คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สนิท สุมาวงศ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 679 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 894/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องอาญาไม่ชอบ หากไม่ระบุรายละเอียดทรัพย์สินที่ถูกยักยอกอย่างชัดเจน ทำให้จำเลยไม่สามารถต่อสู้คดีได้อย่างถูกต้อง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทุจริตเบียดบังยักยอกเงินประเภทต่างๆไป มิได้บรรยายว่าจำเลยได้รับเงินประเภทใดมาเท่าใดยักยอกเงินประเภทนั้นไปเท่าใด ไม่ปรากฏว่าผู้มีหน้าที่รับผิดชอบได้ตรวจพบอะไรบรรยายว่าได้เบียดบังยักยอกเงินค่าดวงตราไปรษณีย์หรือดวงตราไปรษณีย์เป็นสองแง่ ก็ไม่มีทางทราบว่าจำเลยยักยอกอะไร ดังนี้ เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158 (อ้างฎีกาที่ 175/2497)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 894/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องอาญาที่ไม่ชัดเจนเกี่ยวกับทรัพย์สินที่ถูกยักยอก ทำให้จำเลยไม่เข้าใจข้อหา และศาลต้องยกฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทุจริตเบียดบังยักยอมเงินประเภทต่าง ๆ ไป มิได้บรรยายว่าจำเลยได้รับเงินประเภทใดมาเท่าใด ยักยอกเงินประเภทนั้นไปเท่าใด ไม่ปรากฏว่าผู้มีหน้าที่รับผิดชอบได้ตรวจพบอะไร บรรยายว่าได้เบียดบังยักยอกเงินค่าดวงตราไปรษณีย์หรือดวงตราไปรษณีย์เป็นสองแง่ก็ไม่มีทางทราบว่าจำเลยยักยอกอะไร ดังนี้ เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158
(อ้างฎีกาที่ 175/2497)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 883/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ, ประนีประนอมยอมความ, การแบ่งแยกที่ดิน: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าฟ้องแบ่งแยกที่ดินหลังยอมความแล้วไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คดีเดิม โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยบุกรุก ขอให้ขับไล่และชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยทำยอม ให้ที่พิพาทเป็นของโจทก์คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยแบ่งแยกที่พิพาทนั้นให้โจทก์จึงเป็นคนละประเด็นกันไม่เป็นฟ้องซ้ำ
จำเลยกล่าวอ้างลอยๆ ว่าประนีประนอมยอมความแล้วจะฟ้องโดยตั้งข้อหาเป็นอย่างอื่นอีกไม่ได้ ชอบที่จะบังคับไปตามสัญญายอม โดยมิได้ยกกฎหมายสนับสนุนก็คงหมายถึงว่าเป็นฟ้องซ้ำนั่นเอง จึงไม่จำต้องวินิจฉัยข้อนี้อีก
ในคดีที่จำเลยยอมให้ที่พิพาทเป็นของโจทก์ ที่พิพาทก็ตกเป็นของโจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นโดยไม่จำต้องบังคับอะไรอีกฉะนั้น การที่โจทก์มิได้ขอให้บังคับคดีภายใน 10 ปี จึงหาทำให้สิทธิของโจทก์ที่ได้ที่พิพาทดังกล่าวแล้วต้องเสียไปแต่อย่างใดไม่
โจทก์ร้องขอให้ศาลบังคับจำเลยให้แบ่งแยกที่ดินตามยอมให้โจทก์ โดยที่คำขอท้ายฟ้องมิได้ขอให้แบ่งแยกไว้ด้วยเช่นนี้เป็นเรื่องเกินคำขอ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 883/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ, ประนีประนอมยอมความ, การแบ่งแยกที่ดิน: ศาลตัดสินว่าคดีไม่เป็นฟ้องซ้ำ แม้มีการประนีประนอมก่อนหน้า
คดีเดิม โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยบุกรุก ขอให้ขับไล่และชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยทำยอม ให้ที่พิพาทเป็นของโจทก์ คดีนี้ โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยแบ่งแยกที่พิพาทนั้นให้โจทก์ จึงเป็นคนละประเด็นกัน ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
จำเลยกล่าวอ้างลอย ๆ ว่าประนีประนอมยอมความแล้ว จะฟ้องโดยตั้งข้อหาเป็นอย่างอื่นอีกไม่ได้ ชอบที่จะบังคับไปตามสัญญายอม โดยมิได้ยกกฎหมายสนับสนุน ก็คงหมายถึงว่าเป็นฟ้องซ้ำนั่นเองจึงไม่จำต้องวินิจฉัยข้อนี้อีก
ในคดีที่จำเลยยอมให้ที่พิพาทเป็นของโจทก์ ที่พิพาทก็ตกเป็นของโจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นโดยไม่จำต้องบังคับอะไรอีก ฉะนั้น การที่โจทก์มิได้ขอให้บังคับคดีภายใน 10 ปี จึงหาทำให้สิทธิของโจทก์ที่ได้ที่พิพาทดังกล่าวแล้วต้องเสียไปแต่อย่างใดไม่
โจทก์ร้องขอให้ศาลบังคับจำเลยให้แบ่งแยกที่ดินตามยอมให้โจทก์ โดยที่คำขอท้ายฟ้องมิได้ขอให้แบ่งแยกไว้ด้วย เช่นนี้ เป็นเรื่องเกินคำขอ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 881/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์: การครอบครองที่ดินของผู้อื่นโดยสงบ เปิดเผย และเจตนาเป็นเจ้าของ ทำให้ได้กรรมสิทธิ์
ศาลชั้นต้นฟังว่า ที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดของโจทก์จำเลยครอบครองมาด้วยความสงบเปิดเผยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 10 ปีจึงได้กรรมสิทธิ์ให้ยกฟ้องโจทก์ศาลอุทธรณ์แก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า ให้จำเลยที่ 1 รื้อคันนาจากหลักไม้หมายเลข 2 ถึงหลักไม้หมายเลข 3. ในแผนที่พิพาทออกไปจากที่ดินของโจทก์ให้จำเลยที่ 1 ถึง 8 รื้อรั้วที่ทำไว้ในที่ดินของโจทก์ออกไปด้วย ดังนี้ เป็นแก้ไขมาก
จำเลยให้การว่า เดิมที่นาพิพาทจำเลยมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์จำเลยได้ครอบครองมีเขตอันเป็นส่วนสัดมาโดยสงบและเปิดเผยติดต่อมาทุกปีเป็นเวลา 30 ปีเศษทางพิจารณาได้ความว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์แต่จำเลยครอบครอง ถือว่าเป็นการต่อสู้ว่าครอบครองทรัพย์ของโจทก์โดยปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แล้ว
การครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1382 ผู้ครอบครองจะรู้ว่าทรัพย์สินที่ตนครอบครองเป็นของผู้อื่นหรือไม่ ไม่สำคัญย่อมได้กรรมสิทธิ์เสมอ เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 881/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์: การครอบครองที่ดินโดยเข้าใจผิดและอายุความ
ศาลชั้นต้นฟังว่า ที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดของโจทก์จำเลยครอบครองมาด้วยความสงบเปิดเผยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 10 ปี จึงได้กรรมสิทธิ์ ให้ยกฟ้องโจทก์ศาลอุทธรณ์แก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า ให้จำเลยที่ 1 รื้อคันนาจากหลักไม้หมายเลย 2 ถึงหลักไม้หมายเลข 3 ในแผนที่พิพาทออกไปจากที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยที่ 1 ถึง 8 รื้อรั้วที่ทำไว้ในที่ดินของโจทก์ออกไปด้วย ดังนี้ เป็นแก้ไขมาก
จำเลยให้การว่า เดิมที่นาพิพาทจำเลยมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ จำเลยได้ครอบครองมีเขตคันเป็นส่วนสัดมาโดยสงบและเปิดเผยติดต่อตลอดมาทุกปีเป็นเวลา 30 ปีเศษ ทางพิจารณาได้ความว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์แต่จำเลยครอบครอง ถือว่าเป็นการต่อสู้ว่าครอบครองทรัพย์ของโจทก์โดยปรปักษ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แล้ว
การครอบครองปกปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ผู้ครอบครองจะรู้ว่าทรัพย์สินที่ตนครอบครองเป็นของผู้อื่นหรือไม่ ไม่สำคัญ ย่อมได้กรรมสิทธิ์เสมอ เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญติไว้เป็นอย่างอื่น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 873/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความสะดุดหยุดเมื่อมีการรับสภาพหนี้ แม้มีหลักฐานสัญญากู้ยืม การฟ้องภายใน 10 ปีนับจากรับสภาพหนี้ไม่ขาดอายุความ
แม้วันที่จำเลยได้กู้เงินโจทก์ไป ถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกิน 10 ปีแล้วก็ตาม แต่เมื่อวันที่จำเลยรับสภาพหนี้นั้นถึงวันฟ้องยังไม่เกิน 10 ปี เช่นนี้คดีโจทก์ก็ยังไม่ขาดอายุความ
การรับสภาพหนี้นั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นหนี้ที่ไม่มีหลักฐาน แม้หนี้ที่มีหลักฐานสัญญากู้ยืมอยู่แล้วก็มีการรับสภาพหนี้กันได้
จำเลยทำสัญญากู้ให้โจทก์ไว้เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2496 และต่อมาเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2501 จำเลยได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้นั้นซึ่งเป็นฉบับท้ายฟ้องโจทก์ ดังนี้ เมื่อปราฏว่าโจทก์ฟ้องเรียกหนี้เงินกู้ซึ่งจำเลยก็ไปเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2496 ส่วนเดียวเท่านั้น ฟ้องโจทก์จึงหาใช่ฟ้องให้ชำระหนี้ส่วนอุปกรณ์ซึ่งมีหนี้ในส่วนทีเป็นประธานแต่อย่างใดไม่จะนำมาตรา 190 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาปรับแก่คดีนี้ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 873/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับสภาพหนี้ทำให้ระยะเวลาอายุความสะดุดหยุดลง แม้หนี้มีหลักฐานก็ได้ และอายุความนับใหม่จากวันรับสภาพ
แม้วันที่จำเลยได้กู้เงินโจทก์ไปถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกิน 10 ปีแล้วก็ตามแต่เมื่อวันที่จำเลยรับสภาพหนี้นั้นถึงวันฟ้องยังไม่เกิน 10 ปีเช่นนี้ คดีโจทก์ก็ยังไม่ขาดอายุความ
การรับสภาพหนี้นั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นหนี้ที่ไม่มีหลักฐานแม้หนี้ที่มีหลักฐานกู้ยืมอยู่แล้วก็มีการรับสภาพหนี้กันได้
จำเลยทำสัญญากู้ให้โจทก์ไว้เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม2496 และต่อมาเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2501 จำเลยได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้นั้นซึ่งเป็นฉบับท้ายฟ้องโจทก์ดังนี้ เมื่อปรากฏว่าโจทก์ฟ้องเรียกหนี้เงินกู้ซึ่งจำเลยกู้ไปเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2496 ส่วนเดียวเท่านั้น ฟ้องโจทก์จึงหาใช่ฟ้องให้ชำระหนี้ ส่วนอุปกรณ์ซึ่งมีหนี้ในส่วนที่เป็นประธานแต่อย่างใดไม่ จะนำมาตรา 190 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาปรับแก่คดีนี้ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 766/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขัดขวางการตรวจสอบภาษีอากร: การหยุดเครื่องจักรไม่ถือเป็นการขัดขวางหากเจ้าหน้าที่ไม่ได้ต้องการตรวจเครื่องจักร
เจ้าหน้าที่ ก.ต.ภ.ไปตรวจสอบการปฏิบัติเกี่ยวแก่ภาษีอากรที่โรงเลื่อยจักของจำเลยและได้สั่งให้จำเลยหยุดเดินเครื่องยนต์เพื่อความสะดวกในการตรวจการปฏิบัติงาน แต่จำเลยไม่ยอมและขัดขวางไม่ให้เจ้าหน้าที่หยุดเดินเครื่องยนต์นั้น เมื่อฟ้องของโจทก์ไม่ปรากฎว่าจำเลยได้ขัดขวางไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าไปในโรงงานหรือไม่มาให้ถ้อยคำหรือขัดขวางไม่ให้ความสะดวกในการยึด+ แต่อย่างใดเพียงแต่จำเลยไม่ยอมหยุดเดินเครื่องยนต์และขัดขวางไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่หยุดเดินเครื่องยนต์เท่านั้น เมื่อไม่ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ต้องการตรวจเครื่องยนต์หรือตรวจไม้ที่กำลังแปรรูปอยู่ เจ้าหน้าที่จึงไม่มีความจำเป็นอย่างใดที่จะให้จำเลยหยุดเดินเครื่องยนต์ หากเจ้าหน้าที่ประสงค์จะตรวจค้นหรือตรวจสอบบัญชีเอกสารหรือวัตถุใด ๆ ก็ย่อมทำได้ การกระทำของจำเลยไม่เป็นการขัดขวางหรือไม่ให้ความสะดวกแก่กรรมการหรือเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติตรวจสอบการปฏิบัติเกี่ยวแก่ภาษีอากรและรายได้อื่นของรัฐ พ.ศ.2503 มาตรา 13

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 764/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบวกโทษรอการลงโทษตาม ม.58 ต้องมีการขอในฟ้อง หากโจทก์ขอแล้ว ศาลบวกได้ แม้ไม่ได้อ้าง ม.58 โดยตรง
การที่ศาลจะบวกโทษที่รอการลงโทษไว้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 ได้นั้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามิได้บัญญัติไว้โดยตรงว่าให้กล่าวในฟ้องและมีคำขออย่างไร ต่างกับขอให้เพิ่มโทษแต่มาตรา 192 ก็ห้ามมิให้พิพากษาหรือสั่งเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง ฉะนั้น โจทก์ต้องกล่าวมาในฟ้องและมีคำขอมาด้วยแต่มาตรา 58 นี้มิใช่เป็นมาตราที่บัญญัติว่าเป็นการกระทำความผิดอันจำต้องอ้างมาตรามาในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(6) ดังนั้น เมื่อโจทก์ได้กล่าวมาในฟ้องและมีคำขอแล้วโจทก์จะอ้างมาตรา 58 หรือไม่ ศาลก็บวกโทษที่รอการลงโทษไว้เข้ากับโทษในคดีหลังได้
of 68