คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
พจน์ ปุษปาคม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 759 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 110/2505

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบรรยายฟ้องความผิดอาญา การใช้กฎหมายที่ใช้บังคับในขณะกระทำผิด และการแก้ฟ้อง
การบรรยายฟ้องเกี่ยวกับการกระทำนั้น หาต้องใช้ถ้อยคำในกฎหมายไม่จะบรรยายถ้อยคำอย่างใดพอให้เข้าใจได้ว่าจำเลยได้กระทำการที่กฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิดก็ใช้ได้
โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยเมื่อ พ.ศ.2498 ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญาซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลากระทำผิดถึงพ.ศ.2500 ซึ่งประมวลกฎหมายอาญาใช้บังคับแล้วและยกเลิกกฎหมายลักษณะอาญาโจทก์จึงขอแก้ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญาดังนี้เป็นเรื่องโจทก์เข้าใจผิดคิดว่ากฎหมายเปลี่ยนใหม่ก็ต้องลงตามกฎหมายใหม่ แต่ก็หาทำให้ฟ้องของโจทก์เสียไปไม่เพราะมีประมวลกฎหมายอาญามาตรา 3 บัญญัติว่าในกรณีเช่นนี้ให้ใช้กฎหมายส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 73/2505

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของข้าราชการต่อความเสียหายจากเงินถูกยักยอก กรณีละเลยคำสั่งและหน้าที่
กรณีข้าราชการประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้เงินของทางราชการถูกยักยอกไป อายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 448 นับแต่วันที่ผู้เสียหายได้รับทราบรายงานการสอบสวนว่าจำเลยต้องรับผิด
คำสั่งทางราชการมิให้นายอำเภอเก็บเงินไว้เกิน 8,000 บาท ถ้าเกินให้นายอำเภอหรือผู้รักษาการแทนนำส่งจังหวัดแต่ถ้าติดราชการจะนำส่งเองไม่ได้ก็ให้ตั้งกรรมการอำเภออย่างน้อย 2 นาย คุมเงินไปส่งได้ จำเลยที่ 1 เป็นนายอำเภอ ได้เก็บเงินไว้เกินจำนวนที่กำหนด จำเลยที่ 1 ติดราชการจึงสั่งตั้งกรมการอำเภอ 3 นาย คุมเงินไปส่งจังหวัดโดยระบุชัดว่าต้องร่วมกันระวังรักษาและห้ามมิให้แยกย้ายจากกันตลอดเวลาที่เงินอยู่ในความรับผิดชอบแต่จำเลยที่ 2 ซึ่งขณะนั้นรักษาการแทนนายอำเภอได้มอบเงินให้กรมการอำเภอเพียง 2 นาย คุมเงินไปส่งเพราะกรมการอำเภออีก 1 นายนั้นติดราชการแต่ก็ได้ให้ตำรวจอีก 2 นาย ร่วมทางไปด้วย ในการส่งเงิน จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นกรรมการคุมเงินไปด้วยกลับนั่งรออยู่นอกห้องสรรพากรและห้องคลังจังหวัด ปล่อยให้กรรมการอีก 1 นายเอาเงินเข้าไปส่งผู้เดียว เป็นเหตุให้กรรมการผู้นั้นทำลายใบนำส่งและเขียนขึ้นใหม่เป็นนำเงินส่งน้อยกว่าจำนวนที่รับมอบมาแล้วยักยอกเอาเงินที่เหลือไว้เป็นของตน ดังนี้ จำเลยที่ 3 ต้องรับผิดฐานละเมิดเพราะจำเลยฝ่าฝืนคำสั่งของนายอำเภอผู้บังคับบัญชาตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2497 มาตรา71,72,79 ความเสียหายจึงได้เกิดขึ้นส่วนจำเลยที่ 1 ถึงแม้จะฝ่าฝืนคำสั่งเก็บเงินไว้เกินจำนวนที่กำหนด แต่ความเสียหายยังไม่เกิดขึ้นในตอนนั้น และจำเลยที่ 1,2 ก็ได้สั่งการไปโดยชอบแล้ว ในการคุมเงินไปส่งจำเลยที่ 1,2 จึงไม่ต้องรับผิดด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 73/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางละเมิดของข้าราชการ กรณีประมาทเลินเล่อในการรักษาเงินของทางราชการและการปฏิบัติตามคำสั่ง
กรณีข้าราชการประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้เงินของทางราชการถูกยักยอกไป อายุความ 1 ปี ตามประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 448 นับแต่วันที่ผู้เสียหายได้รับทราบรายงานการสอบสวนว่าจำเลยต้องรับผิด
คำสั่งทางราชการมิให้นายอำเภอเก็บเงินไว้เกิน 8,000 บาท ถ้าเกิน ให้นายอำเภอหรือผู้รักษาการแทนนำส่งจังหวัด แต่ถ้าติดราชการจะนำส่งเองไม่ได้ ก็ให้ตั้งกรรมการอำเภออย่างน้อย 2 นาย คุมเงินไปส่งได้ จำเลยที่ 1 เป็นนายอำเภอได้เก็บเงินไว้เกินจำนวนที่กำหนดจำเลยที่ 1 ติดราชการจึงสั่งตั้งกรมการอำเภอ 3 นายคุมเงินไปส่งจังหวัดโดยระบุไว้ชัดว่าต้องร่วมกันระวังรักษาและห้ามมิให้แยกย้ายจากกันตลอดเวลาที่เงินอยู่ในความรับผิดชอบ แต่จำเลย ที่ 2 ซึ่งขณะนั้นรักษาแทนนายอำเภอได้ มอบเงินให้กรมการอำเภอเพียง 2 นาย คุมเงินไปส่งเพราะกรมการอำเภออีก 1 นาย นั้นติดราชการแต่ก็ได้ให้ตำรวจอีก 2 นายร่วมทางไปด้วย ในการส่งเงิน จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นกรรมการคุมเงินไปด้วยกลับนั่งรออยุ่นอกห้องสรรพกรและห้องคลังจังหวัด ปล่อยให้กรรมการอีก 1 นายเอาเข้าไปส่งแต่เพียงผู้เดียว เป็นเหตุให้กรรมการผู้นั้นทำลายในนำส่งและเขียนขึ้นมาใหม่ เป็นนำเงินส่งน้อยกว่าจำนวนที่รับมอบมา แล้วยักยอกเอาเงินที่เหลือไว้เป็นของตน ดังนี้ จำเลยที่ 3 ต้องรับผิดฐานละเมิดเพราะจำเลยฝ่าฝืนคำสั่งของนายอำเภอผู้บังคับบัญชาตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ พลเรือน พ.ศ. 2497 มาตรา 71, 72, 79 ความเสียหายจึงได้เกิดขึ้น ส่วนจำเลยที่ 1 ถึงแม้จะฝ่าฝืนคำสั่งเก็บเงินไว้เกินจำนวนที่กำหนด แต่ความเสียหายยังไม่เกิดขึ้นในตอนนั้น และจำเลยที่ 1,2 ก็ได้สั่งการไปโดยชอบแล้ว ในการคุมเงินไปส่งจำเลยที่ 1, 2 จึงไม่ต้องรับผิดด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 62-63/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องผิดจังหวัดไม่ทำให้ฟ้องเสีย และการนับโทษต่อเมื่อศาลพิพากษาภายหลัง
ในการกระทำผิดเรื่องปล้นทรัพย์รายเดียวกัน โจทก์ฟ้องจำเลย 2 คน เป็นสำนวนหนึ่งโดยกล่าวว่า เหตุเกิดที่ตำบลคลองชักพระ อำเภอตลิ่งชัน จังหวัดพระนคร (ซึ่งที่ถูกเป็นจังหวัดธนบุรี) แล้วฟ้องจำเลยอีกคนหนึ่งซึ่งร่วมกระทำผิดด้วยเป็นอีกสำนวนหนึ่ง สำนวนนี้บรรยายฟ้องถูกต้องว่าเหตุเกิดที่จังหวัดธนบุรี ปรากฏว่าจำเลย 2 คนแรกนั้นมีบ้านเรือนอยู่ในอำเภอตลิ่งชันที่เกิดเหตุ ย่อมจะทราบได้ดีกว่าที่เกิดเหตุอยู่จังหวัดธนบุรี ทั้งสถานที่อยู่ที่จำเลยทั้งสองยกขึ้นต่อสู้และนำสืบก็ว่า อยู่ที่บ้านจำเลยซึ่งอยู่ในอำเภอตลิ่งชัน จังหวัดธนบุรี นั่นเอง การที่โจทก์บรรยาย ฟ้องผิดจังหวัดไปไม่เป็นเหตุให้จำเลยหลงข้อต่อสู้หรือเสียเปรียบในเชิงคดี การผิดพลาดเพียงเท่านี้ไม่ทำให้ฟ้องของโจทก์เสียไป
การที่จำเลยถูกคุมขังและฝากขังในคดีนี้ก่อนหรือหลังคดีอื่นนั้ไม่เป็นข้อสำคัญ เมื่อศาลพิพากษาคดีนี้ภายหลังที่พิพากษาคดีอื่นไปแล้ ก็ย่อมนับโทษต่อจากคดีที่พิพากษาไปแล้วนั้นได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 62-63/2505

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบรรยายฟ้องผิดจังหวัดไม่ทำให้ฟ้องเสีย และการนับโทษต่อจากคดีอื่น
ในการกระทำผิดเรื่องปล้นทรัพย์รายเดียวกัน โจทก์ฟ้องจำเลย 2 คนเป็นสำนวนหนึ่ง โดยกล่าวว่าเหตุเกิดที่ตำบลคลองชักพระ อำเภอตลิ่งชัน จังหวัดพระนคร (ซึ่งที่ถูกเป็นจังหวัดธนบุรี) แล้วฟ้องจำเลยอีกคนหนึ่งซึ่งร่วมกระทำผิดด้วยเป็นอีกสำนวนหนึ่งสำนวนนี้บรรยายฟ้องถูกต้องว่าเหตุเกิดที่จังหวัดธนบุรี ปรากฏว่าจำเลย 2 คนแรกนั้นมีบ้านเรือนอยู่ในอำเภอตลิ่งชันที่เกิดเหตุ ย่อมจะทราบได้ดีว่าที่เกิดเหตุอยู่ในจังหวัดธนบุรีทั้งสถานที่อยู่ที่จำเลยทั้งสองยกขึ้นต่อสู้และนำสืบก็ว่าอยู่ที่บ้านจำเลยซึ่งอยู่ในอำเภอตลิ่งชัน จังหวัดธนบุรีนั่นเองการที่โจทก์บรรยายฟ้องผิดจังหวัดไปไม่เป็นเหตุให้จำเลยหลงข้อต่อสู้หรือเสียเปรียบในเชิงคดี การผิดพลาดเพียงเท่านี้ไม่ทำให้ฟ้องของโจทก์เสียไป
การที่จำเลยถูกคุมขังและฝากขังในคดีนี้ก่อนหรือหลังคดีอื่นนั้นไม่เป็นข้อสำคัญเมื่อศาลพิพากษาคดีนี้ภายหลังที่พิพากษาคดีอื่นไปแล้ว ก็ย่อมนับโทษต่อจากคดีที่พิพากษาไปแล้วนั้นได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9/2505

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายลำไยที่เสี่ยงโชค: สัญญาจะซื้อขายธรรมดาหรือไม่
ตกลงซื้อขายผลลำไยในสวนขณะลำไยกำลังออกดอก โดยชำระราคากันบางส่วนแล้วและให้ผู้ซื้อเป็นผู้ครอบครองดูแลรักษาต้นลำไยเองผลได้เสียเป็นของผู้ซื้อถ้าเกิดผลเสียหายอย่างใด ผู้ขายไม่ต้องคืนเงินถ้าได้ผลมากก็เป็นของผู้ซื้อฝ่ายเดียวเป็นการเสี่ยงโชคโดยคำนวณจากดอกลำไยและสุดแต่ดินฟ้าอากาศจะอำนวยให้ดังนี้ ถือว่าคู่สัญญาได้ตกลงซื้อขายกันแน่นอนแล้ว โดยคำนวณราคาจากดอกลำไยเป็นหลักต่อมาถ้าต้นลำไยถูกพายุพัดหักหมดผู้ซื้อจะเรียกเงินคืนจากผู้ขายไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายลำไยช่วงดอกบาน: สัญญาซื้อขายเด็ดขาดไม่ใช่สัญญาจะซื้อจะขาย
ตกลงซื้อขายผลลำไยในสวนขณะลำไยกำลังออกดอก โดยชำระราคากันบางส่วนแล้ว และให้ผู้ซื้อเป็นผู้ครอบครอง ดูแลรักษาต้นลำไยเอง ผลได้เสียเป็นของผู้ซื้อ ถ้าเกิดผลเสียหายอย่างใด ผู้ขายไม่ต้องคืนเงิน ถ้าได้ผลมากก็เป็นของผู้ซื้อฝ่ายเดียว เป็นการเสี่ยงโชคโดยคำนวณจากดอกลำไยและสุดแต่ดินฟ้าอากาศจะอำนวยให้ ดังนี้ถือว่า คู่สัญญาได้ตกลงซื้อขายกันแน่นอนแล้ว โดยคำนวณราคาจากดอกลำไยเป็นหลัก ต่อมาถ้าต้นลำไยถูกพายุพัดหักหมด ผู้ซื้อจะเรียกเงินคืนจากผู้ขายไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1552/2504 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คนใบ้ไม่ถือเป็นผู้ไร้ความสามารถ จนกว่าศาลจะมีคำสั่ง สามารถดำเนินคดีได้เองหรือมอบอำนาจ
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1 (12) และมาตรา 56 ศาลจะตั้งผู้แทนเฉพาะคดีให้ก็ต่อเมื่อบุคคลใดเป็นผู้ไร้ความสามารถและไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้แทนโดยชอบธรรมทำหน้าที่ไม่ได้
บุคคลใดแม้จะเป็นคนใบ้มาแต่กำเนิดก็ตาม เมื่อศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ ก็ย่อมไม่ใช่บุคคลผู้ไร้ความสามารถตามกฎหมาย ฉะนั้น จึงมีอำนาจดำเนินคดีได้อย่างบุคคลธรรมดา ผู้อื่นจะร้องขอให้ศาลชั้นต้นเป็นผู้แทนเฉพาะคดีไม่ได้
ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 38/2504

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1552/2504

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คนใบ้ไม่ถือเป็นผู้ไร้ความสามารถ จนกว่าศาลสั่ง มีอำนาจดำเนินคดีได้
ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1(12)และมาตรา 56 ศาลจะตั้งผู้แทนเฉพาะคดีให้ก็ต่อเมื่อ บุคคลใดเป็นผู้ไร้ความสามารถ และไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรม หรือผู้แทนโดยชอบธรรมทำหน้าที่ไม่ได้
บุคคลใดแม้จะเป็นคนใบ้มาแต่กำเนิดก็ตาม เมื่อศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ ก็ย่อมไม่ใช่บุคคลผู้ไร้ความสามารถตามกฎหมาย ฉะนั้น จึงมีอำนาจดำเนินคดีได้อย่างบุคคลธรรมดา ผู้อื่นจะร้องขอให้ศาลตั้งตนเป็นผู้แทนเฉพาะคดีไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1470/2504

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการแก้ไขคำแถลงทนายความที่ทำไปโดยไม่ได้รับความยินยอมจากตัวความ
ถ้าคำแถลงของทนายความที่แถลงในศาลลับหลังตัวความนั้นยังไม่เกิดผลขึ้น ตัวความหรือผู้แทนขอเพิกถอนคำแถลงดังกล่าวนี้ ศาลมีอำนาจที่จะให้แก้ไขคำแถลงของทนายความเช่นว่านี้ได้เมื่อมีเหตุสมควร
ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 35/2504
of 76