พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,422 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 70/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท: เจตนายิงต่อเนื่องในคดีวิวาท
จำเลยกับพวกมีเจตนาร่วมกันมาใช้ อาวุธปืนยิงนักศึกษา วิทยาลัยเทคนิคยะลา เพราะเหตุเคยมีเรื่องวิวาททำร้ายกับนักเรียนโรงเรียนซึ่ง จำเลยกับพวกเรียนอยู่ เมื่อพบผู้ตายกับผู้เสียหายต่าง แต่งกาย ชุด วิทยาลัยเทคนิคยะลา และยืนอยู่ใกล้กันจึงยิงคนทั้งสองในเวลาต่อเนื่องกัน เมื่อไม่ปรากฏว่าพวกจำเลยที่ยิงมีเจตนายิงเฉพาะ ผู้ตายแต่ เพิ่มเจตนายิงผู้เสียหายอีกคนหนึ่งในภายหลังเป็นพิเศษแล้ว ก็ต้อง ฟังเป็นคุณแก่จำเลยว่าจำเลยกับพวกร่วมกระทำผิดกรรมเดียวผิดต่อ กฎหมายหลายบท มิใช่สองกรรมสองกระทง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 33/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยักยอกเงินที่ได้รับมอบหมายให้รับแทนโจทก์ และผลกระทบต่อการเรียงกระทงความผิด
โจทก์มอบหมายให้จำเลยซึ่งเป็นทนายความของโจทก์ในคดีก่อนมีอำนาจรับเงินจากจำเลยในคดีนั้นแทนโจทก์ได้ เมื่อจำเลยรับเงินจากธ. ซึ่งชำระหนี้แก่โจทก์แทนจำเลยในคดีดังกล่าว เงินที่จำเลยรับไว้จึงตกเป็นของโจทก์ จำเลยเบียดบังเอาเงินนั้นไปเป็นประโยชน์ส่วนตนโดยทุจริต การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานยักยอก โจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานยักยอกโดยบรรยายฟ้องว่า ระหว่างวันเวลาที่ระบุไว้ จำเลยรับเงินจาก ธ. ซึ่งชำระหนี้แก่โจทก์หลายครั้งรวมเป็นเงิน 180,000 บาท และจำเลยเบียดบังยักยอกเงินดังกล่าวไปโดยทุจริต มิได้บรรยายให้ปรากฏว่าจำเลยรับเงินกี่ครั้ง ครั้งละเท่าใด ดังนี้ แม้จะพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำผิดหลายกรรม ศาลก็จะเรียงกระทงลงโทษจำเลยไม่ได้ เพราะเป็นการนอกเหนือไปจากฟ้อง ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะไม่ได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195ประกอบด้วยมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 33/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยักยอกเงินที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลแทนโจทก์ โดยฟ้องไม่ชัดเจนเรื่องจำนวนครั้งและจำนวนเงิน
โจทก์มอบหมายให้จำเลยซึ่งเป็นทนายความของโจทก์ในคดีก่อนมีอำนาจรับเงินจากจำเลยในคดีนั้นแทนโจทก์ได้เมื่อจำเลยรับเงินจาก ธ. ซึ่งชำระหนี้แก่โจทก์แทนจำเลยในคดีดังกล่าว เงินที่จำเลยรับไว้จึงตกเป็นของโจทก์จำเลยเบียดบังเอาเงินนั้นไปเป็นประโยชน์ส่วนตนโดยทุจริตการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานยักยอก โจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องจำเลยได้
ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานยักยอกโดยบรรยายฟ้องว่าระหว่างวันเวลาที่ระบุไว้จำเลยรับเงินจาก ธ. ซึ่งชำระหนี้แก่โจทก์หลายครั้งรวมเป็นเงิน 180,000 บาท และจำเลยเบียดบังยักยอกเงินดังกล่าวไปโดยทุจริตมิได้บรรยายให้ปรากฏว่าจำเลยรับเงินกี่ครั้งครั้งละเท่าใด ดังนี้ แม้จะพิจารณา ได้ความว่าจำเลยกระทำผิดหลายกรรมต่างกันศาลก็จะเรียงกระทงลงโทษจำเลยไม่ได้ เพราะเป็นการนอกเหนือไปจากฟ้อง ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะไม่ได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 ประกอบด้วยมาตรา 225.
ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานยักยอกโดยบรรยายฟ้องว่าระหว่างวันเวลาที่ระบุไว้จำเลยรับเงินจาก ธ. ซึ่งชำระหนี้แก่โจทก์หลายครั้งรวมเป็นเงิน 180,000 บาท และจำเลยเบียดบังยักยอกเงินดังกล่าวไปโดยทุจริตมิได้บรรยายให้ปรากฏว่าจำเลยรับเงินกี่ครั้งครั้งละเท่าใด ดังนี้ แม้จะพิจารณา ได้ความว่าจำเลยกระทำผิดหลายกรรมต่างกันศาลก็จะเรียงกระทงลงโทษจำเลยไม่ได้ เพราะเป็นการนอกเหนือไปจากฟ้อง ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะไม่ได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 ประกอบด้วยมาตรา 225.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 33/2532 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยักยอกเงินที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลแทนโจทก์ ศาลฎีกาชี้ว่าฟ้องต้องระบุจำนวนครั้งและจำนวนเงินที่ชัดเจน
โจทก์มอบหมายให้จำเลยซึ่งเป็นทนายความของโจทก์ในคดีก่อนมีอำนาจรับเงินจากจำเลยในคดีนั้นแทนโจทก์ได้เมื่อจำเลยรับเงินจาก ธ. ซึ่งชำระหนี้แก่โจทก์แทนจำเลยในคดีดังกล่าว เงินที่จำเลยรับไว้จึงตกเป็นของโจทก์จำเลยเบียดบังเอาเงินนั้นไปเป็นประโยชน์ส่วนตนโดยทุจริตการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานยักยอก โจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องจำเลยได้
ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานยักยอกโดยบรรยายฟ้องว่าระหว่างวันเวลาที่ระบุไว้จำเลยรับเงินจาก ธ. ซึ่งชำระหนี้แก่โจทก์หลายครั้งรวมเป็นเงิน180,000 บาท และจำเลยเบียดบังยักยอกเงินดังกล่าวไปโดยทุจริตมิได้บรรยายให้ปรากฏว่าจำเลยรับเงินกี่ครั้งครั้งละเท่าใด ดังนี้ แม้จะพิจารณา ได้ความว่าจำเลยกระทำผิดหลายกรรมต่างกันศาลก็จะเรียงกระทงลงโทษจำเลยไม่ได้ เพราะเป็นการนอกเหนือไปจากฟ้อง ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะไม่ได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 ประกอบด้วยมาตรา 225
ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานยักยอกโดยบรรยายฟ้องว่าระหว่างวันเวลาที่ระบุไว้จำเลยรับเงินจาก ธ. ซึ่งชำระหนี้แก่โจทก์หลายครั้งรวมเป็นเงิน180,000 บาท และจำเลยเบียดบังยักยอกเงินดังกล่าวไปโดยทุจริตมิได้บรรยายให้ปรากฏว่าจำเลยรับเงินกี่ครั้งครั้งละเท่าใด ดังนี้ แม้จะพิจารณา ได้ความว่าจำเลยกระทำผิดหลายกรรมต่างกันศาลก็จะเรียงกระทงลงโทษจำเลยไม่ได้ เพราะเป็นการนอกเหนือไปจากฟ้อง ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะไม่ได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 ประกอบด้วยมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 33/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยักยอกเงินที่รับแทนโจทก์: การบรรยายฟ้องต้องระบุรายละเอียดการกระทำผิดแต่ละครั้ง
โจทก์มอบหมายให้จำเลยซึ่ง เป็นทนายความของโจทก์ในคดีก่อนมีอำนาจรับเงินจากจำเลยในคดีนั้นแทนโจทก์ได้ เมื่อจำเลยรับเงินจาก ธ. ซึ่ง ชำระหนี้แก่โจทก์แทนจำเลยในคดีดังกล่าว เงินที่จำเลยรับไว้จึงตกเป็นของโจทก์ จำเลยเบียดบังเอาเงินนั้นไปเป็นประโยชน์ส่วนตนโดยทุจริต การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐาน ยักยอก โจทก์ย่อมเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐาน ยักยอกโดย บรรยายฟ้องว่า ระหว่างวันเวลาที่ระบุไว้ จำเลยรับเงินจาก ธ. ซึ่ง ชำระหนี้แก่โจทก์หลายครั้งรวมเป็นเงิน 180,000 บาท และจำเลยเบียดบังยักยอกเงินดังกล่าวไปโดยทุจริต มิได้บรรยายให้ปรากฏว่าจำเลยรับเงินกี่ครั้งครั้งละเท่าใด ดังนี้ แม้จะพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำผิดหลายกรรมศาลก็จะเรียงกระทงลงโทษจำเลยไม่ได้ เพราะเป็นการนอกเหนือไปจากฟ้องปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้จำเลยจะไม่ได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 ประกอบด้วย มาตรา 225.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6101/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำหน่ายเฮโรอีนและกัญชาเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน แม้จำหน่ายในคราวเดียวกัน
พระราชบัญญัติ ญญัติยาเสพติดให้โทษบัญญัติให้เฮโรอีนกับกัญชาเป็นยาเสพติดให้โทษคนละประเภทกัน ทั้งบทกำหนดโทษในการจำหน่ายยาเสพติดให้โทษทั้ง 2 ชนิดก็เป็นคนละมาตรากันด้วย แสดงว่ากฎหมายมุ่งประสงค์จะลงโทษผู้กระทำผิดแยกต่างหากจากกัน การที่จำเลยจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภทเฮโรอีนและกัญชาไปในคราวเดียวกันจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5790/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวกัน-ต่างกรรม: การครอบครองฝิ่นดิบ มอร์ฟีน และเมล็ดพันธุ์ฝิ่น ความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติด
จำเลยมีเมล็ดพันธุ์ฝิ่น น้ำหนัก 73.4 กิโลกรัม มีฝิ่นดิบ5 ห่อ น้ำหนัก 8.072 กิโลกรัม และมอร์ฟีนน้ำหนัก 0.778 กิโลกรัมซึ่งรวมอยู่ในฝิ่นดิบดังกล่าว เป็นวัตถุเดียวกัน ในคราวเดียวกันเมื่อกฎหมายแยกประเภทยาเสพติดให้โทษฝิ่นดิบกับมอร์ฟีนอยู่ในประเภท 2และบัญญัติไว้เป็นความผิดในมาตราเดียวกัน การมีฝิ่นดิบและมอร์ฟีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจึงเป็นการกระทำความผิดกรรมเดียวกันแต่ต่างกรรมกับการมีเมล็ดพันธุ์ฝิ่นอันเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5790/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำหน่ายฝิ่นและมอร์ฟีน, การครอบครองอาวุธปืน, และการต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน: การพิจารณาโทษกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท
จำเลยมีเมล็ดพันธุ์ฝิ่น น้ำหนัก 73.4 กิโลกรัม มีฝิ่นดิบ 5 ห่อ น้ำหนัก 8.072 กิโลกรัม และมอร์ฟีนน้ำหนัก 0.778 กิโลกรัม ซึ่งรวมอยู่ในฝิ่นดิบดังกล่าวเป็นวัตถุเดียวกัน ในคราวเดียวกัน เมื่อกฎหมายแยกประเภทยาเสพติดให้โทษฝิ่นดิบกับมอร์ฟีนอยู่ในประเภท 2 และบัญญัติไว้เป็นความผิดในมาตราเดียวกัน การมีฝิ่นดิบและมอร์ฟีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจึงเป็นการกระทำความผิดกรรมเดียวกัน แต่ต่างกรรมกับการมีเมล็ดพันธุ์ฝิ่นอันเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5410/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำผิดฐานค้ามนุษย์และพรากเด็ก การกระทำถือเป็นความผิดต่างฐานกัน
การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปขายให้แก่ จ.ซึ่งเป็นเจ้าของสถานการค้าประเวณีเพื่อให้ผู้เสียหายค้าประเวณี ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนากระทำผิดให้เกิดผลเป็นกรรมในความผิดฐานเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่นเป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบสามปี โดยใช้อุบายหลอกลวงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 วรรคสาม ฐานหนึ่งแล้ว และขณะเดียวกันการที่จำเลยพรากผู้เสียหายไปเสียจากมารดาของผู้เสียหาย จำเลยก็มีเจตนากระทำความผิดให้เกิดผลเป็นความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีไปเสียจากอำนาจปกครองของมารดา โดยปราศจากเหตุอันสมควร เพื่อการอนาจารตามมาตรา 317 วรรคสามอีกฐานหนึ่งต่างหากจากความผิดตามมาตรา 283 วรรคสาม มิใช่เป็นการกระทำกรรมเดียวกัน ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 กับพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 มาตรา 8 จำเลยกระทำเพียงครั้งเดียวและเกิดผลเดียวกัน จึงเป็นความผิดกรรมเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5114/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำให้การรับสารภาพต้องชัดเจนถึงการกระทำความผิด หากโจทก์ไม่สืบพยาน ศาลยกฟ้องได้
คำให้การของจำเลยที่ยื่นต่อศาลมีความว่า "จำเลยได้มาอาศัยอยู่กับ ม.ซึ่งหลบหนีไปแล้ว วันเกิดเหตุผู้เสียหายมาสมัครไปทำงานต่างประเทศกับ ม. ม.ให้จำเลยเขียนใบรับเงินให้เนื่องจากเห็นว่าจำเลยมีความรู้และขณะนั้นเสมียนไม่มาทำงาน แล้วผู้เสียหายมอบเงินให้ ม. จำเลยไม่รู้ว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิด แต่เมื่อเป็นความผิดจำเลยก็รับสารภาพ ......" ดังนี้ยังฟังไม่ได้ว่าเป็นคำให้การที่รับสารภาพว่าจำเลยได้กระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้องเมื่อโจทก์ไม่สืบพยาน จึงลงโทษจำเลยตามฟ้องไม่ได้