คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
พจน์ ปุษปาคม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 759 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 904/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องบุพการี: ผู้สืบสันดานฟ้องโดยผู้แทนโดยชอบธรรมก็เป็นบุพการีต้องห้าม
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1534 ซึ่งห้ามมิให้ฟ้องบุพการีของตนนั้น รวมความถึงการที่ผู้สืบสันดานฟ้องบุพการีโดยผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้แทนอย่างอื่นด้วย ฉะนั้น โจทก์ในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์ ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยซึ่งเป็นบุพการีของผู้เยาว์ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 825/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารสิทธิชำระหนี้, อำนาจสอบสวนคดีอาญา
จำเลยขำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เพียง 10,000 บาทแล้วจำเลยแก้ไขจำนวนเงินในใบรับเงินที่เจ้าหนี้เซ็นชื่อเป็นผู้รับเงิน โดยแก้ 10,000 บาท เป็ฯ 70,0100 บาท ต่อมาจำเลยคัดสำเนาใบรับเงินที่ปลอมนั้นมาแสดงต่อศาลทำให้เจ้าหนี้ได้รับความเสียหาย เพราถ้าศาลหลงเชื่อว่าเป็ฯเอาสารที่แ้จริงแล้ว เจ้าหนี้จะต้องขาดเงินที่ควรได้รับชำระหนี้ไป 60,000 บาท การปลอมของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 264 แล้ว และเอกสารนี้เป็นใบรับเงินชำระหนี้ แสดงว่าสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้ในจำนวนเงินนี้ระงับไปแล้ว จำเลยจึงมีความผิดฐานปลอมเอาสารสิทธิตามมาตรา 265 และการที่จำเลยคัดสำเนาเอกสารที่ปลอมแสดงต่อศาลเป็นการอ้างถึงเอกสารที่ปลอม จึงเป็นความผิดตามมาตรา 268 ด้วย ต้องลงโทษจำเลยตามมาตรา 268 ตามอัตราโทษในมาตรา 265
คำบรรยายฟ้องที่แสดงว่าวันเวลาที่ระบุไว้นั้นหมายถึงวันเวลาที่ทำปลอมกับที่ใช้เอกสารปลอมด้วย
จำเลยที่ 2 ชำระเงินให้เจ้าหนี้และเจ้าหนี้ออกใบรับเงินให้ที่บ้านในท้องที่บุบผาราม จำเลยที่ 1 และที่ 2 อยู่ที่เทเวศร์ จำเลยที่ 1 ปลอมใบรับเงินนั้นที่ไหนไม่ปรากฎ แต่เอามาใช้อ้างที่ศาลแพ่ง จำเลยที่ 1 ถูกจับในท้องที่นางเลิ้ง ส่วนจำเลยที่ 2 ถูกจับที่สถานีตำรวจบุบผาราม เมื่อเป็นการไม่แน่ว่าการกระทำผิดได้กระทำในท้องที่ใด แต่จำเลยที่ 2 ถูกจับที่สถานีตำรวจบุบผารามเช่นนี้พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจบุบผารามจึงมีอำนาจสอบสวนคดีนี้ได้ และย่อมสอบสวนจำเลยที่ 1 ได้ด้วย เพราะมีข้อหาว่าร่วมกันกระทำผิดในคดีนี้ด้วย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 825/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารสิทธิเพื่อหลีกเลี่ยงหนี้สิน การกำหนดอำนาจสอบสวน
จำเลยชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้เพียง 10,000 บาทแล้วจำเลยแก้ไขจำนวนเงินในใบรับเงินที่เจ้าหนี้เซ็นชื่อเป็นผู้รับเงิน โดยแก้ 10,000 บาท เป็น 70,000 บาท ต่อมาจำเลยคัดสำเนาใบรับเงินที่ปลอมนั้นมาแสดงต่อศาลทำให้เจ้าหนี้ได้รับความเสียหายเพราะถ้าศาลหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงแล้ว เจ้าหนี้จะต้องขาดเงินที่ควรได้รับชำระหนี้ไป 60,000 บาทการปลอมของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 264 แล้ว และเอกสารนี้เป็นใบรับเงินชำระหนี้แสดงว่าสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้ในจำนวนเงินนี้ระงับไปแล้วจำเลยจึงมีความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิตามมาตรา 265 และการที่จำเลยคัดสำเนาเอกสารที่ปลอมแสดงต่อศาลเป็นการอ้างถึงเอกสารที่ปลอม จึงเป็นความผิดตามมาตรา 268 ด้วยต้องลงโทษจำเลยตามมาตรา 268 ตามอัตราโทษในมาตรา 265
คำบรรยายฟ้องที่แสดงว่าวันเวลาที่ระบุไว้นั้นหมายถึงวันเวลาที่ปลอมกับที่ใช้เอกสารปลอมด้วย
จำเลยที่ 2 ชำระเงินให้เจ้าหนี้และเจ้าหนี้ออกใบรับเงินที่บ้านในท้องที่บุบผาราม.จำเลยที่1และที่2อยู่ที่เทเวศร์ จำเลยที่ 1 ปลอมใบรับเงินนั้นที่ไหนไม่ปรากฏ แต่เอามาใช้อ้างที่ศาลแพ่ง จำเลยที่ 1 ถูกจับในท้องที่นางเลิ้งส่วนจำเลยที่2ถูกจับที่สถานีตำรวจบุบผาราม เมื่อเป็นการไม่แน่ว่าการกระทำผิดได้กระทำในท้องที่ใด แต่จำเลยที่ 2 ถูกจับที่สถานีตำรวจบุบผารามเช่นนี้พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจบุบผารามจึงมีอำนาจสอบสวนคดีนี้ได้และย่อมสอบสวนจำเลยที่ 1 ได้ด้วย เพราะมีข้อหาว่าร่วมกันกระทำผิดในคดีนี้ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 822/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าหน้าที่ทุจริตเรียกเก็บค่าธรรมเนียมทางหลวง ยักยอกเงิน
จำเลยมีหน้าที่เรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมเป็นรายได้รัฐบาล โดยขายบัตรให้แก่ผู้ใช้ทางหลวงสายพหลโยธินที่ผ่านประตูน้ำพระอินทร์ไปยังด่านรังสิตจำเลยได้นำบัตรของด่านรังสิตที่ใช้แล้วมาหมุนเวียนขายให้แก่ผู้ใช้ยานยนต์ซึ่งผ่านประตูน้ำพระอินทร์ไปยังด่านรังสิตแล้วยักยอกเอาเงินค่าธรรมเนียมขายบัตรนั้นเป็นประโยชน์ของตนเสีย ย่อมผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ไม่ผิดมาตรา 353.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 822/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าหน้าที่ทุจริตเรียกเก็บค่าธรรมเนียมทางหลวง ยักยอกเงินเข้าตนเอง
จำเลยมีหน้าที่เรียกเก็บเงินค่าธรรมเนียมเป็นรายได้รัฐบาลโดยขายบัตรให้แก่ผู้ใช้ทางหลวงสายพหลโยธินที่ผ่านประตูน้ำพระอินทร์ไปยังด่านรังสิตจำเลยได้นำบัตรของด่านรังสิตที่ใช้แล้วมาหมุนเวียนขายให้แก่ผู้ใช้ยานยนต์ซึ่งผ่านประตูน้ำพระอินทร์ไปยังด่านรังสิตแล้วยักยอกเอาเงินค่าธรรมเนียมขายบัตรนั้นเป็นประโยชน์ของตนเสียย่อมผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ไม่ผิดตามมาตรา 353

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 797/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกเลิกสัญญาเช่า, การปฏิบัติตามคำบังคับศาล, และความรับผิดในสัญญาประกัน
สัญญาเช่าไม่ได้กำหนดระยะเวลาการเช่าเป็นแต่ระบุค่าเช่าเดือนละ 30 บาท ต้องถือว่ากำหนดชำระค่าเช่าเป็นรายเดือน จำเลยจะเถียงว่าทางปฏิบัติชำระค่าเช่ากันเป็นรายปีไม่ได้ เพราะกฎหมายบัญญัติไว้ในมาตรา 566 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่า "ในความที่ตกลงกัน" คือ ตามสัญญา ไม่ใช่ทางปฎิบัติ เรื่องนี้ไม่มีกำหนดเวลาเช่า กำหนดแต่ระยะค่าเช่า คือ เดือนละครั้ง จึงบอกล่วงหน้าเพียง 1 เดือนก็พอ โจทก์บอกล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน 2501 และฟ้องคดีวันที่ 20 พฤศจิกายน 2501 เป็นเวลากว่า 1 เดือนชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยขนไม้และสิ่งของต่าง ๆ ออกไปให้พ้นที่ดินและบ้านเรือนของโจทก์ ซึ่งจำเลยเป็นผู้เช่าและเป็นผู้นำสิ่งของเหล่านี้เข้ามา ในชั้นบังคับคดี จำเลยทำสัญญาประกันกับศาลว่าจะปฎิบัติตามคำบังคับครบถ้วนทุกประการภายใน 7 วัน ถ้าไม่ปฏิบัติครบถ้วนภายในกำหนดจะยอมให้ปรับเป็นเงิน 8,000 บาท ครั้งถึงกำหนดปรากฎว่าจำเลยขนไม้และสิ่งของออกไปบางส่วน ส่วนไม้และสิ่งของที่เหลือจำเลยอ้างว่าเป็นของหุ้นส่วนซึ่งได้ตกลงแบ่งปันกันแล้ว ไม่ใช่ทรัพย์ของจำเลย ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยมีหน้าที่ขนของที่จำเลยนำเข้ามาออกไป ไม่ว่าจะเป็นของ ๆ ใครก็ตาม เมื่อจำเลยขนไปไม่หมดก็ต้องถูกปรับ 8,000 บาทตามสัญญา.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 797/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกเลิกสัญญาเช่า, ระยะเวลาบอกเลิก, และความรับผิดในการปฏิบัติตามสัญญาบังคับคดี
สัญญาเช่าไม่ได้กำหนดระยะเวลาการเช่าเป็นแต่ระบุค่าเช่าเดือนละ 30 บาท ต้องถือว่ากำหนดชำระค่าเช่าเป็นรายเดือนจำเลยจะเถียงว่าทางปฏิบัติชำระค่าเช่ากันเป็นรายปีไม่ได้เพราะกฎหมายบัญญัติไว้ในมาตรา 566 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่า 'ในความที่ตกลงกัน' คือ ตามสัญญา ไม่ใช่ทางปฏิบัติเรื่องนี้ไม่มีกำหนดเวลาเช่า กำหนดแต่ระยะค่าเช่า คือเดือนละครั้ง จึงบอกล่วงหน้าเพียง 1 เดือนก็พอโจทก์บอกล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน 2501 และฟ้องคดีวันที่ 20 พฤศจิกายน 2501 เป็นเวลากว่า 1 เดือน ชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยขนไม้และสิ่งของต่างๆ ออกไปให้พ้นที่ดินและบ้านเรือนของโจทก์ ซึ่งจำเลยเป็นผู้เช่าและเป็นผู้นำสิ่งของเหล่านี้เข้ามา ในชั้นบังคับคดี จำเลยทำสัญญาประกันกับศาลว่าจะปฏิบัติตามคำบังคับครบถ้วนทุกประการภายใน 7 วัน ถ้าไม่ปฏิบัติครบถ้วนภายในกำหนดจะยอมให้ปรับเป็นเงิน 8,000 บาทครั้นถึงกำหนดปรากฏว่าจำเลยขนไม้และสิ่งของออกไปบางส่วน ส่วนไม้และสิ่งของที่เหลือจำเลยอ้างว่าเป็นของหุ้นส่วนซึ่งได้ตกลงแบ่งปันกันแล้วไม่ใช่ทรัพย์ของจำเลยศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยมีหน้าที่ขนของที่จำเลยนำเข้ามาออกไปไม่ว่าจะเป็นของๆ ใครก็ตาม เมื่อจำเลยขนไปไม่หมด ก็ต้องถูกปรับ 8,000 บาทตามสัญญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 775/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ยักยอกทรัพย์: การครอบครองนาฬิกาผู้อื่นโดยเจตนาทุจริต
นาฬิกาข้อมือของผู้เสียหายตกหายโดยผู้เสียหายไม่ทราบว่าตกหาย ณ ที่ใด ในวันเดียวกันนั้นเองบุตรจำเลยเก็บนาฬิกาดังกล่าวได้แล้วนำไปมอบแก่จำเลยซึ่งเป็นมารดาเก็บไว้วันรุ่งขึ้นผู้เสียหายทราบจึงไปขอนาฬิกาคืนจากจำเลยจำเลยได้เอานาฬิกาซึ่งมิใช่ของผู้เสียหายมาให้ดู และยืนยันว่าเป็นนาฬิกาที่บุตรจำเลยเก็บได้ไม่ยอมคืนนาฬิกาของผู้เสียหายให้ดังนี้การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคต้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 775/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ยักยอกทรัพย์: การครอบครองทรัพย์ผู้อื่นโดยทุจริตและไม่ยอมคืนถือเป็นความผิด
นาฬิกาข้อมือแบบหญิงยี่ห้อมิโดเรือนทอง 1 เรือนของผู้เสียหายตกหายเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2502 โดยผู้เสียหายไม่ทราบว่าตกหาย ณ ที่ใด ในวันเดียวกันนั้นเอง บุตรจำเลยเก็บนาฬิกาดังกล่าวได้แล้วนำไปมอบแก่จำเลยซึ่งเป็นมารดาเก็บไว้ วันรุ่งขึ้นผู้เสียหายทราบจึงไปขอนาฬิกาคืนจากจำเลย จำเลยได้เอานาฬิกาซึ่งมิใช่ของผู้เสียหายมาให้ดูและยืนยันว่าเป้นนาฬิกาที่บุตรจำเลยเก็บได้ไม่ยอมคืนนาฬิกาของผู้เสียหายให้ ดังนี้ การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 วรรคต้น.
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 4/2506).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 765/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายแร่: การชำระหนี้ไม่ตรงตามสัญญา, ค่าเสียหาย, และการหักเงินที่จ่ายทดรอง
(1) เมื่อจำเลยซึ่งมีหน้าที่ต้องส่งมอบทรัพย์สินให้ตรงตามคำพรรณาในสัญญาจะบังคับให้โจทก์ผู้ซื้อยอมรับชำระหนี้บางส่วนหาได้ไม่ และกรณีอย่างนี้ถือได้ว่าจำเลยไม่ชำระหนี้ตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้และโจทก์เรียกค่าเสียหายได้
(2) เรื่องจำนวนค่าเสียหาย เมื่อจำเลยไม่ได้อ้างว่าจำนวนที่ศาลล่างกำหนดมานั้นสูงเกินควรอย่างไร ย่อมไม่มีเหตุที่ศาลสูงจะแก้
(3) เมื่อเอาสารที่โจทก์อ้างยันอยู่ว่าของที่ซื้อนั้นจำเลยเป็นผู้ออกเงินเอง ส่วนโจทก์เป็นเพียงผู้ช่วยซื้อ เมื่อโจทก์สืบหักล้างไม่ได้ว่าโจทก์ได้ออกเงินแทนไป ก็ต้องหักเงินจำนวนค่าซื้อของนี้ออก
(4) เมื่อศาลชั้นต้นกล่าวในคำพิพากษาว่า น้ำหนักของของที่ส่งไปขายยังสับสนกันอยู่แม้โจทก์จะแถลงว่าได้ขายของนั้นได้เงินมาจำนวนหนึ่งแล้วก็ตาม แต่ในชั้นอุทธรณ์จำเลยก็มิได้คดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในเรื่องนี้ย่อมไม่มีประเด็นในชั้นศาลฎีกาที่จะวินิจฉัยเรื่องขายของในระหว่างคดี หากแต่ต้องว่ากล่าวกันอีกส่วนหนึ่ง.
of 76