทก์จำเลยประนีประนอมยอมความกัน และศาลพิพากษาตามยอมแล้ว หากต่อมาโจทก์เห็นว่าจำเลยฉ้อฉล โจทก์ก็มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกา มิใช่นำคดีมาฟ้องใหม่
เดิม โจทก์ฟ้องจำเลยให้โอนโฉนดแลกเปลี่ยนกัน ที่สุดศาลพิพากษาตามยอมว่า ที่ดินโฉนดที่ 480 เป็นของโจทก์ ที่ดินโฉนดที่ 485 เป็นของจำเลย ต่อมาโจทก์มาฟ้องใหม่ ขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความ ให้คำพิพากษาตามยอมเป็นอันไม่ใช้บังคับเพราะเหตุจำเลยฉ้อฉล ขอให้แสดงว่าที่ดินโฉนดที่ 485 เป็นของโจทก์ ที่ดินโฉนดที่ 477 เป็นของจำเลย กรณีเช่นนี้หาเป็นฟ้องซ้ำไม่.
เมื่อโจทก์จำเลยประนีประนอมยอมความกัน และศาลพิพากษาตามยอมแล้ว หากต่อมาโจทก์เห็นว่าจำเลยฉ้อฉล โจทก์ก็มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกา มิใช่นำคดีมาฟ้องใหม่
เดิม โจทก์ฟ้องจำเลยให้โอนโฉนดแลกเปลี่ยนกัน ที่สุดศาลพิพากษาตามยอมว่า ที่ดินโฉนดที่ 480 เป็นของโจทก์ ที่ดินโฉนดที่ 485 เป็นของจำเลย ต่อมาโจทก์มาฟ้องใหม่ ขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความ ให้คำพิพากษาตามยอมเป็นอันไม่ใช้บังคับเพราะเหตุจำเลยฉ้อฉล ขอให้แสดงว่าที่ดินโฉนดที่ 485 เป็นของโจทก์ ที่ดินโฉนดที่ 477 เป็นของจำเลย กรณีเช่นนี้หาเป็นฟ้องซ้ำไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 979/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประนีประนอมยอมความและการใช้สิทธิทางฎีกา กรณีข้อพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดิน
โจทก์ผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนด ย่อมมีสิทธิทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยได้ และเมื่อศาลพิพากษาตามยอมแล้วว่าที่ดินตามโฉนดนั้นเป็นของโจทก์ หากบุคคลภายนอกผู้ใดเห็นว่าตนมีสิทธิในที่ดินนั้นดีกว่าโจทก์ ก็ชอบที่จะว่ากล่าวเอากับโจทก์ จะมาฟ้องจำเลยหาได้ไม่
เมื่อโจทก์จำเลยประนีประนอมยอมความกัน และศาลพิพากษาตามยอมแล้ว หากต่อมาโจทก์เห็นว่าจำเลยฉ้อฉล โจทก์ก็มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกา มิใช่นำคดีมาฟ้องใหม่
เดิม โจทก์ฟ้องจำเลยให้โอนโฉนดแลกเปลี่ยนกัน ที่สุดศาลพิพากษาตามยอมว่าที่ดินโฉนดที่ 480 เป็นของโจทก์ ที่ดินโฉนดที่ 485 เป็นของจำเลย ต่อมาโจทก์มาฟ้องใหม่ ขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความ ให้คำพิพากษาตามยอมเป็นอันไม่ใช้บังคับเพราะเหตุจำเลยฉ้อฉล ขอให้แสดงว่าที่ดินโฉนดที่ 485 เป็นของโจทก์ ที่ดินโฉนดที่ 477 เป็นของจำเลย กรณีเช่นนี้หาเป็นฟ้องซ้ำไม่
เมื่อโจทก์จำเลยประนีประนอมยอมความกัน และศาลพิพากษาตามยอมแล้ว หากต่อมาโจทก์เห็นว่าจำเลยฉ้อฉล โจทก์ก็มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกา มิใช่นำคดีมาฟ้องใหม่
เดิม โจทก์ฟ้องจำเลยให้โอนโฉนดแลกเปลี่ยนกัน ที่สุดศาลพิพากษาตามยอมว่าที่ดินโฉนดที่ 480 เป็นของโจทก์ ที่ดินโฉนดที่ 485 เป็นของจำเลย ต่อมาโจทก์มาฟ้องใหม่ ขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความ ให้คำพิพากษาตามยอมเป็นอันไม่ใช้บังคับเพราะเหตุจำเลยฉ้อฉล ขอให้แสดงว่าที่ดินโฉนดที่ 485 เป็นของโจทก์ ที่ดินโฉนดที่ 477 เป็นของจำเลย กรณีเช่นนี้หาเป็นฟ้องซ้ำไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 962/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความการเรียกร้องค่าโดยสารเครื่องบิน: ใช้ 10 ปี ตามมาตรา 164 ไม่ใช่ 2 ปี ตามมาตรา 165(3)
โจทก์ฟ้องเรียกค่าโดยสารเครื่องบินอายุความเรียกร้องมีกำหนด 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 มิใช่ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(3)
เมื่อมีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้และระบุไว้ชัดเจนแล้ว ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยตามคลองจารีตประเพณีหรือตามความมุ่งหมายของบทบัญญัติ
เมื่อมีฎีกาจำเลยไม่ได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายซึ่งจำเลยจะยกขึ้นอ้างอิงโดยชัดแจ้ง ศาลก็ไม่รับวินิจฉัยให้
เมื่อมีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้และระบุไว้ชัดเจนแล้ว ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยตามคลองจารีตประเพณีหรือตามความมุ่งหมายของบทบัญญัติ
เมื่อมีฎีกาจำเลยไม่ได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายซึ่งจำเลยจะยกขึ้นอ้างอิงโดยชัดแจ้ง ศาลก็ไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 962/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความการเรียกร้องค่าโดยสารเครื่องบิน: 10 ปี ตามมาตรา 164 ไม่ใช่ 2 ปี ตามมาตรา 165(3)
โจทก์ฟ้องเรียกค่าโดยสารเครื่องบินอายุความเรียกร้องมีกำหนด 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 มิใช่ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(3)
เมื่อมีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้และระบุไว้ชัดเจนแล้ว ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยตามคลองจารีตประเพณีหรือตามความมุ่งหมายของบทบัญญัติ
เมื่อฎีกาจำเลยไม่ได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายซึ่งจำเลยจะยกขึ้นอ้างอิงโดยชัดแจ้ง ศาลก็ไม่รับวินิจฉัยให้.
เมื่อมีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้และระบุไว้ชัดเจนแล้ว ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยตามคลองจารีตประเพณีหรือตามความมุ่งหมายของบทบัญญัติ
เมื่อฎีกาจำเลยไม่ได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายซึ่งจำเลยจะยกขึ้นอ้างอิงโดยชัดแจ้ง ศาลก็ไม่รับวินิจฉัยให้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 943/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันสิทธิและทรัพย์สิน: การยิงเพื่อป้องกันตัวจากการลักทรัพย์ในเวลากลางคืน
คนร้ายจูงกระบือไปจากใต้ถุนเรือนจำเลยเมื่อเวลาประมาณ24 นาฬิกา จำเลยร้องถาม คนร้ายหันปืนมาทางจำเลย จำเลยจึงยิงปืนไปจากบนเรือน 2 นัดถูกคนร้ายตาย จำเลยเคยถูกลักกระบือมาแล้วครั้งหนึ่ง และหมู่บ้านนั้นมีการลักกระบือกันเสมอ ดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันสิทธิของตนให้พ้นภยันตรายพอสมควรแก่เหตุจำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68
จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยกระทำเพื่อเป็นการป้องกัน เท่ากับจำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำผิด จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะนำสืบว่าจำเลยได้ยิงผู้ตายถึงแก่ความตายโดยเจตนา ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จำเลยกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตน
จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยกระทำเพื่อเป็นการป้องกัน เท่ากับจำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำผิด จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะนำสืบว่าจำเลยได้ยิงผู้ตายถึงแก่ความตายโดยเจตนา ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จำเลยกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 943/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันสิทธิในทรัพย์สิน: การยิงเพื่อป้องกันการลักกระบือในเวลากลางคืน ถือเป็นการป้องกันโดยสมควรแก่เหตุ
คนร้ายจูงกระบือไปจากใต้ถุนเรือนจำเลยเมื่อเวลาประมาณ 24 นาฬิกา จำเลยร้องถามคนร้ายหันปืนมาทางจำเลย จำเลยจึงยิงปืนไปจากบนเรือน 2 นัดถูกคนร้ายตาย จำเลยเคยถูกลักกระบือมาแล้วครั้งหนึ่ง และหมู่บ้านนั้นมีการลักกระบือเสมอ ดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันสิทธิของตนให้พ้นภยันตรายพอสมควรแก่เหตุ จำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 68.
จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยกระทำเพื่อเป็นการป้องกัน เท่ากับจำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำผิดจึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะนำสืบว่าจำเลยได้ยิงผู้ตายถึงแก่ความตายโดยเจตนา ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จำเลยกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตน.
จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยกระทำเพื่อเป็นการป้องกัน เท่ากับจำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำผิดจึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะนำสืบว่าจำเลยได้ยิงผู้ตายถึงแก่ความตายโดยเจตนา ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จำเลยกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 924/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน: พฤติการณ์ยังไม่พอฟังว่าจำเลยวางแผนทำร้ายผู้ตาย
พฤติการณ์ที่ยังไม่พอฟังว่าจำเลยฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 924/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน: การประเมินจากพฤติการณ์และหลักฐาน
พฤติการณ์ที่ยังไม่พอฟังว่าจำเลยฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 920/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข่มขืนใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยการขู่เข็ญถึงชีวิต
ฟ้องหาว่าดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา136 ข้อเท็จจริงได้ความว่า ขณะที่เกิดเหตุพนักงานสอบสวนกำลังกินอาหารอยู่กับภรรยาที่บ้านพักไม่ใช่เวลาปฏิบัติราชการตามหน้าที่จำเลยพูดขอประกันผู้ต้องหาเป็นการส่วนตัว จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยดูหมิ่นเจ้าพนักงาน เพราะได้กระทำการตามหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136
เมื่อพนักงานสอบสวนไม่ยอมสั่งอนุญาตให้จำเลยประกันตัวผู้ต้องหาเพราะผิดระเบียบ จำเลยพูดขู่เข็ญว่าถ้าไม่สั่งให้ประกันจำเลยจะจัดการให้พนักงานสอบสวนถูกย้ายไปที่อื่น เช่นที่เคยกระทำได้ผลมาแล้วแก่ผู้บังคับกองคนหนึ่ง แต่โดยที่เรื่องย้ายไม่แน่ถ้าไม่ให้ประกันจะต้องเอาพนักงานสอบสวนลงหลุมฝังศพเสีย เช่นนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการข่มขืนใจ ขู่เข็ญ เจ้าพนักงานให้ถึงแก่ชีวิตด้วยการใช้กำลังประทุษร้ายตามความหมายของถ้อยคำเพื่อให้เจ้าพนักงานปฏิบัติการสั่งประกันเสียเอง อันมิชอบด้วยหน้าที่การกระทำของจำเลยเป็นผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 139
เมื่อพนักงานสอบสวนไม่ยอมสั่งอนุญาตให้จำเลยประกันตัวผู้ต้องหาเพราะผิดระเบียบ จำเลยพูดขู่เข็ญว่าถ้าไม่สั่งให้ประกันจำเลยจะจัดการให้พนักงานสอบสวนถูกย้ายไปที่อื่น เช่นที่เคยกระทำได้ผลมาแล้วแก่ผู้บังคับกองคนหนึ่ง แต่โดยที่เรื่องย้ายไม่แน่ถ้าไม่ให้ประกันจะต้องเอาพนักงานสอบสวนลงหลุมฝังศพเสีย เช่นนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการข่มขืนใจ ขู่เข็ญ เจ้าพนักงานให้ถึงแก่ชีวิตด้วยการใช้กำลังประทุษร้ายตามความหมายของถ้อยคำเพื่อให้เจ้าพนักงานปฏิบัติการสั่งประกันเสียเอง อันมิชอบด้วยหน้าที่การกระทำของจำเลยเป็นผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 139