พบผลลัพธ์ทั้งหมด 423 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1443/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และอายุความความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน
จำเลยใช้อาวุธปืนแก๊ปยิงผู้เสียหายขณะขับรถจักรยานยนต์เลี้ยวเข้าปากซอยทางเข้าบ้านในระยะห่างไม่เกิน 5 เมตร กระสุนปืนถูกผู้เสียหายเป็นแผลทะลุบริเวณต้นขาขวา บาดแผลผู้เสียหายมีเลือดออกเป็นจำนวนมากย่อมแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของอาวุธปืนและความรุนแรงของกระสุนปืน หากกระสุนปืนที่จำเลยยิงถูกอวัยวะสำคัญของร่างกาย ก็อาจทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ แต่เนื่องจากจำเลยยิงขณะผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์เลี้ยวปากซอยทางเข้าบ้าน ทำให้ยิงไม่แม่นยำกระสุนปืนจึงไม่ถูกอวัยวะสำคัญของร่างกาย ดังนี้ กรณีหาใช่การกระทำของจำเลยไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้ เพราะเหตุอาวุธปืนที่เป็นปัจจัยซึ่งใช้ในการกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตา 81 การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตาม ป.อ. มาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา 80
ความผิดฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองและฐานพาอาวุธปืนตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง 72 ทวิ วรรคสอง กับความผิดตาม ป.อ. มาตรา 371 มีอายุความ 10 ปี และ 1 ปี ตาม ป.อ. มาตรา 95 (3) และ (5) ตามลำดับ คดีนี้จำเลยที่กระทำความผิดวันที่ 14 กรกฎาคม 2539 นับถึงรับฟ้องคือวันที่ 9 พฤษภาคม 2550 เกิน 10 ปีแล้ว คดีของโจทก์ในความผิดทั้งสองข้อหาดังกล่าวจึงขาดอายุความสิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อ. 39 (6)
ความผิดฐานมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นไว้ในครอบครองและฐานพาอาวุธปืนตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง 72 ทวิ วรรคสอง กับความผิดตาม ป.อ. มาตรา 371 มีอายุความ 10 ปี และ 1 ปี ตาม ป.อ. มาตรา 95 (3) และ (5) ตามลำดับ คดีนี้จำเลยที่กระทำความผิดวันที่ 14 กรกฎาคม 2539 นับถึงรับฟ้องคือวันที่ 9 พฤษภาคม 2550 เกิน 10 ปีแล้ว คดีของโจทก์ในความผิดทั้งสองข้อหาดังกล่าวจึงขาดอายุความสิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อ. 39 (6)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 935/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวิวาทและการป้องกันตัว: การใช้มีดเกินสมควรแก่เหตุถือเป็นการสมัครใจวิวาท
การที่จำเลยพกมีดปลายแหลมไปตามหาผู้เสียหายที่บ้าน เพราะโกรธผู้เสียหายที่ไปทำร้าย ส. บุตรเขยจำเลย เมื่อผู้เสียหายได้ยินจึงเดินออกจากบ้าน แล้วต่างฝ่ายต่างเดินเข้าหากัน ผู้เสียหายชกต่อยจำเลยไป 1 ครั้ง ขณะเดียวกันจำเลยก็ใช้มีดปลายแหลมแทงผู้เสียหายหลายครั้ง ตามพฤติการณ์ดังกล่าวย่อมแสดงให้เห็นว่าจำเลยสมัครใจวิวาทกับผู้เสียหาย จะอ้างเหตุว่าจำต้องกระทำเพื่อป้องกันตัวไม่ได้ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 858-861/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจดำเนินคดีอาญาแทนโจทก์ต้องมีในขณะกระบวนพิจารณา การถอนฟ้องโดยไม่มีอำนาจชอบ ศาลต้องเพิกถอน
อำนาจในการดำเนินคดีอาญาแทนต้องพิจารณาถึงการดำเนินกระบวนพิจารณาต่าง ๆ ว่า ผู้กระทำการแทนโจทก์นั้นมีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาในขณะนั้นหรือไม่เป็นสำคัญ หากมีการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยไม่มีอำนาจอันเป็นการไม่ชอบแล้ว ก็ชอบที่ศาลจะไม่อนุญาตให้ดำเนินกระบวนพิจารณานั้นหรือหากอนุญาตไปก่อนแล้วโดยผิดหลงก็ต้องสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเสีย เพื่อจักได้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ให้ถูกต้องชอบด้วยกฎหมายต่อไป หาใช่กรณีมีเหตุจำเป็นในการคุ้มครองบุคคลภายนอกผู้สุจริตที่จะต้องนำ ป.พ.พ. มาตรา 831 มาใช้บังคับแต่อย่างใด เมื่อการถอนฟ้องกระทำโดยผู้ที่ไม่มีอำนาจถอนฟ้องแทนโจทก์จึงไม่ชอบ การที่ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้ถอนฟ้องและจำหน่ายคดีไปโดยผิดหลง ย่อมเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบที่ต้องเพิกถอนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 680/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลักทรัพย์จากธนาคาร: การกระทำโดยไม่มีอำนาจหน้าที่และความรับผิดทางอาญา
เงินที่หมู่บ้านอาสาพัฒนาและป้องกันตนเองนำฝากไว้ที่ธนาคารย่อมเป็นกรรมสิทธิ์ของธนาคารผู้รับฝาก ธนาคารมีหน้าที่ต้องคืนเงินดังกล่าวให้แก่เจ้าของบัญชีตามเงื่อนไขที่ตกลงกันให้ครบถ้วน จำเลยทั้งสามไม่ได้รับมอบการครอบครองและไม่มีอำนาจหน้าที่ในการดูแลเงินดังกล่าว ดังนั้น เมื่อจำเลยทั้งสามร่วมกันทำเอกสารเท็จนำไปขอเปลี่ยนแปลงผู้มีอำนาจลงนามและเงื่อนไขในการสั่งจ่ายเพื่อเบิกถอนเงินจากบัญชีเงินฝากของหมู่บ้านแล้วถอนเงินออกจากบัญชีดังกล่าวโดยไม่มีอำนาจ จึงเป็นการเอาเงินจากบัญชีเงินฝากของหมู่บ้านซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของธนาคารไปโดยทุจริต การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ของธนาคาร หาใช่เป็นความผิดฐานยักยอกไม่ เพราะการครอบครองเงินมิได้อยู่กับจำเลยทั้งสามในขณะที่จำเลยทั้งสามกระทำความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 368/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดิน: สิทธิของเจ้าหนี้เมื่อผู้ขายผิดสัญญา & ศาลมีสิทธิลดหนี้ตามสภาพ
จำเลยทำคันดินริมแม่น้ำแควน้อยมีผลทำให้ที่ดินที่โจทก์ตกลงจะซื้อจากจำเลยมีสภาพด้อยลงกว่าในขณะทำสัญญา ถือได้ว่าเกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินตามสัญญาจะซื้อจะขายซึ่งเป็นสัญญาต่างตอบแทนโดยจะโทษโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ไม่ได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 371 วรรคสอง โจทก์จึงมีสิทธิเลือกที่จะเลิกสัญญาหรือเรียกให้จำเลยชำระหนี้ด้วยการจดทะเบียนโอนที่ดินและบ้านแก่โจทก์ตามสภาพที่เป็นอยู่โดยลดส่วนหนี้ค่าราคาที่ดินที่โจทก์ต้องชำระแก่จำเลยได้ เมื่อโจทก์ไม่ใช้สิทธิเลิกสัญญา โจทก์ก็ย่อมมีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระหนี้ดังกล่าว แม้สัญญาจะซื้อขายมีข้อตกลงว่าหากจำเลยผู้จะขายปฏิบัติผิดสัญญา ผู้จะขายตกลงคืนเงินที่ได้รับชำระไว้แล้วพร้อมดอกเบี้ยก็เป็นเพียงทางเลือกทางหนึ่งมิได้เป็นข้อสัญญาจำกัดหรือเป็นการสละสิทธิของโจทก์ในการเลือกใช้สิทธิ
จำเลยทำคันดินขึ้นสูงถึง 4 เมตร เป็นสิ่งกำบังไม่ให้โจทก์สามารถมองไปยังแม่น้ำแควน้อยได้โดยสะดวกเช่นที่เป็นมาแต่เดิม แม้โจทก์มิได้แจ้งหรือโต้แย้งจำเลย จำเลยก็ไม่อาจเรียกให้โจทก์ชำระค่าที่ดินที่เหลือเต็มจำนวน การที่จำเลยเรียกให้โจทก์ไปจดทะเบียนรับโอนที่ดินและให้โจทก์ชำระค่าที่ดินที่เหลือเต็มจำนวนตามสัญญาจึงเป็นการเรียกให้โจทก์ชำระหนี้ต่างตอบแทนโดยไม่ชอบ โจทก์มีสิทธิปฏิเสธได้ และไม่ถือว่าโจทก์ปฏิบัติผิดสัญญา จำเลยไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาการที่จำเลยบอกเลิกสัญญาแก่โจทก์ก็ไม่เป็นผลให้สัญญาจะซื้อจะขายเลิกกัน โจทก์มีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินและบ้านให้แก่โจทก์ จำเลยไม่มีสิทธิฟ้องแย้งขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินและเรียกค่าเสียหาย
โจทก์ทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ชำระค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเพิ่มแล้ว โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์คำสั่ง และไม่ได้ชำระค่าขึ้นศาลเพิ่มภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด คำสั่งของศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว แม้ศาลชั้นต้นจะดำเนินกระบวนพิจารณาผิดระเบียบที่ไม่แจ้งคำสั่งไม่รับฎีกาให้โจทก์ทราบ แต่การที่จะแก้ไขกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบของศาลชั้นต้นดังกล่าวย่อมไม่เป็นประโยชน์แต่อย่างใด จึงไม่สมควรแก้ไข
จำเลยทำคันดินขึ้นสูงถึง 4 เมตร เป็นสิ่งกำบังไม่ให้โจทก์สามารถมองไปยังแม่น้ำแควน้อยได้โดยสะดวกเช่นที่เป็นมาแต่เดิม แม้โจทก์มิได้แจ้งหรือโต้แย้งจำเลย จำเลยก็ไม่อาจเรียกให้โจทก์ชำระค่าที่ดินที่เหลือเต็มจำนวน การที่จำเลยเรียกให้โจทก์ไปจดทะเบียนรับโอนที่ดินและให้โจทก์ชำระค่าที่ดินที่เหลือเต็มจำนวนตามสัญญาจึงเป็นการเรียกให้โจทก์ชำระหนี้ต่างตอบแทนโดยไม่ชอบ โจทก์มีสิทธิปฏิเสธได้ และไม่ถือว่าโจทก์ปฏิบัติผิดสัญญา จำเลยไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาการที่จำเลยบอกเลิกสัญญาแก่โจทก์ก็ไม่เป็นผลให้สัญญาจะซื้อจะขายเลิกกัน โจทก์มีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินและบ้านให้แก่โจทก์ จำเลยไม่มีสิทธิฟ้องแย้งขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินและเรียกค่าเสียหาย
โจทก์ทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ชำระค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเพิ่มแล้ว โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์คำสั่ง และไม่ได้ชำระค่าขึ้นศาลเพิ่มภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด คำสั่งของศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว แม้ศาลชั้นต้นจะดำเนินกระบวนพิจารณาผิดระเบียบที่ไม่แจ้งคำสั่งไม่รับฎีกาให้โจทก์ทราบ แต่การที่จะแก้ไขกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบของศาลชั้นต้นดังกล่าวย่อมไม่เป็นประโยชน์แต่อย่างใด จึงไม่สมควรแก้ไข
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 180/2554
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยายามฆ่าจากใช้อาวุธปืนยิง แม้ไม่ถึงแก่ชีวิต ศาลพิพากษาผิดฐานพยายามฆ่า
จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงสามารถทำอันตรายถึงชีวิตได้ ยิงผู้เสียหายในระยะใกล้ จำเลยย่อมเล็งเห็นได้ว่ากระสุนปืนอาจถูกผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายได้ การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่า เมื่อจำเลยลงมือกระทำความผิดไปโดยตลอดแล้ว แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล โดยผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตาย เนื่องจากกระสุนปืนไม่ถูกอวัยวะสำคัญ จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15922/2553
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าช่วง ผู้ให้เช่าไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของทรัพย์ ผู้เช่าช่วงผูกพันตามสัญญา
การเช่าทรัพย์ไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าผู้ให้เช่าต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ให้เช่า เมื่อจำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทกับโจทก์ ทั้งสองฝ่ายย่อมต้องผูกพันตามสัญญาเช่านั้น การที่จำเลยที่ 1 นำที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างไปให้จำเลยที่ 2 เช่าช่วงโดยโจทก์ยินยอม จำเลยที่ 2 จึงเป็นผู้เช่าช่วงโดยชอบ และต้องรับผิดต่อโจทก์ผู้ให้เช่าเดิมโดยตรงตาม ป.พ.พ. มาตรา 545 จำเลยที่ 2 หาใช่บริวารของจำเลยที่ 1 ไม่ เมื่อสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 สิ้นสุดลงทำให้สัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 สิ้นสุดลงในวันเดียวกันด้วย เพราะเมื่อจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิเช่าต่อไปแล้ว จำเลยที่ 1 ย่อมไม่มีสิทธิให้จำเลยที่ 2 เช่าช่วงอีกต่อไป การที่จำเลยที่ 2 ยังครอบครองทรัพย์ที่เช่าช่วงตลอดมาหลังจากสัญญาเช่าสิ้นสุดลงย่อมเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 2 ได้ จำเลยที่ 2 จะโต้เถียงว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ราชพัสดุ โจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ให้เช่าจึงไม่มีอำนาจฟ้องหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15922/2553 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิของผู้เช่าช่วงเมื่อสัญญาเช่าหลักสิ้นสุด และการฟ้องขับไล่จากผู้ให้เช่าเดิม
การเช่าทรัพย์ไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าผู้ให้เช่าต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ให้เช่า เมื่อจำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทกับโจทก์ ทั้งสองฝ่ายย่อมต้องผูกพันตามสัญญาเช่านั้น การที่จำเลยที่ 1 นำที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้างไปให้จำเลยที่ 2 เช่าช่วงโดยโจทก์ยินยอม จำเลยที่ 2 จึงเป็นผู้เช่าช่วงโดยชอบและต้องรับผิดต่อโจทก์ผู้ให้เช่าเดิมโดยตรงตาม ป.พ.พ. มาตรา 545 จำเลยที่ 2 หาใช่บริวารของจำเลยที่ 1 ไม่ เมื่อสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 สิ้นสุดลงในวันที่ 8 สิงหาคม 2540 ซึ่งทำให้สัญญาเช่าช่วงระหว่างจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 สิ้นสุดลงในวันเดียวกันนี้ด้วยเพราะเมื่อจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิเช่าต่อไปแล้ว จำเลยที่ 1 ย่อมไม่มีสิทธิให้จำเลยที่ 2 เช่าช่วงอีกต่อไป ดังนั้น การที่จำเลยที่ 2 ยังคงครอบครองทรัพย์ที่เช่าช่วงตลอดมาหลังจากสัญญาเช่าสิ้นสุดลงแล้ว ย่อมเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 2 ได้ จำเลยที่ 2 จะโต้เถียงว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ราชพัสดุ โจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ให้เช่าจึงไม่มีอำนาจฟ้องหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15549/2553
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่ชอบ: การฎีกาโดยคัดลอกคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยไม่โต้แย้งเหตุผลศาลอุทธรณ์
ฎีกาของจำเลยที่ 2 เป็นฎีกาที่คัดลอกคำพิพากษาศาลชั้นต้นตั้งแต่บรรทัดแรกจนถึงบรรทัดสุดท้ายทุกตัว ต่างแต่ลักษณะตัวอักษรที่ใช้ในการพิมพ์ มิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ว่าไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบและมีเหตุผลประกอบข้อโต้แย้งอย่างไร ทั้งคำพิพากษาของศาลชั้นต้นมีขึ้นก่อนศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำพิพากษา จึงไม่อาจโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ล่วงหน้าได้อยู่ในตัว ฎีกาของจำเลยที่ 2 เป็นฎีกาไม่ชอบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15492/2553
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอ้างบันดาลโทสะต้องเป็นการกระทำต่อผู้ข่มเหงโดยตรง ไม่สามารถอ้างเมื่อผู้ถูกกระทำไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง
แม้โจทก์ร่วมจะกีดกันไม่ยอมให้จำเลยพูดคุยกับผู้ตายและด่าว่าจำเลยจนทำให้เกิดโทสะและฆ่าผู้ตายก็ตาม จำเลยก็อ้างบันดาลโทสะไม่ได้ เพราะในขณะนั้นผู้ตายมิใช่ผู้ข่มเหงจำเลยหรือมีส่วนสนับสนุนให้โจทก์ร่วมด่าว่าจำเลยแต่ประการใด การที่จำเลยฆ่าผู้ตายจึงมิใช่เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ