พบผลลัพธ์ทั้งหมด 120 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 681/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลสั่งรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินราชพัสดุ แม้ลงโทษอาญาแล้ว
การกระทำของจำเลยนอกจากจะเป็นความผิดฐานร่วมกันบุกรุกที่ดินราชพัสดุตาม ป.อ. มาตรา 365 (2) แล้ว ยังเป็นความผิดฐานเข้าไปยึดถือ ครอบครอง ก่นสร้างและทำด้วยประการใดให้เป็นการทำลายหรือทำให้เสื่อมสภาพที่ดินของรัฐ อันเป็นความผิดตาม ป.ที่ดิน มาตรา 9 (1) (2), 108 ทวิ วรรคหนึ่ง ด้วย ซึ่งตาม ป.ที่ดิน มาตรา 108 ทวิ วรรคสี่ บัญญัติให้ศาลมีอำนาจสั่งในคำพิพากษาให้ผู้กระทำความผิด คนงาน ผู้รับจ้างและบริวารของผู้กระทำความผิดออกจากที่ดินนั้นได้ อันมิใช่โทษตาม ป.อ. มาตรา 18 แต่เป็นมาตรการที่มุ่งประสงค์ให้รัฐสามารถเข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินได้โดยไม่จำต้องฟ้องขับไล่จำเลยเป็นคดีแพ่งอีกต่างหาก ดังนั้น แม้ศาลจะลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 365 (2) ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดเพียงบทเดียวตาม ป.อ. มาตรา 90 แต่เมื่อเป็นความผิดตาม ป.ที่ดิน มาตรา 108 ทวิ วรรคหนึ่ง ด้วย ศาลก็มีอำนาจสั่งให้จำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและออกไปจากที่ดินของรัฐได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8635/2549
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรอการลงโทษจำคุกและการพิจารณาเงื่อนไขคุมประพฤติ รวมถึงเหตุร้ายแรงของการมีอาวุธปืนโดยไม่ชอบ
การคุมประพฤติโดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ และให้จำเลยทำงานบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์เป็นเพียงวิธีการที่ศาลกำหนดเงื่อนไขประกอบการใช้ดุลพินิจรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยเท่านั้น ไม่ใช่โทษตามกฎหมาย แม้จำเลยจะปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าวแล้ว ก็ไม่ถือว่าจำเลยได้รับโทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
อาวุธปืนเป็นอาวุธร้ายแรงโดยสภาพสามารถใช้ยิงทำอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของผู้อื่นได้ ทั้งอาวุธปืนของกลางก็ไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับ หากมีการนำไปใช้ก่ออาชญากรรมย่อมยากแก่การตรวจสอบและติดตามตัวผู้กระทำความผิด ประกอบกับสภาพปัญหาของสังคมในปัจจุบันมีการใช้อาวุธปืนก่ออาชญากรรมจำนวนมากหลายรูปแบบนับวันจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น การที่จำเลยมีและพาอาวุธปืนพร้อมเครื่องกระสุนปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะ อาจเป็นอันตรายต่อประชาชนโดยทั่วไป นับว่าเป็นการกระทำที่ไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมาย พฤติการณ์การกระทำความผิดของจำเลยจึงเป็นเรื่องร้ายแรง ที่จำเลยอ้างมาในฎีกาว่า จำเลยไม่เคยใช้อาวุธปืนข่มขู่ผู้ใด จำเลยไม่ได้นำอาวุธปืนของกลางไปทำร้ายผู้ใด จำเลยไม่เคยกระทำความผิดมาก่อนและกระทำความผิดโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ยังไม่เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยได้
อาวุธปืนเป็นอาวุธร้ายแรงโดยสภาพสามารถใช้ยิงทำอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของผู้อื่นได้ ทั้งอาวุธปืนของกลางก็ไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับ หากมีการนำไปใช้ก่ออาชญากรรมย่อมยากแก่การตรวจสอบและติดตามตัวผู้กระทำความผิด ประกอบกับสภาพปัญหาของสังคมในปัจจุบันมีการใช้อาวุธปืนก่ออาชญากรรมจำนวนมากหลายรูปแบบนับวันจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น การที่จำเลยมีและพาอาวุธปืนพร้อมเครื่องกระสุนปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะ อาจเป็นอันตรายต่อประชาชนโดยทั่วไป นับว่าเป็นการกระทำที่ไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมาย พฤติการณ์การกระทำความผิดของจำเลยจึงเป็นเรื่องร้ายแรง ที่จำเลยอ้างมาในฎีกาว่า จำเลยไม่เคยใช้อาวุธปืนข่มขู่ผู้ใด จำเลยไม่ได้นำอาวุธปืนของกลางไปทำร้ายผู้ใด จำเลยไม่เคยกระทำความผิดมาก่อนและกระทำความผิดโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ยังไม่เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4593/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขโทษจากจำคุกเป็นฝึกอบรมในคดีเยาวชน และข้อจำกัดในการฎีกาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83,340 วรรคหนึ่ง จำคุกคนละ 3 ปี ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยทั้งสองไปฝึกและอบรมที่สถานพินิจฯ คนละ 1 ปี ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคแรกและมาตรา 391 โดยเป็นความผิดกรรมเดียว ผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามมาตรา 309 วรรคแรก ซึ่งเป็นบทหนักที่สุด ส่วนจำเลยที่ 2 มีความผิดตามมาตรา 309วรรคแรก ให้ส่งตัวจำเลยทั้งสองไปรับการฝึกและอบรมยังสถานพินิจฯ คนละ 1 เดือน กรณีจึงเป็นการแก้เฉพาะบทลงโทษและแก้ไขระยะเวลาการฝึกและอบรมซึ่งไม่ใช่โทษตามกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อย ต้องถือว่าศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองไม่เกินคนละห้าปี ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาฯ มาตรา 124
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9083/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้งที่กระทำทุจริต แม้ลงโทษตามกฎหมายอาญาแล้ว
การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท กล่าวคือนอกจากจำเลยมีความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตาม ป.อ. มาตรา 157 แล้ว ยังมีความผิดต่อ พ.ร.บ. การเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พ.ศ. 2482 มาตรา 59 , 60 , 71 , 72 โดยเหตุที่การเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นมาตรการที่มุ่งจะจำกัดสิทธิของเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้งซึ่งกระทำหน้าที่โดยทุจริต มิใช่โทษตามกฎหมาย เมื่อศาลลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 157 อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดแต่เพียงบทเดียวตาม ป.อ. มาตรา 90 แล้ว ศาลย่อมมีอำนาจสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยได้ มิฉะนั้นแล้วการบังคับใช้มาตรการดังกล่าวย่อมไร้ผลอันเป็นการขัดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9083/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งควบคู่กับการลงโทษอาญา แม้ลงโทษตามบทหนักสุดแล้ว
การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทกล่าวคือ นอกจากจำเลยมีความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 แล้วยังมีความผิดต่อพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกเทศบาลฯ มาตรา 59,60,71,72 โดยเหตุที่การเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นมาตรการที่มุ่งจะจำกัดสิทธิของเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้งซึ่งกระทำหน้าที่โดยทุจริต มิใช่โทษตามกฎหมายเมื่อศาลลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดแต่เพียงบทเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 แล้ว ศาลย่อมมีอำนาจสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยได้ มิฉะนั้นแล้วการบังคับใช้มาตรการดังกล่าวย่อมไร้ผลอันเป็นการขัดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5566/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลียนเครื่องหมายการค้า การแจ้งข้อความเท็จ และการบังคับตามมาตรา 116 แห่ง พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า
เครื่องหมายการค้าของโจทก์เป็นเครื่องหมายการค้ารูปตา 1 ตา และเครื่องหมายการค้ารูปนกอินทรี 1 ตัว และจำเลยได้ทำเครื่องหมายการค้ารูปตา 3 ตา ประกอบกับนกอินทรี 3 ตัว แต่ลักษณะดวงตามีรัศมี 19 เส้น เหมือนรูปตาตามเครื่องหมายการค้าของโจทก์และรูปนกอินทรีก็ถือกิ่งไม้ 1 กิ่ง กับลูกศร 3 ดอก เหมือนรูปนกอินทรีตามเครื่องหมายการค้าของโจทก์เช่นกัน คงต่างกันแต่จำนวนดวงตาและจำนวนนกอินทรีเท่านั้น และจำเลยได้นำเครื่องหมายการค้าที่ทำขึ้นไปใช้กับสินค้าของจำเลยนำออกจำหน่าย อันแสดงให้เห็นได้ถึงเจตนาของจำเลยที่จะทำให้ประชาชนสับสน หลงผิด หลงเชื่อว่าเครื่องหมายการค้าที่จำเลยทำเลียนขึ้นและนำไปใช้กับสินค้านั้นเป็นเครื่องหมายการค้าของโจทก์ ย่อมเป็นความผิดตามคำฟ้องได้ โดยไม่จำต้องคำนึงถึงกรณีที่จำเลยทำเลียนเครื่องหมายการค้านั้นแล้ว จำเลยจะนำไปขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้านี้หรือไม่ หรือนายทะเบียนจะรับจดทะเบียนให้หรือไม่
โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าซึ่งเป็นเจ้าพนักงาน แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เครื่องหมายการค้าทั้งสองเครื่องหมายที่จำเลยยื่นขอจดทะเบียนดังกล่าวนั้น เป็นเพียงเครื่องหมายการค้าที่จำเลยทำเลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ โดยเครื่องหมายการค้าที่จำเลยทำเลียนขึ้นนั้น ในภาพรวมของแต่ละเครื่องหมายมีลักษณะเพียงคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์เท่านั้น ไม่ได้เหมือนกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์ทุกประการจนถือได้ว่าเครื่องหมายการค้าที่จำเลยยื่นขอจดทะเบียนทั้งสองเครื่องหมายนี้เป็นเครื่องหมายการค้าของโจทก์ จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้แจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าซึ่งเป็นเจ้าพนักงาน และแม้จำเลยไม่ได้ยกปัญหานี้ฎีกาขึ้นมาโดยตรงก็ตาม แต่เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าการกระทำของจำเลยดังกล่าวไม่เป็นความผิด ก็ย่อมพิพากษายกฟ้องได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 ประกอบด้วยมาตรา 215 และมาตรา 225
การที่โจทก์จะขอให้ศาลบังคับตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า ฯ มาตรา 116 ต้องปรากฏในขณะที่ยื่นคำขอว่าจำเลยได้กระทำการหรือกำลังจะกระทำการปลอมหรือเลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ เมื่อปรากฏว่าโจทก์มีคำขอดังกล่าวมาท้ายคำฟ้องซึ่งบรรยายฟ้องว่า จำเลยกระทำผิดข้อหาปลอมและเลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ระหว่างเดือนมกราคม 2536 ถึงปลายเดือนมกราคม 2540 อันเป็นการแสดงว่าจำเลยกระทำการดังกล่าวเสร็จสิ้นไป ก่อนวันที่โจทก์มีคำขอมาท้ายคำฟ้องประมาณ 7 เดือน ไม่ใช่กรณีที่กล่าวอ้างว่าจำเลยกระทำการหรือกำลังจะกระทำการดังกล่าวในขณะที่โจทก์มีคำขอให้ศาลบังคับตามมาตรา 116 คำขอของโจทก์เช่นนี้จึงไม่ชอบด้วยมาตรา 116 ดังกล่าว ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาบังคับให้จำเลยระงับหรือละเว้นการปลอม เลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวข้างต้น กรณีเช่นนี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความไม่ได้ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225
โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าซึ่งเป็นเจ้าพนักงาน แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เครื่องหมายการค้าทั้งสองเครื่องหมายที่จำเลยยื่นขอจดทะเบียนดังกล่าวนั้น เป็นเพียงเครื่องหมายการค้าที่จำเลยทำเลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ โดยเครื่องหมายการค้าที่จำเลยทำเลียนขึ้นนั้น ในภาพรวมของแต่ละเครื่องหมายมีลักษณะเพียงคล้ายกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์เท่านั้น ไม่ได้เหมือนกับเครื่องหมายการค้าของโจทก์ทุกประการจนถือได้ว่าเครื่องหมายการค้าที่จำเลยยื่นขอจดทะเบียนทั้งสองเครื่องหมายนี้เป็นเครื่องหมายการค้าของโจทก์ จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้แจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าซึ่งเป็นเจ้าพนักงาน และแม้จำเลยไม่ได้ยกปัญหานี้ฎีกาขึ้นมาโดยตรงก็ตาม แต่เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าการกระทำของจำเลยดังกล่าวไม่เป็นความผิด ก็ย่อมพิพากษายกฟ้องได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 ประกอบด้วยมาตรา 215 และมาตรา 225
การที่โจทก์จะขอให้ศาลบังคับตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า ฯ มาตรา 116 ต้องปรากฏในขณะที่ยื่นคำขอว่าจำเลยได้กระทำการหรือกำลังจะกระทำการปลอมหรือเลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ เมื่อปรากฏว่าโจทก์มีคำขอดังกล่าวมาท้ายคำฟ้องซึ่งบรรยายฟ้องว่า จำเลยกระทำผิดข้อหาปลอมและเลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ระหว่างเดือนมกราคม 2536 ถึงปลายเดือนมกราคม 2540 อันเป็นการแสดงว่าจำเลยกระทำการดังกล่าวเสร็จสิ้นไป ก่อนวันที่โจทก์มีคำขอมาท้ายคำฟ้องประมาณ 7 เดือน ไม่ใช่กรณีที่กล่าวอ้างว่าจำเลยกระทำการหรือกำลังจะกระทำการดังกล่าวในขณะที่โจทก์มีคำขอให้ศาลบังคับตามมาตรา 116 คำขอของโจทก์เช่นนี้จึงไม่ชอบด้วยมาตรา 116 ดังกล่าว ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาบังคับให้จำเลยระงับหรือละเว้นการปลอม เลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวข้างต้น กรณีเช่นนี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความไม่ได้ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7757/2543 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานในคดีอาญา, การพิสูจน์ความผิด, การไม่โต้แย้งกระบวนการพิจารณา, การปรับแก้โทษ
ป.วิ.อ. มาตรา 241 และมาตรา 242 ไม่มีผลเป็นการบังคับว่าในการพิสูจน์ความผิดของจำเลย โจทก์จะต้องพิสูจน์ด้วยการนำพยานวัตถุมาศาลโจทก์อาจพิสูจน์ความผิดของจำเลยด้วยพยานหลักฐานอื่นที่ไม่ใช่พยานวัตถุได้
โจทก์พิสูจน์ความผิดของจำเลยว่า ของกลางที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 โดยอ้างบัญชีของกลางคดีอาญา ซึ่งระบุว่าเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 และเจ้าพนักงานตำรวจยึดได้ในกระเป๋ากางเกงด้านขวามือของจำเลย และจำเลยลงชื่อรับว่าถูกต้องและเป็นจริงประกอบกับรายงานผลการตรวจพิสูจน์ของกลางว่าของกลางเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ชนิดเมทแอมเฟตามีน โจทก์จึงไม่จำต้องนำเมทแอมเฟตามีนของกลางมาศาลอีก
คำฟ้องโจทก์ได้กล่าวถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่า จำเลยได้กระทำผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดจากการกระทำนั้น อีกทั้งบุคคลและสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ส่วนคำร้องขอฝากขังซึ่งระบุรายละเอียดแตกต่างจากคำฟ้อง พนักงานสอบสวนเบิกความว่า เป็นการพิมพ์ผิดพลาด อีกทั้งคำฟ้องจะเคลือบคลุมหรือไม่นั้น ไม่เกี่ยวกับรายละเอียดในคำร้องขอฝากขังแต่ประการใด คำฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ปัญหาว่า การนั่งพิจารณาคดีโดยไม่ครบองค์คณะมีผู้พิพากษาเพียงนายเดียวนั่งพิจารณาจนกระทั่งมีคำพิพากษาจึงให้ผู้พิพากษาอีก 1 คน ที่ไม่ได้นั่งพิจารณาลงชื่อในคำพิพากษาด้วยชอบหรือไม่ ปรากฎว่าทุกครั้งที่มีการพิจารณาคดี จำเลยทนายจำเลยทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวดีอยู่แล้ว เมื่อจำเลยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านตั้งแต่ขณะที่ศาลชั้นต้นกำลังดำเนินกระบวนพิจารณาอยู่ต่อหน้าจำเลย เป็นการละเลยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านในเวลาอันสมควร ย่อมถือได้ว่าจำเลยได้สละสิทธินั้นแล้ว จำเลยจะยกขึ้นโต้แย้งเมื่อคดีขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาแล้วไม่ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย 8 เดือน จำเลยอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นปรับอีกสถานหนึ่งโดยปรับจำเลย 8,000 บาท แต่ให้รอการลงโทษจำคุกไว้ ไม่เป็นการเพิ่มโทษแก่จำเลย
โจทก์พิสูจน์ความผิดของจำเลยว่า ของกลางที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 โดยอ้างบัญชีของกลางคดีอาญา ซึ่งระบุว่าเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 และเจ้าพนักงานตำรวจยึดได้ในกระเป๋ากางเกงด้านขวามือของจำเลย และจำเลยลงชื่อรับว่าถูกต้องและเป็นจริงประกอบกับรายงานผลการตรวจพิสูจน์ของกลางว่าของกลางเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ชนิดเมทแอมเฟตามีน โจทก์จึงไม่จำต้องนำเมทแอมเฟตามีนของกลางมาศาลอีก
คำฟ้องโจทก์ได้กล่าวถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่า จำเลยได้กระทำผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดจากการกระทำนั้น อีกทั้งบุคคลและสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ส่วนคำร้องขอฝากขังซึ่งระบุรายละเอียดแตกต่างจากคำฟ้อง พนักงานสอบสวนเบิกความว่า เป็นการพิมพ์ผิดพลาด อีกทั้งคำฟ้องจะเคลือบคลุมหรือไม่นั้น ไม่เกี่ยวกับรายละเอียดในคำร้องขอฝากขังแต่ประการใด คำฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ปัญหาว่า การนั่งพิจารณาคดีโดยไม่ครบองค์คณะมีผู้พิพากษาเพียงนายเดียวนั่งพิจารณาจนกระทั่งมีคำพิพากษาจึงให้ผู้พิพากษาอีก 1 คน ที่ไม่ได้นั่งพิจารณาลงชื่อในคำพิพากษาด้วยชอบหรือไม่ ปรากฎว่าทุกครั้งที่มีการพิจารณาคดี จำเลยทนายจำเลยทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวดีอยู่แล้ว เมื่อจำเลยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านตั้งแต่ขณะที่ศาลชั้นต้นกำลังดำเนินกระบวนพิจารณาอยู่ต่อหน้าจำเลย เป็นการละเลยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านในเวลาอันสมควร ย่อมถือได้ว่าจำเลยได้สละสิทธินั้นแล้ว จำเลยจะยกขึ้นโต้แย้งเมื่อคดีขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาแล้วไม่ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย 8 เดือน จำเลยอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นปรับอีกสถานหนึ่งโดยปรับจำเลย 8,000 บาท แต่ให้รอการลงโทษจำคุกไว้ ไม่เป็นการเพิ่มโทษแก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7757/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ความผิดทางอาญา, คำฟ้องเคลือบคลุม, การนั่งพิจารณาคดีไม่ครบองค์คณะ, และการแก้ไขโทษของศาลอุทธรณ์
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 241และมาตรา 242 ไม่มีผลเป็นการบังคับว่าในการพิสูจน์ความผิดของจำเลย โจทก์จะต้องพิสูจน์ด้วยการนำพยานวัตถุมาศาลโจทก์อาจพิสูจน์ความผิดของจำเลยด้วยพยานหลักฐานอื่นที่ไม่ใช่พยานวัตถุได้
โจทก์พิสูจน์ความผิดของจำเลยว่า ของกลางที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1โดยอ้างบัญชีของกลางคดีอาญา ซึ่งระบุว่าเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 และเจ้าพนักงานตำรวจยึดได้ในกระเป๋ากางเกงด้านขวามือของจำเลย และจำเลยลงชื่อรับว่าถูกต้องและเป็นจริงประกอบกับรายงานผลการตรวจพิสูจน์ของกลางว่าของกลางเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ชนิดเมทแอมเฟตามีนโจทก์จึงไม่จำต้องนำเมทแอมเฟตามีนของกลางมาศาลอีก
คำฟ้องโจทก์ได้กล่าวถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่า จำเลยได้กระทำผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดจากการกระทำนั้น อีกทั้งบุคคลและสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ส่วนคำร้องขอฝากขังซึ่งระบุรายละเอียดแตกต่างจากคำฟ้อง พนักงานสอบสวนเบิกความว่า เป็นการพิมพ์ผิดพลาด อีกทั้งคำฟ้องจะเคลือบคลุมหรือไม่นั้น ไม่เกี่ยวกับรายละเอียดในคำร้องขอฝากขังแต่ประการใดคำฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ปัญหาว่า การนั่งพิจารณาคดีโดยไม่ครบองค์คณะมีผู้พิพากษาเพียงนายเดียวนั่งพิจารณาจนกระทั่งมีคำพิพากษาจึงให้ผู้พิพากษาอีก 1 คน ที่ไม่ได้นั่งพิจารณาลงชื่อในคำพิพากษาด้วยชอบหรือไม่ปรากฏว่าทุกครั้งที่มีการพิจารณาคดี จำเลยทนายจำเลยทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวดีอยู่แล้ว เมื่อจำเลยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านตั้งแต่ขณะที่ศาลชั้นต้นกำลังดำเนินกระบวนพิจารณาอยู่ต่อหน้าจำเลย เป็นการละเลยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านในเวลาอันสมควรย่อมถือได้ว่าจำเลยได้สละสิทธินั้นแล้ว จำเลยจะยกขึ้นโต้แย้งเมื่อคดีขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาแล้วไม่ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย 8 เดือน จำเลยอุทธรณ์การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นปรับอีกสถานหนึ่งโดยปรับจำเลย8,000 บาท แต่ให้รอการลงโทษจำคุกไว้ ไม่เป็นการเพิ่มโทษแก่จำเลย
โจทก์พิสูจน์ความผิดของจำเลยว่า ของกลางที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1โดยอ้างบัญชีของกลางคดีอาญา ซึ่งระบุว่าเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 และเจ้าพนักงานตำรวจยึดได้ในกระเป๋ากางเกงด้านขวามือของจำเลย และจำเลยลงชื่อรับว่าถูกต้องและเป็นจริงประกอบกับรายงานผลการตรวจพิสูจน์ของกลางว่าของกลางเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ชนิดเมทแอมเฟตามีนโจทก์จึงไม่จำต้องนำเมทแอมเฟตามีนของกลางมาศาลอีก
คำฟ้องโจทก์ได้กล่าวถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่า จำเลยได้กระทำผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดจากการกระทำนั้น อีกทั้งบุคคลและสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ส่วนคำร้องขอฝากขังซึ่งระบุรายละเอียดแตกต่างจากคำฟ้อง พนักงานสอบสวนเบิกความว่า เป็นการพิมพ์ผิดพลาด อีกทั้งคำฟ้องจะเคลือบคลุมหรือไม่นั้น ไม่เกี่ยวกับรายละเอียดในคำร้องขอฝากขังแต่ประการใดคำฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ปัญหาว่า การนั่งพิจารณาคดีโดยไม่ครบองค์คณะมีผู้พิพากษาเพียงนายเดียวนั่งพิจารณาจนกระทั่งมีคำพิพากษาจึงให้ผู้พิพากษาอีก 1 คน ที่ไม่ได้นั่งพิจารณาลงชื่อในคำพิพากษาด้วยชอบหรือไม่ปรากฏว่าทุกครั้งที่มีการพิจารณาคดี จำเลยทนายจำเลยทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวดีอยู่แล้ว เมื่อจำเลยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านตั้งแต่ขณะที่ศาลชั้นต้นกำลังดำเนินกระบวนพิจารณาอยู่ต่อหน้าจำเลย เป็นการละเลยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านในเวลาอันสมควรย่อมถือได้ว่าจำเลยได้สละสิทธินั้นแล้ว จำเลยจะยกขึ้นโต้แย้งเมื่อคดีขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาแล้วไม่ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย 8 เดือน จำเลยอุทธรณ์การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นปรับอีกสถานหนึ่งโดยปรับจำเลย8,000 บาท แต่ให้รอการลงโทษจำคุกไว้ ไม่เป็นการเพิ่มโทษแก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7757/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ความผิดทางอาญา, คำฟ้องไม่เคลือบคลุม, องค์คณะศาลไม่ครบ, และการแก้ไขโทษของศาลอุทธรณ์
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 241 และ มาตรา 242ไม่มีผลเป็นการบังคับว่าในการพิสูจน์ความผิดของจำเลย โจทก์จะต้องพิสูจน์ด้วยพยานวัตถุ โจทก์อาจพิสูจน์ความผิดของจำเลยด้วยพยานหลักฐานอื่นที่ไม่ใช่พยานวัตถุก็ได้
โจทก์คดีนี้พิสูจน์ความผิดของจำเลยว่า ของกลางที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 โดยอ้างบัญชีของกลางคดีอาญา ซึ่งระบุว่าเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 และเจ้าพนักงานตำรวจยึดได้ในกระเป๋ากางเกงด้านขวามือของจำเลยและจำเลยลงชื่อรับว่าถูกต้องและเป็นจริงประกอบกับรายงานผลการตรวจพิสูจน์ของกลางว่าของกลางเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดเมทแอมเฟตามีนโจทก์จึงไม่จำต้องนำเมทแอมเฟตามีนของกลางมาศาล
คำฟ้องโจทก์ได้กล่าวถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่า จำเลยได้กระทำผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดจากการกระทำนั้น อีกทั้งบุคคลและสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ส่วนคำร้องขอฝากขังครั้งที่ 1 ซึ่งระบุรายละเอียดแตกต่างจากคำฟ้อง พนักงานสอบสวนเบิกความว่า เป็นการพิมพ์ผิดพลาด อีกทั้งคำฟ้องจะเคลือบคลุมหรือไม่นั้น ไม่เกี่ยวกับรายละเอียดในคำร้องขอฝากขังแต่ประการใดคำฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ทุกครั้งที่มีการพิจารณาคดี จำเลยและทนายจำเลยทราบดีอยู่แล้วว่าการนั่งพิจารณาคดีไม่ครบองค์คณะ จนกระทั่งมีคำพิพากษาจึงให้ผู้พิพากษาอีก 1 คน ที่ไม่ได้นั่งพิจารณาลงชื่อในคำพิพากษาด้วยแต่เมื่อจำเลยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านตั้งแต่ขณะที่ศาลชั้นต้นกำลังดำเนินกระบวนพิจารณาอยู่ต่อหน้าจำเลย เป็นการละเลยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านในเวลาอันสมควร ย่อมถือได้ว่าจำเลยได้สละสิทธินั้นแล้ว จำเลยจะยกขึ้นโต้แย้งเมื่อคดีขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาแล้วไม่ได้
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 กำหนดระดับการลงโทษไว้โดยโทษจำคุกอยู่ใน (2) ส่วนโทษปรับอยู่ใน (4) ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย 8 เดือน จำเลยอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นปรับอีกสถานหนึ่งแต่ให้รอการลงโทษจำคุกไว้จึงไม่เป็นการเพิ่มโทษแก่จำเลย
โจทก์คดีนี้พิสูจน์ความผิดของจำเลยว่า ของกลางที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 โดยอ้างบัญชีของกลางคดีอาญา ซึ่งระบุว่าเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 และเจ้าพนักงานตำรวจยึดได้ในกระเป๋ากางเกงด้านขวามือของจำเลยและจำเลยลงชื่อรับว่าถูกต้องและเป็นจริงประกอบกับรายงานผลการตรวจพิสูจน์ของกลางว่าของกลางเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดเมทแอมเฟตามีนโจทก์จึงไม่จำต้องนำเมทแอมเฟตามีนของกลางมาศาล
คำฟ้องโจทก์ได้กล่าวถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่า จำเลยได้กระทำผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดจากการกระทำนั้น อีกทั้งบุคคลและสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ส่วนคำร้องขอฝากขังครั้งที่ 1 ซึ่งระบุรายละเอียดแตกต่างจากคำฟ้อง พนักงานสอบสวนเบิกความว่า เป็นการพิมพ์ผิดพลาด อีกทั้งคำฟ้องจะเคลือบคลุมหรือไม่นั้น ไม่เกี่ยวกับรายละเอียดในคำร้องขอฝากขังแต่ประการใดคำฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ทุกครั้งที่มีการพิจารณาคดี จำเลยและทนายจำเลยทราบดีอยู่แล้วว่าการนั่งพิจารณาคดีไม่ครบองค์คณะ จนกระทั่งมีคำพิพากษาจึงให้ผู้พิพากษาอีก 1 คน ที่ไม่ได้นั่งพิจารณาลงชื่อในคำพิพากษาด้วยแต่เมื่อจำเลยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านตั้งแต่ขณะที่ศาลชั้นต้นกำลังดำเนินกระบวนพิจารณาอยู่ต่อหน้าจำเลย เป็นการละเลยไม่ได้โต้แย้งคัดค้านในเวลาอันสมควร ย่อมถือได้ว่าจำเลยได้สละสิทธินั้นแล้ว จำเลยจะยกขึ้นโต้แย้งเมื่อคดีขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาแล้วไม่ได้
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 กำหนดระดับการลงโทษไว้โดยโทษจำคุกอยู่ใน (2) ส่วนโทษปรับอยู่ใน (4) ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลย 8 เดือน จำเลยอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นปรับอีกสถานหนึ่งแต่ให้รอการลงโทษจำคุกไว้จึงไม่เป็นการเพิ่มโทษแก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1768/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานมียาเสพติด ศาลยกฟ้องเนื่องจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอและคำรับสารภาพไม่น่าเชื่อถือ
ส. ได้ขับรถยนต์กระบะของจำเลยทั้งสองมาตั้งแต่ก่อนวันเกิดเหตุ จนถึงเวลาเช้าของวันเกิดเหตุ และก่อนที่เจ้าพนักงานตำรวจจะติดตามรถยนต์กระบะไปบ้าน ส. เพื่อตรวจค้นและจับกุม ส. ก็ยังขับรถยนต์กระบะโดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสองได้นั่งอยู่ในรถยนต์กระบะกับ ส. หรือได้เกี่ยวข้องกับรถยนต์กระบะแต่อย่างใด กลับได้ความว่าเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจติดตามไปที่บ้านของ ส. พบจำเลยทั้งสองอยู่ที่บ้านของ ส. แต่ ส. ซึ่งเป็นผู้ขับรถยนต์กระบะได้หลบหนีไปก่อนจะมีการตรวจค้นและจับกุม ดังนี้ จึงไม่อาจเป็นข้อบ่งชี้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า เมทแอมเฟตามีนของกลางที่ค้นพบในรถกระบะของจำเลยเป็นของจำเลยทั้งสองแต่อาจเป็นของ ส. ก็เป็นได้ แม้โจทก์มีคำรับสารภาพของจำเลยทั้งสองในชั้นจับกุม แต่จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธในชั้นพิจารณาและโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาสืบให้เห็นว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางเป็นของจำเลยทั้งสองจึงมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำความผิดหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยทั้งสอง
ศาลจะสั่งริบเมทแอมเฟตามีนให้แก่กระทรวงสาธารณสุขตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 116 ได้ต้องเป็นกรณีที่มีการลงโทษตามมาตรา 89 เมื่อศาลพิพากษายกฟ้องจึงไม่อาจริบเมทแอมเฟตามีนของกลางให้แก่กระทรวงสาธารณสุขได้ แต่การมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเป็นความผิด ศาลริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32
ธนบัตรชนิดต่าง ๆ จำนวน 30,000 บาท ไม่ใช่ทรัพย์สินที่จำเลยได้มาโดยการกระทำผิดในคดีนี้ ซึ่งการริบทรัพย์สินเป็นโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 18(5) จึงต้องมีการฟ้องจำเลยในความผิดดังกล่าวและพิสูจน์ความผิดของจำเลยต่อศาลเสียก่อน เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องจำเลยถึงการกระทำดังกล่าวในครั้งก่อนโดยตรง เพียงแต่กล่าวพาดพิงว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่จำเลยได้มาจากการขายเมทแอมเฟตามีนเท่านั้นจึงยังไม่เป็นการเพียงพอ ศาลไม่อาจริบเงิน30,000 บาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(2) ได้
ศาลจะสั่งริบเมทแอมเฟตามีนให้แก่กระทรวงสาธารณสุขตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 116 ได้ต้องเป็นกรณีที่มีการลงโทษตามมาตรา 89 เมื่อศาลพิพากษายกฟ้องจึงไม่อาจริบเมทแอมเฟตามีนของกลางให้แก่กระทรวงสาธารณสุขได้ แต่การมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเป็นความผิด ศาลริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32
ธนบัตรชนิดต่าง ๆ จำนวน 30,000 บาท ไม่ใช่ทรัพย์สินที่จำเลยได้มาโดยการกระทำผิดในคดีนี้ ซึ่งการริบทรัพย์สินเป็นโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 18(5) จึงต้องมีการฟ้องจำเลยในความผิดดังกล่าวและพิสูจน์ความผิดของจำเลยต่อศาลเสียก่อน เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องจำเลยถึงการกระทำดังกล่าวในครั้งก่อนโดยตรง เพียงแต่กล่าวพาดพิงว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่จำเลยได้มาจากการขายเมทแอมเฟตามีนเท่านั้นจึงยังไม่เป็นการเพียงพอ ศาลไม่อาจริบเงิน30,000 บาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(2) ได้