คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สนิท สุมาวงศ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 679 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 561/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตความผิดเบิกความเท็จ ปลอมเอกสาร และการตีความอัตราโทษจำคุกขั้นต่ำในประมวลกฎหมายอาญา
คำว่า ระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไปในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 181(1) นี้ หมายถึงว่า อัตราโทษชั้นต่ำของความผิดนั้น จะต้องมีระวางโทษจำคุก 3 ปี เป็นอย่างน้อยที่สุด
การเบิกความเท็จในการพิจารณาคดีอาญาไม่ใช่เรื่องแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความ แต่เป็นเรื่องเบิกความซึ่งศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจจดข้อความตอนใดหรือไม่จดก็ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ การจดจึงเป็นเรื่องของศาล ไม่ใช่เรื่องของพยานที่จะแจ้งให้ศาลจดข้อความอันเป็นเท็จ ซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 267
จำเลยไม่ใช่นายช่วง แต่มาอ้างต่อศาลว่าเป็นนายช่วง และข้อเท็จจริงที่จำเลยเบิกความว่าได้รู้เห็นเหตุการณ์ จำเลยก็มิได้รู้เห็นจริง กับจำเลยได้ลงนามปลอมว่า นายช่วง ในคำเบิกความที่ศาลจดไว้อีกด้วย ความผิดฐานเบิกความเท็จสำเร็จได้โดยไม่ต้องอาศัยการลงนามปลอม การลงนามปลอมของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 264 อีกด้วย แต่จำเลยหามีความผิดฐานปลอมเอกสารราชการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 อีกมาตราหนึ่งไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 513/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ตาม ม.1299 วรรค 2 ไม่จำเป็นต้องได้มาทั้งแปลง เพียงส่วนหนึ่งก็ใช้ได้
การได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์(ตามฎีกานี้คือที่ดิน) ตามมาตรา 1299 วรรค 2 นั้นหมายความว่า ได้มาเพียงส่วนใดส่วนหนึ่งก็ใช้ได้ เพราะกฎหมายไม่ได้บัญญัติว่าจะต้องเป็นการได้มาทั้งแปลง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 513/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ตามมาตรา 1299 วรรคสอง ไม่จำเป็นต้องได้มาทั้งแปลง
การได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ (ตามฎีกานี้คือที่ดิน)ตามมาตรา 1299 วรรคสองนั้น หมายความว่า ได้มาเพียงส่วนใดส่วนหนึ่งก็ใช้ได้เพราะกฎหมายไม่ได้บัญญัติว่าจะต้องเป็นการได้มาทั้งแปลง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 470/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขายสลากกินรวบ แม้ไม่มีผู้ซื้อ ถือเป็นความผิดฐานจัดให้มีการพนันได้
การพนันสลากกินรวบนั้น ไม่จำเป็นต้องมีผู้เล่นสองฝ่า เพียงแต่จำเลยทำการขายสลากกินรวบ แม้จะไม่มีคนซื้อก็เป็นความผิดแล้วเพราะจำเลยได้จัดให้มีการเล่นการพนันขึ้น การที่ไปซื้อสลากินรวบจากจำเลยเพื่อประสงค์จะทำการจับกุมจำเลยนั้น เป็นการแสวงหาพยานหลักฐานแห่งการกระทำผิดของจำเลย ไม่เป็นเหตุให้จำเลยอ้างเป็นข้อแก้ตัวให้พ้นผิดไปได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 465/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาขายฝากไม่จดทะเบียนเป็นโมฆะ แต่มีผลแสดงเจตนา หากมีเจตนาทำแทนสัญญากู้ สิทธิการครอบครองยังอยู่กับจำเลย
สัญญาขายฝากที่ดินมือเปล่าที่โจทก์นำมาฟ้องมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงเป็นโมฆะและถ้าข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์จำเลยทำขึ้นโดยมีเจตนาทำแทนสัญญากู้ จำเลยมิได้มีเจตนาสละสิทธิการครอบครองแล้ว ถึงหากโจทก์จะได้ยึดถือที่พิพาทมาบ้างเสียภาษีบำรุงท้องที่บ้างโจทก์ก็คงมีฐานะเพียงเป็นผู้ยึดถือที่พิพาทในฐานะเป็นผู้แทนจำเลยเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 452/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีจากหนังสือมอบอำนาจเฉพาะการ แม้ฟ้องแล้วถอนฟ้อง ก็ยังใช้ได้
หนังสือมอบอำนาจมีข้อความว่าให้ผู้รับมอบอำนาจมีอำนาจดำเนินคดีฟ้องร้องแต่งตั้งทนายเพื่อว่าต่างแก้ต่าง ฯลฯ มิใช่ใบมอบอำนาจทั่วไปแต่เป็นใบมอบอำนาจเฉพาะการเพื่อให้ฟ้องคดี และใบมอบอำนาจนี้มิได้ระบุเจาะจงว่าให้ฟ้องร้องได้เพียงรายหนึ่งรายใดโดยเฉพาะแม้โจทก์จะได้ใช้ใบมอบอำนาจนั้นฟ้องขับไล่จำเลยมาแล้วครั้งหนึ่งและถอนฟ้องไป ก็ไม่ทำให้ใบมอบอำนาจเสียไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 452/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีจากหนังสือมอบอำนาจเฉพาะการ แม้ใช้ฟ้องแล้วถอนฟ้อง ก็ยังใช้ได้
หนังสือมอบอำนาจมีข้อความว่า ให้ผู้รับมอบอำนาจมีอำนาจดำเนินคดีฟ้องร้องแต่ตั้งทนายเพื่อว่าต่างแก้ต่าง ฯลฯ มิใช่ใบมอบอำนาจทั่วไป แต่เป็นใบมอบอำนาจเฉพาะการเพื่อให้ฟ้องคดี และใบมอบอำนาจนี้มิได้ระบุเจาะจงว่าให้ฟ้องร้องได้เพียงรายหนึ่งรายใดโดยเฉพาะ แม้โจทก์จะได้ใช้ใบมอบอำนาจนั้นฟ้องขับไล่จำเลยมาแล้วครั้งหนึ่งและถอนฟ้องไป ก็ไม่ทำให้ใบมอบอำนาจเสียไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 440/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีพนันป๊อก: ความสมบูรณ์ของฟ้องและขอบเขตการแก้ไขโทษของศาลอุทธรณ์
จำเลยฎีกาอ้างว่า คำเบิกความของประจักษ์พยานโจทก์ไม่ปรากฏชัดแจ้งว่าจำเลยนี้เล่นการพนันป๊อกกันในลักษณะใดอย่างไรนั้นเป็นข้ออ้างเกี่ยวกับการใช้ดุลพินิจเป็นปัญหาข้อเท็จจริง
แม้โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่า ผู้ใดเป็นเจ้ามือในการเล่นพนันป๊อกแต่ได้บรรยายมาว่าจำเลยทั้ง 3 บังอาจร่วมกันเล่นการพนันป๊อก (21 แต้ม อันเป็นการพนันประเภทห้ามขาดตามบัญชี ก. อันดับ 11 ท้ายพระราชบัญญัติการพนัน 2478 พนันเอาทรัพย์สินกันโดยมิได้มีพระราชกฤษฎีกาอนุญาตให้เล่นได้ ดังนี้ ก็เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
จำเลยกระทำผิดครั้งหลังมีโทษจำคุกหรือปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ ต้องวางโทษทั้งจำทั้งปรับตามพระราชบัญญัติการพนัน 2478 มาตรา 14 ทวิ (2) แต่ศาลชั้นต้นวางโทษปรับทวีคูณ ปรับ 600 บาทจำเลยฝ่ายเดียวอุทธรณ์เช่นนี้การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นจำคุก 2 เดือน ปรับ 600 บาทแต่ยกโทษจำคุกเสียก็เป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 440/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีพนันป๊อก: ความสมบูรณ์ของฟ้อง และการแก้ไขโทษที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยฎีกาอ้างว่า คำเบิกความของประจักษ์พยานโจทก์ไม่ปรากฎชัดแจ้งว่า จำเลยนี้เล่นการพนันป๊อกกันในลักษระใด อย่างไรนั้นเป็นข้ออ้างเกี่ยวกับการใช้ดุลพินิจ เป็นปัญหาข้อเท็จจริง
แม้โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่า ผู้ใดเป็นเจ้ามือในการเล่นพนันป๊อก แต่ได้บรรยายมาว่าจำเลยทั้ง 3 บังอาจร่วมกันเล่นการพนันป๊อก(21 แต้ม) อันเป็นการพนันประเภทห้ามขาดตามบัญชี ก.อันดับ 11 ท้ายพระราชบัญญัติการพนัน 2478 พนันเอาทรัพย์สินกันโดยมิได้มีพระราชกฤษฎีกาอนุญาตให้เล่นได้ ดังนี้ ก็เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5)
จำเลยกระทำผิดครั้งหลังมีโทษจำคุกหรือปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ ต้องวางโทษทั้งปรับตามพระราชบัญญัติการพนัน 2478 มาตรา 14 ทวิ(2) แต่ศาลชั้นต้นวางโทษปรับทวีคูณ ปรับ 600 บาท จำเลยฝ่ายเดียวอุทธรณ์เช่นนี้ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นจำคุก 2 เดือน ปรับ 600 บาท แต่ยกโทษจำคุกเสีย ก็เป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 212

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 412/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำกัดสิทธิฎีกาในคดีอาญา โทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี
กรณีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ.2490 มาตรา 7,72 ให้ปรับจำเลย 100 บาท ของกลางทั้งหมดให้ริบโจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ.2490 มาตรา 4,7(ฉบับที่ 3) พ.ศ.2501มาตรา 3,5,8 และกฎกระทรวงมหาดไทย (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2501 ให้ลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 1 ปี นอกจากที่แก้นี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
ดังนี้ แม้จะเป็นการแก้ไขมากก็ดี แต่โทษจำคุกยังไม่เกิน 1 ปีเช่นนี้จำเลยก็ไม่มีสิทธิที่จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
of 68