พบผลลัพธ์ทั้งหมด 120 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2754/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรอการลงโทษเบากว่าโทษกักขัง ศาลอุทธรณ์แก้ไขคำพิพากษาได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำคุกและปรับจำเลย แต่โทษจำคุกให้เปลี่ยนเป็นโทษกักขังแทน การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นไม่เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังและให้รอการลงโทษจำเลยไว้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56นั้น ไม่เป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 เพราะการรอการลงโทษยังไม่ต้องรับโทษจึงเบากว่าโทษกักขัง
(วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 13/2517)
(วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 13/2517)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2754/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรอการลงโทษเบากว่าโทษกักขัง ศาลอุทธรณ์แก้คำพิพากษาได้โดยไม่เพิ่มโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำคุกและปรับจำเลยแต่โทษจำคุกให้เปลี่ยนเป็นโทษกักขังแทน การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นไม่เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังและให้รอการลงโทษจำเลยไว้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56นั้นไม่เป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 212 เพราะการรอการลงโทษยังไม่ต้องรับโทษจึงเบากว่าโทษกักขัง
(วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 13/2517)
(วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 13/2517)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 541/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาให้ชำระเงินบำเหน็จตาม พ.ร.บ.การประมง มีผลเป็นการลงโทษทางอาญา ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจกำหนดจำนวนเงิน
การที่ศาลพิพากษาให้ผู้กระทำความผิดจ่ายเงินบำเหน็จตามมาตรา 71 พระราชบัญญัติการประมงมีผลเท่ากับเป็นการลงโทษทางอาญาแก่ผู้กระทำความผิด ชอบที่ศาลจะใช้ดุลพินิจกำหนดโทษหรืออีกนัยหนึ่งกำหนดเงินบำเหน็จได้ตามควรแก่กรณีคำสั่งกระทรวงเกษตรซึ่งวางระเบียบการจ่ายเงินบำเหน็จเป็นคำสั่งที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 71 แห่งพระราชบัญญัติการประมงฯจึงไม่มีทางแปลไปได้ว่าเป็นบทบังคับศาลพิพากษาให้ผู้กระทำความผิดชำระเงินบำเหน็จไปตามจำนวนที่พนักงานเจ้าหน้าที่กำหนด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 541/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เงินบำเหน็จนำจับตาม พ.ร.บ.การประมง ถือเป็นการลงโทษทางอาญา ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจกำหนดจำนวน
การที่ศาลพิพากษาให้ผู้กระทำความผิดจ่ายเงินบำเหน็จตามมาตรา 71 พระราชบัญญัติการประมงมีผลเท่ากับเป็นการลงโทษทางอาญาแก่ผู้กระทำความผิด ชอบที่ศาลจะใช้ดุลพินิจกำหนดโทษหรืออีกนัยหนึ่ง กำหนดเงินบำเหน็จได้ตามควรแก่กรณีคำสั่งกระทรวงเกษตรซึ่งวางระเบียบการจ่ายเงินบำเหน็จ เป็นคำสั่งที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 71 แห่งพระราชบัญญัติการประมงฯจึงไม่มีทางแปลไปได้ว่าเป็นบทบังคับศาลพิพากษาให้ผู้กระทำความผิดชำระเงินบำเหน็จไปตามจำนวนที่พนักงานเจ้าหน้าที่กำหนด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 448/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
รวมการพิจารณาคดีลักทรัพย์เด็ก - การส่งตัวไปฝึกอบรมไม่ใช่การลงโทษ - รวมโทษได้
จำเลยกระทำความผิด 2 กรรม โจทก์ฟ้องเป็น 2 สำนวนเมื่อจะเป็นการสะดวกหากพิจารณารวมกัน ศาลชั้นต้นย่อมสั่งให้พิจารณารวมกันได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 28การพิพากษาความผิดของจำเลยจะต้องพิพากษาทุกกรรมส่วนวิธีการลงโทษต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91แต่จำเลยมีอายุไม่เกิน 17 ปี และศาลชั้นต้นเห็นว่าไม่สมควรพิพากษาลงโทษ จึงพิพากษาให้ส่งตัวไปรับการฝึกอบรมยังสถานพินิจฯ ดังนี้ ไม่อยู่ในบังคับแห่งมาตรา 91 เพราะไม่ใช่การลงโทษ จึงรวมกำหนดระยะเวลาการส่งตัวไปรับการฝึกอบรมทั้งสองสำนวนเข้าด้วยกันได้ ไม่จำต้องกำหนดว่าสำนวนละเท่าใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 448/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
รวมพิจารณาคดีอาญาเด็กและวิธีการลงโทษแบบไม่ลงโทษ (ส่งสถานพินิจ) การรวมโทษและอำนาจศาล
จำเลยกระทำความผิด 2 กรรม โจทก์ฟ้องเป็น 2 สำนวนเมื่อจะเป็นการสะดวกหากพิจารณารวมกัน ศาลชั้นต้นย่อมสั่งให้พิจารณารวมกันได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 28การพิพากษาความผิดของจำเลยจะต้องพิพากษาทุกกรรม ส่วนวิธีการลงโทษต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 แต่จำเลยมีอายุไม่เกิน 17 ปี และศาลชั้นต้นเห็นว่าไม่สมควรพิพากษาลงโทษ จึงพิพากษาให้ส่งตัวไปรับการฝึกอบรมยังสถานพินิจฯ ดังนี้ ไม่อยู่ในบังคับแห่งมาตรา 91 เพราะไม่ใช่การลงโทษ จึงรวมกำหนดระยะเวลาการส่งตัวไปรับการฝึกอบรมทั้งสองสำนวนเข้าด้วยกันได้ ไม่จำต้องกำหนดว่าสำนวนละเท่าใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 246/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบทรัพย์ในคดีพนัน แม้ผู้กระทำความผิดไม่ต้องรับโทษ ศาลก็มีอำนาจริบได้ โดยแยกพิจารณาทรัพย์สินพนันกับเครื่องมือ
ในเรื่องริบทรัพย์นั้น แม้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18บัญญัติว่าเป็นโทษสถานหนึ่ง แต่ก็เป็นโทษที่มุ่งถึงตัวทรัพย์เป็นสำคัญ ต่างกับโทษสถานอื่น แม้จำเลยซึ่งเป็นผู้กระทำความผิดจะไม่ต้องรับโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 74 ศาลก็ชอบที่จะสั่งริบทรัพย์สินของกลางได้
ตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ.2478 มาตรา 10 ทรัพย์สินพนันกันซึ่งจับได้ในวงการเล่นนั้น เป็นทรัพย์สินที่ต้องริบโดยเด็ดขาดเว้นแต่ทรัพย์สินซึ่งมิได้เอาออกพนัน ส่วนทรัพย์สินที่เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเล่นพนัน ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจที่จะสั่งริบหรือไม่ก็ได้
ตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ.2478 มาตรา 10 ทรัพย์สินพนันกันซึ่งจับได้ในวงการเล่นนั้น เป็นทรัพย์สินที่ต้องริบโดยเด็ดขาดเว้นแต่ทรัพย์สินซึ่งมิได้เอาออกพนัน ส่วนทรัพย์สินที่เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเล่นพนัน ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจที่จะสั่งริบหรือไม่ก็ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 246/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบทรัพย์ในคดีการพนัน: ศาลมีอำนาจริบได้แม้ผู้กระทำผิดไม่ต้องรับโทษ หากทรัพย์สินนั้นเป็นของกลางที่ใช้ในการพนัน
ในเรื่องริบทรัพย์นั้น แม้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18บัญญัติว่าเป็นโทษสถานหนึ่ง แต่ก็เป็นโทษที่มุ่งถึงตัวทรัพย์เป็นสำคัญต่างกับโทษสถานอื่น แม้จำเลยซึ่งเป็นผู้กระทำความผิดจะไม่ต้องรับโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 74 ศาลก็ชอบที่จะสั่งริบทรัพย์สินของกลางได้
ตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ.2478 มาตรา 10 ทรัพย์สินพนันกันซึ่งจับได้ในวงการเล่นนั้น เป็นทรัพย์สินที่ต้องริบโดยเด็ดขาดเว้นแต่ทรัพย์สินซึ่งมิได้เอาออกพนัน ส่วนทรัพย์สินที่เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเล่นพนัน ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจที่จะสั่งริบหรือไม่ก็ได้
ตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ.2478 มาตรา 10 ทรัพย์สินพนันกันซึ่งจับได้ในวงการเล่นนั้น เป็นทรัพย์สินที่ต้องริบโดยเด็ดขาดเว้นแต่ทรัพย์สินซึ่งมิได้เอาออกพนัน ส่วนทรัพย์สินที่เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเล่นพนัน ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจที่จะสั่งริบหรือไม่ก็ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 52/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิด แม้ผู้กระทำผิดได้รับการยกฟ้อง
บทบัญญัติในเรื่องริบทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นกรณีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32 หรือ มาตรา 33 นั้น มุ่งถึงตัวทรัพย์เป็นสำคัญ จะต่างกันก็แต่ว่า ตามมาตรา 32 ศาลจะต้องริบเสียทั้งสิ้น ส่วนมาตรา 33 ให้อยู่ในดุลพินิจของศาล เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 33วรรคท้ายเท่านั้น ที่จะสั่งริบไม่ได้
ดังนั้น ในคดีที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกมีปืนและสายไฟฟ้าติดตัวร่วมกันปล้นทรัพย์ โดยใช้สายไฟฟ้ารัดคอเจ้าทรัพย์ แม้ศาลจะวินิจฉัยว่า จำเลยมิได้กระทำผิดก็ดี แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าสายไฟฟ้าของกลางเป็นทรัพย์สินซึ่งใช้ในการกระทำผิดแล้วก็ย่อมริบได้ เพราะอยู่ในดุลพินิจของศาล ตามมาตรา 33(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 1/2516)
ดังนั้น ในคดีที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกมีปืนและสายไฟฟ้าติดตัวร่วมกันปล้นทรัพย์ โดยใช้สายไฟฟ้ารัดคอเจ้าทรัพย์ แม้ศาลจะวินิจฉัยว่า จำเลยมิได้กระทำผิดก็ดี แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าสายไฟฟ้าของกลางเป็นทรัพย์สินซึ่งใช้ในการกระทำผิดแล้วก็ย่อมริบได้ เพราะอยู่ในดุลพินิจของศาล ตามมาตรา 33(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 1/2516)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 52/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำผิด แม้จำเลยพ้นผิด ศาลยังคงมีอำนาจริบได้ตามดุลพินิจ
บทบัญญัติในเรื่องริบทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นกรณีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32 หรือ มาตรา 33 นั้น มุ่งถึงตัวทรัพย์เป็นสำคัญ จะต่างกันก็แต่ว่า ตามมาตรา 32 ศาลจะต้องริบเสียทั้งสิ้น ส่วนมาตรา 33 ให้อยู่ในดุลพินิจของศาล เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 33วรรคท้ายเท่านั้น ที่จะสั่งริบไม่ได้
ดังนั้น ในคดีที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกมีปืนและสายไฟฟ้าติดตัวร่วมกันปล้นทรัพย์ โดยใช้สายไฟฟ้ารัดคอเจ้าทรัพย์ แม้ศาลจะวินิจฉัยว่า จำเลยมิได้กระทำผิดก็ดี แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าสายไฟฟ้าของกลางเป็นทรัพย์สินซึ่งใช้ในการกระทำผิดแล้วก็ย่อมริบได้ เพราะอยู่ในดุลพินิจของศาล ตามมาตรา 33(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 1/2516 )
ดังนั้น ในคดีที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกมีปืนและสายไฟฟ้าติดตัวร่วมกันปล้นทรัพย์ โดยใช้สายไฟฟ้ารัดคอเจ้าทรัพย์ แม้ศาลจะวินิจฉัยว่า จำเลยมิได้กระทำผิดก็ดี แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าสายไฟฟ้าของกลางเป็นทรัพย์สินซึ่งใช้ในการกระทำผิดแล้วก็ย่อมริบได้ เพราะอยู่ในดุลพินิจของศาล ตามมาตรา 33(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 1/2516 )