คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 91

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,422 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4505/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานอ่อนแอ ฟังลงโทษจำเลยไม่ได้ ศาลฎีกายกฟ้องคดีปล้นทรัพย์
คนร้ายสามคนสวมหมวกไหมพรมแบบอ้ายโม่งเห็นเฉพาะใบหน้าบางส่วน คนร้ายใช้อาวุธปืนจี้บังคับให้ผู้เสียหายคุกเข่าก้มหน้าหมอบลงกับพื้น โดยผู้เสียหายคงได้ยินเสียงคนร้ายเท่านั้นดังนั้นคำเบิกความของผู้เสียหายที่ระบุว่า จำเลยทั้งสองเป็นคนร้ายเพราะจำเสียงได้นั้นจึงมีน้ำหนักน้อยเพราะเสียงพูดของบุคคลแต่ละคนอาจเหมือนหรือคล้ายคลึงกันได้ หรืออาจเลียนแบบให้เหมือนหรือคล้ายคลึงกันได้ นอกจากนี้พยานโจทก์มิได้ระบุชื่อคนร้ายในขณะที่พบกับร้อยตำรวจโท จ. ในโอกาสแรก แต่เพิ่งระบุชื่อหลังจากร้อยตำรวจโท จ. กลับจากดูที่เกิดเหตุแล้ว ทั้งจำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธมาโดยตลอด พยานหลักฐานโจทก์จึงฟังลงโทษจำเลยที่ 2 ในคดีปล้นทรัพย์ได้ แม้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ในความผิดแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี ซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 แต่เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่พอรับฟังว่าจำเลยที่ 2 เป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนร่วมกับพวกทำการปล้นทรัพย์แล้ว ศาลฎีกามีอำนาจยกฟ้องโจทก์ในความผิดแต่ละกระทงดังกล่าวได้ เมื่อข้อเท็จจริงที่ศาลฎีกาวินิจฉัยยกฟ้องจำเลยที่ 2เป็นเหตุในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้ฎีกาให้มิต้องรับโทษได้ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4353/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานมีไม้แปรรูปโดยไม่ได้รับอนุญาต: การกระทำเป็นกรรมเดียว แม้ไม้ต่างชนิด
จำเลยมีไม้สักและไม้พลวงซึ่งเป็นไม้แปรรูป 2 จำนวนในคราวเดียวกันโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย แม้การมีไม้สักแปรรูปจะเป็นความผิดโดยไม่ต้องคำนึงถึงจำนวนปริมาตรของไม้ต่างกับไม้พลวงแปรรูปซึ่งจะต้องมีปริมาตรเกิน 0.20 ลูกบาศก์เมตร จึงจะเป็นความผิดก็ตาม การกระทำของจำเลยก็ยังคงเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท มิใช่ความผิดหลายกรรมต่างกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4250/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเบียดบังเงินของสุขาภิบาล: โจทก์ต้องพิสูจน์ความเสียหายให้ชัดเจน ศาลลงโทษเฉพาะส่วนที่พิสูจน์ได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยเบียดบังเงินของสุขาภิบาลรวม 9 ครั้งรวมเป็นเงิน 90,000 บาทเศษ ทางพิจารณากลับปรากฏว่า นอกจากเงินของสุขาภิบาลจะขาดบัญชีไป 9 รายการตามฟ้องโจทก์แล้ว ยังมีเงินเกินบัญชีอีก 24 รายการเป็นจำนวนเงิน 70,000 บาทเศษ คงเหลือเงินที่ขาดบัญชีไปเพียง 24,843.97 บาท เท่านั้น โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่าจำนวนเงินที่ขาดบัญชีนี้จำเลยได้เบียดบังไปจากสุขาภิบาลตามฟ้องโจทก์ข้อใด เป็นจำนวนเท่าใด จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำความผิดทุกกรรมตามฟ้องโจทก์ คงลงโทษจำเลยได้เพียงกระทงเดียว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4250/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเบียดบังเงินของสุขาภิบาล: โจทก์ต้องพิสูจน์ความเสียหายเฉพาะเจาะจงในแต่ละกรรม
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยเบียดบังเงินของสุขาภิบาลรวม 9 ครั้ง รวมเป็นเงิน 90,000 บาทเศษ ทางพิจารณากลับปรากฏว่า นอกจากเงินของสุขาภิบาลจะขาดบัญชีไป 9 รายการตามฟ้องโจทก์แล้วยังมีเงินเกินบัญชีอีก 24 รายการ เป็นจำนวนเงิน 70,000 บาทเศษ คงเหลือเงินที่ขาดบัญชีไปเพียง 24,843.97 บาทเท่านั้น โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่าจำนวนเงินที่ขาดบัญชีนี้จำเลยได้เบียดบังไปจากสุขาภิบาลตามฟ้องโจทก์ข้อใด เป็นจำนวนเท่าใดจึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำความผิดทุกกรรมตามฟ้องโจทก์ คงลงโทษจำเลยได้เพียงกระทงเดียว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4155/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ มีดปอกผลไม้เป็นอาวุธตามกฎหมาย หากใช้ทำร้ายผู้อื่นจนได้รับอันตรายสาหัส ถือเป็นความผิดฐานพาอาวุธและทำร้ายร่างกาย
แม้มีดแบบปอกผลไม้ที่จำเลยพาติดตัวไปในโรงภาพยนต์ไม่ใช่อาวุธโดยสภาพ แต่เมื่อจำเลยได้ใช้มีดนั้นแทงผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส จึงเป็นอาวุธตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 จำเลยมีความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าวและเป็นความผิดอีกรรมหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4155/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ มีดไม่ใช่ 'อาวุธ' โดยสภาพ แต่ใช้ทำร้ายจนสาหัส ถือเป็นอาวุธตามกฎหมาย และเป็นความผิดอีกกรรม
แม้มีดแบบปอกผลไม้ที่จำเลยพาติดตัวไปในโรงภาพยนตร์ไม่ใช่อาวุธโดยสภาพ แต่เมื่อจำเลยได้ใช้มีดนั้นแทงผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส จึงเป็นอาวุธตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 จำเลยมีความผิดตามบทบัญญัติดังกล่าวและเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3625/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียว vs. กรรมหลายกรรม: การกระทำความรุนแรงต่อเนื่องเป็นกรรมเดียว
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ก. ว่า จำเลยใช้ขวดสุราเป็นอาวุธตีทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 1 โดยแรง 1 ครั้ง เป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 1 ได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ ฟ้องข้อ ข. ว่า ตามวันเวลาดังกล่าวในฟ้องข้อ ก. ภายหลังจากจำเลยได้กระทำความผิดดังกล่าวแล้ว จำเลยใช้กุญแจตัดเหล็กเป็นอาวุธที่ประทุษร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 1 เป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 1 ได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ เห็นได้ว่า ภายหลังจากที่จำเลยใช้ขวดสุราเป็นอาวุธตีทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 แล้ว ในเวลาต่อเนื่องกันจำเลยก็ได้ใช้กุญแจตัดเหล็กเป็นอาวุธทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 อีก ดังนี้ เป็นเรื่องที่จำเลยต้องการทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 ให้ได้รับอันตรายแก่กายตามเจตนาเดิมและเจตนาเดียวของจำเลยนั้นเอง อันเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกันแม้จำเลยกระทำหลายครั้ง การกระทำของจำเลยก็ยังถือว่าเป็นการกระทำครั้งเดียวกัน จึงเป็นกรรมเดียวมิใช่หลายกรรม การที่โจทก์บรรยายฟ้องแยกเป็น ข้อ ก. และข้อ ข. เพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นการกระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน ทั้งจำเลยให้การรับสารภาพก็ตาม ก็ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ศาลจะลงโทษจำเลยหลายกระทงไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3625/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวผิดหลายบท: การทำร้ายต่อเนื่องด้วยอาวุธต่างชนิดกัน ไม่ถือเป็นกรรมต่างกัน
โจทก์บรรยายฟ้องข้อ ก.ว่า จำเลยใช้ขวดสุราเป็นอาวุธตีทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 1 โดยแรง 1 ครั้ง เป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 1 ได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ ฟ้องข้อ ข.ว่าตามวันเวลาดังกล่าวในฟ้องข้อ ก.ภายหลังจากจำเลยได้กระทำความผิดดังกล่าวแล้ว จำเลยใช้กุญแจตัดเหล็กเป็นอาวุธตีประทุษร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 1 เป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 1 ได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ เห็นได้ว่า ภายหลังจากที่จำเลยใช้ขวดสุราเป็นอาวุธตีทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 แล้ว ในเวลาต่อเนื่องกันจำเลยก็ได้ใช้กุญแจตัดเหล็กเป็นอาวุธทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 อีก ดังนี้เป็นเรื่องที่จำเลยต้องการทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 ให้ได้รับอันตรายแก่กายตามเจตนาเดิมและเจตนาเดียวของจำเลยนั่นเองอันเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกันแม้จำเลยกระทำหลายครั้งการกระทำ ของจำเลยก็ยังถือว่าเป็นการกระทำครั้งเดียวกันจึงเป็นกรรมเดียวมิใช่หลายกรรม การที่โจทก์บรรยายฟ้องแยกเป็นข้อ ก.และข้อ ข. เพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นการกระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน ทั้งจำเลยให้การรับสารภาพก็ตาม ก็ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ศาลจะลงโทษจำเลยหลายกระทงไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3557/2531

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายและหลบหนี ถือเป็นคนละกรรม
การที่จำเลยขับรถเลี้ยวขวาตัดหน้ารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายสาหัส และรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายได้รับความเสียหายนั้น ถือได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43(4) ประกอบด้วยมาตรา 157 และเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายสาหัสอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 อันเป็นบทหนัก เมื่อเกิดเหตุชนแล้ว จำเลยได้หลบหนีและไม่ให้ความช่วยเหลือผู้เสียหาย ไม่แสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ใกล้เคียงทันที เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นภายหลังจากผู้เสียหายได้ขับรถจักรยานยนต์ชนรถยนต์คันที่จำเลยเป็นผู้ขับขี่ตัดหน้าซึ่งเป็นการกระทำโดยเจตนาของจำเลยแยกต่างหากจากการกระทำครั้งแรกอันเป็นเรื่องต่างกรรม จำเลยจึงต้องมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 78,160 วรรคสอง อีกกระทงหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3557/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตราย และหลบหนีไม่ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ต้องรับโทษทั้งความผิดต่อชีวิตและจราจร
การที่จำเลยขับรถเลี้ยวขวาตัดหน้ารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายสาหัส และรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายได้รับความเสียหายนั้น ถือได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (4) ประกอบด้วยมาตรา 147 และเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายสาหัสอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 อันเป็นบทหนัก
เมื่อเกิดเหตุชนแล้ว จำเลยได้หลบหนีและไม่ให้ความช่วยเหลือผู้เสียหาย ไม่แสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ใกล้เคียงทันที เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นภายหลังจากผู้เสียหายได้ขับรถจักรยานยนต์ชนรถยนต์คันที่จำเลยเป็นผู้ขับขี่ตัดหน้าซึ่งเป็นการกระทำโดยเจตนาของจำเลยแยกต่างหากจากการกระทำครั้งแรกอันเป็นเรื่องต่างกรรม จำเลยจึงต้องมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 78, 160 วรรคสอง อีกกระทงหนึ่ง
of 243