พบผลลัพธ์ทั้งหมด 290 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 420/2505
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            สิทธิผู้เสียหาย: ครอบครองทรัพย์ = ได้รับความเสียหาย แม้ไม่ใช่เจ้าของ
                        
                        'ผู้เสียหาย' นั้น ไม่จำต้องเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ถูกทำให้เสียหายบุคคลที่เป็นผู้ครอบครองทรัพย์ก็เป็นผู้เสียหายได้หากได้รับการเสียหายเกี่ยวกับสิทธิครอบครอง
บรรยายฟ้องว่า ทรัพย์เป็นของผู้เสียหาย แต่ทางพิจารณาได้ความว่า ทรัพย์นั้นเป็นของบุคคลอื่น ผู้เสียหายครอบครองอยู่ ดังนี้ ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงต่างกับฟ้อง
                                    บรรยายฟ้องว่า ทรัพย์เป็นของผู้เสียหาย แต่ทางพิจารณาได้ความว่า ทรัพย์นั้นเป็นของบุคคลอื่น ผู้เสียหายครอบครองอยู่ ดังนี้ ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงต่างกับฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 420/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            สิทธิผู้ครอบครองทรัพย์เสียหาย: ผู้ครอบครองมีสิทธิฟ้องได้ แม้ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์
                        
                        ผู้เสียหาย นั้นไม่จำต้องเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ถูกทำให้เสียหาย บุคคลที่เป็นผู้ครอบครองทรัพย์ ก็เป็นผู้เสียหายได้ หากได้รับการเสียหายเกี่ยวกับสิทธิครอบครอง
บรรยายฟ้องว่า ทรัพย์เป็นของผู้เสียหาย แต่ทางพิจารณาได้ความว่า ทรัพย์นั้นเป็นของบุคคลอื่น ผู้เสียหายครอบครองอยู่ดังนี้ ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงต่างกับฟ้อง
                                    บรรยายฟ้องว่า ทรัพย์เป็นของผู้เสียหาย แต่ทางพิจารณาได้ความว่า ทรัพย์นั้นเป็นของบุคคลอื่น ผู้เสียหายครอบครองอยู่ดังนี้ ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงต่างกับฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 399/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            สัญญาจำนองเพื่อค้ำประกันสัญญาซื้อขาย: ไม่เป็นโมฆะหากผู้ขายยังไม่ผิดสัญญา
                        
                        ผู้ซื้อกับผู้ขายทำสัญญาจะซื้อจะขาย ที่ดินพิพาทกันเป็นเงิน 14,000 บาท ผู้ขายได้รับชำระค่าที่ดินไปเกือบหมดแล้ว ผู้ซื้อก้ได้เข้าครอบครองปลูกเรือนลงในที่ดินนั้นเรียบร้อยแล้ว ยังแต่ผู้ขายจะไปทำการแบ่งแยกโฉนดที่ดินพิพาทให้เป็นของผู้ซื้อเท่านั้น ในระหว่างจะแบ่งแยกโฉนด ผู้ซื้อกลัวว่าผู้ขายจะโกงบิดพลิ้วไม่ยอมโอนที่ดินพิพาทให้ภายหลัง จึงขอร้องให้ผู้ขายไปทำสัญญาจำนองเป็นประกันเงินราคาที่ดิน ที่ซื้อขายกันซึ่งได้ชำระไปแล้วนั้นไปอีก โดยผู้ซื้อจะไม่คิดเอาดอกเบี้ย แก่ ผู้ขายในการจำนองนี้ เว้นแต่ผู้ขายบิดพลิ้ว โกงไม่ยอมโอนขายที่ดินให้ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ทำกันไว้แล้ว จึงจะเอาสัญญาจำนองมาฟ้องบังคับเรียกราคาที่ดินที่ได้ชำระไปแล้วคืนจากผู้ขาย ดังนี้ สัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทเป็นเจตนาที่แท้จริงของคู่สัญญา ส่วนสัญญาจำนองไม่ใช่นิติกรรมอำพราง แต่เป็นนิติกรรมอีกอันหนึ่งที่คู่กรณีสมัครใจตกลงทำขึ้นเพื่อเป็นการค้ำประกันเงินที่ผู้ซื้อได้ชำระราคาที่ดิน ไปแล้วตามสัญญาจะซื้อขายสัญญาจำนอง จึงไม่เป็นโมฆะ และตราบใดที่ผู้ขายยังมิได้ผิดสัญญาจะซื้อขาย โดยผู้ขายมิได้บิดพลิ้วไม่ยอมโอนขายที่ดินให้ผู้ซื้อแล้ว ผู้ซื้อก็จะนำสัญญาจำนองมาฟ้องบังคับผู้ขายยังไม่ได้
                                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 399/2505
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            สัญญาซื้อขายที่ดินและสัญญาจำนองเป็นประกัน: สัญญาจำนองไม่เป็นโมฆะหากเป็นการค้ำประกันราคาซื้อขาย
                        
                        ผู้ซื้อกับผู้ขายทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทกันผู้ขายได้รับชำระค่าที่ดินไปเกือบหมดแล้ว และผู้ซื้อก็ได้เข้าครอบครองปลูกเรือนลงในที่ดินนั้นเรียบร้อยแล้ว ยังแต่ผู้ขายจะไปทำการแบ่งแยกโฉนดที่พิพาทให้เป็นของผู้ซื้อเท่านั้น ผู้ซื้อกลัวว่าผู้ขายจะโกงบิดพลิ้วไม่ยอมโอนที่พิพาทในภายหลังจึงขอร้องให้ผู้ขายไปทำสัญญาจำนองเป็นประกันเงินราคาที่ดินที่ซื้อขายกันซึ่งได้ชำระไปแล้วให้อีก โดยผู้ซื้อไม่คิดเอาดอกเบี้ยในการจำนองเว้นแต่ผู้ขายบิดพลิ้วโกงไม่ยอมโอนขายที่ดินให้ตามสัญญาจะซื้อขายจึงจะเอาสัญญาจำนองมาฟ้องบังคับเรียกราคาที่ดินที่ได้ชำระไปแล้วคืนจากผู้ขายดังนี้ สัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทเป็นเจตนาที่แท้จริงของคู่สัญญา แต่สัญญาจำนองก็ไม่ใช่นิติกรรมอำพรางหากเป็นนิติกรรมอีกอันหนึ่งที่คู่กรณีสมัครใจตกลงทำขึ้นเพื่อเป็นการค้ำประกันเงินที่ผู้ซื้อได้ชำระราคาที่ดินไปแล้ว สัญญาจำนองจึงไม่เป็นโมฆะแต่ตราบใดที่ผู้ขายยังมิได้ผิดสัญญาจะซื้อขาย โดยผู้ขายยังมิได้บิดพลิ้ว ไม่ยอมโอนขายที่ดินให้แก่ผู้ซื้อแล้วผู้ซื้อก็จะนำสัญญาจำนองมาฟ้องบังคับผู้ขายยังไม่ได้
                                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 383/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            ฟ้องรื้อถอนเรือนหลังพิพาท ไม่เป็นฟ้องซ้ำ แม้คดีก่อนพิพากษาว่าเรือนเป็นของจำเลย เหตุประเด็นต่างกัน
                        
                        คดีก่อนโจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากเรือนหลังพิพาท อ้างว่าเรือนพิพาทเป็นของโจทก์ คดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า เรือนหลังพิพาทเป็นของจำเลย โจทก์ขอให้ขับไล่จำเลย ออกจากเรือนหลังพิพาทไม่ได้ โจทก์จึงนำคดีมาฟ้องใหม่ว่าเรือนหลังพิพาทเป็นของจำเลยได้ ปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์ โดยไม่มีสิทธิขอให้รื้อถอนเรือนหลังนี้ไป ดังนี้ประเด็นที่จะวินิจฉัยไม่ได้อาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
                                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 383/2505
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            ฟ้องรื้อถอนเรือนบุกรุกที่ดิน: ไม่ถือเป็นฟ้องซ้ำ แม้คดีก่อนพิพากษาเรื่องกรรมสิทธิ์
                        
                        คดีก่อนโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากเรือนพิพาท อ้างว่าเรือนพิพาทเป็นของโจทก์ คดีถึงที่สุดศาลพิพากษาว่าเรือนพิพาทเป็นของจำเลยโจทก์ขอให้ขับไล่จำเลยออกจากเรือนพิพาทไม่ได้ โจทก์มาฟ้องใหม่ว่าเรือนพิพาทเป็นของจำเลยได้ปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์โดยไม่มีสิทธิขอให้รื้อถอนเรือนพิพาทไป ดังนี้ ประเด็นที่จะวินิจฉัยไม่ใช่อาศัยเหตุอย่างเดียวกันไม่เป็นฟ้องซ้ำ
                                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 324/2505
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            การเพิกถอนการให้โดยเสน่หาเนื่องจากประพฤติเนรคุณ การชั่งน้ำหนักพยานในคดีแพ่ง
                        
                        การชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานในคดีแพ่งควรเป็นไปโดยลักษณะความแพ่งกล่าวคือเทียบเคียงน้ำหนักคำพยานประกอบด้วยพฤติการณ์แห่งคดีว่าจะควรเชื่อฟังเป็นความจริงตามโจทก์ฟ้องได้เพียงใดจะถือเอาเพียงข้อแตกต่างแห่งคำพยานโจทก์บางคนที่เบิกความไม่ตรงกันมาเป็นเหตุยกฟ้องนั้นสำหรับคดีนี้ไม่ชอบ
บุตรได้ด่ามารดาว่า อีดอกทอง อีแก่เจ้าเล่ห์ เป็นคนร้อยลิ้นไม่นับถือเป็นแม่ ถือว่าเป็นถ้อยคำด่าหมิ่นประมาทอย่างร้ายแรงเป็นการประพฤติเนรคุณต่อมารดาผู้ให้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531(2) แล้วมารดาเรียกทรัพย์ที่ให้บุตรโดยเสน่หาคืนได้
                                    บุตรได้ด่ามารดาว่า อีดอกทอง อีแก่เจ้าเล่ห์ เป็นคนร้อยลิ้นไม่นับถือเป็นแม่ ถือว่าเป็นถ้อยคำด่าหมิ่นประมาทอย่างร้ายแรงเป็นการประพฤติเนรคุณต่อมารดาผู้ให้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531(2) แล้วมารดาเรียกทรัพย์ที่ให้บุตรโดยเสน่หาคืนได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 230/2505
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            การขอพิจารณาคดีใหม่หลังขาดนัด ต้องแสดงเหตุผลความจำเป็นและคัดค้านคำตัดสิน
                        
                        การขอให้พิจารณาคดีใหม่ ในกรณีขาดนัดนั้น จะต้องบรรยายให้เห็นได้ว่ากรณีขาดนัดของตนนั้น ไม่ใช่เป็นไปโดยจงใจหรือไม่มีเหตุอันสมควรและต้องกล่าวคัดค้านคำตัดสินของศาลด้วย
                                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 230/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            การขาดนัดพิจารณาคดีหลังต่อสู้คดีแล้ว คำขอพิจารณาใหม่ต้องแสดงเหตุคัดค้านคำตัดสินชัดเจน
                        
                        โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยใช้เงิน ตามเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายจากธนาคารให้โจทก์แล้วบอกห้ามจ่ายเงิน จำเลยให้การรับว่าได้ออกเช็คให้โจทก์เพื่อนายธน (นายธนขอยืมเงินไปซื้อรถโจทก์) และเพื่อให้โจทก์โอนรถยนต์ให้นายธน ๆ จะได้เอารถคันนั้นมาเป็นประกันเงินที่นายธนยืมจากจำเลยไป แต่แล้วทราบว่า โจทก์ไม่มีรถโอนให้นายธน จำเลยจึงห้ามธนาคารจ่ายเงินตามเช็ค เป็นเรื่องกลฉ้อฉลจำเลยไม่ต้องรับผิดใช้เงินให้โจทก์ ต่อมาจำเลยขาดนัดพิจารณาและศาลพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี จำเลยขอให้พิจารณาใหม่ โดยกล่าวในคำขอว่า ตามรายงานพิจารณาของศาลและคำพิพากษาของศาลจังหวัดภูเก็ตยังไม่ชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายของรูปคดี แล้วบรรยายถึงเหตุที่ตนได้ขาดนัดว่าไม่มีเจตนาหลักเหลี่ยงหรือขัดอำนาจของศาลแต่ประการใด ในที่สุดได้บรรยายว่า ประเด็นที่จะนำสืบก็ตกแก่ฝ่ายจำเลย จะต้องสืบพยานหักล้างหลักฐานก่อนโจทก์ ทั้งรูปคดีของโจทก์ก็เป็นกลฉ้อฉล มีทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ดังนี้ ที่ ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเห็นว่า การขาดนัดนี้เกิดขึ้นเมื่อจำเลยให้การต่อสู้คดีไว้แล้ว ข้อความในคำขอก็อนุมานได้ว่าจำเลยหมายถึงเหตุผลดังที่จำเลยได้ต่อสู้คดีในคำให้การ พอที่จะถือได้ว่าจำเลยได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 แล้ว (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 4/2505  ระเบียบวาระพิเศษ)
                                    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 151/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
                            ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
                            ความรับผิดทางอาญาจากการปล่อยสุนัขทำอันตรายต่อทรัพย์สินของผู้อื่น
                        
                        ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 377 แบ่งสัตว์ได้เป็น 2 จำพวก คำว่า สัตว์ร้าย หมายความว่า โดยธรรมชาติของสัตว์นั้นเองเป็นสัตว์ที่มีนิสัยทั้งดุและร้ายกาจเป็นปกติอยู่ในตัว และเป็นสัตว์ที่เป็นภัยอันตรายอันน่าสพึงกลัวต่อบุคคลผู้ได้พบเห็น เช่น เสือ จรเข้หรืองูพิษเป็นต้น ส่วนคำว่า สัตว์ดุ หมายความว่า โดยธรรมชาติของสัตว์นั้นเองมิใช่สัตว์ร้าย แต่อาจะเป็นสัตว์ดุซึ่งเจ้าของจะต้องมีการควบคุมดูแลเป็นพิเศษ ผิดจากปกติธรรมดา โดยล่ามโซ่หรือขังกรงไว้ เช่น สุนักข์ เป็นต้น