พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,422 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2987/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายด้วยอาวุธมีด การพิสูจน์เจตนา และการพิจารณาความผิดหลายกรรม
จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธมีดของกลางฟันผู้เสียหายทั้งสองโดยยังไม่มีภยันตรายที่ใกล้จะถึง อันเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 จำต้องกระทำเพื่อป้องกัน การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
การที่จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธมีดทำสวนขนาดยาวประมาณ 35 เซนติเมตรซึ่งมีขนาดใหญ่และหนาพอสมควรฟันที่บริเวณคอผู้เสียหายทั้งสองอันเป็นอวัยวะสำคัญจำเลยที่ 1 ย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำได้ว่าผู้เสียหายทั้งสองอาจถึงแก่ความตายได้ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาฆ่าตาม ป.อ. มาตรา 59 วรรคสอง
การกระทำของจำเลยที่ 1 จะเป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่าหรือเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ศาลย่อมวินิจฉัยได้จากพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวน มิใช่ต้องถือเอาตามคำเบิกความของแพทย์เพียงอย่างเดียว
แม้ในฟ้องข้อ 1 โจทก์จะบรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันเพียง 2 ข้อ คือ ข้อ ก. จำเลยทั้งสองร่วมกันพาอาวุธมีดติดตัวไปในเมืองและชุมนุมชนโดยไม่มีเหตุสมควร กับข้อ ข. จำเลยทั้งสองร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งสองก็ตาม แต่ในฟ้องข้อ ข.โจทก์ได้บรรยายให้เห็นว่าจำเลยทั้งสอง ร่วมกันใช้อาวุธมีดฟันผู้เสียหายทั้งสองโดยเจตนาฆ่าและคมมีดถูกผู้เสียหายทั้งสองที่บริเวณคอ รายละเอียดบาดแผลปรากฏตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้อง ซึ่งปรากฏว่าผู้เสียหายที่ 1 มีบาดแผลที่บริเวณคอหนึ่งแผล และผู้เสียหายที่ 2 มีบาดแผลที่บริเวณคอสองแผล อันเป็นการกระทำต่อผู้เสียหายแต่ละคนแยกออกจากกันได้ อีกทั้งโจทก์ได้ระบุ ป.อ. มาตรา 91 มาในคำขอท้ายฟ้องด้วย ประกอบกับข้อเท็จจริงได้ความว่า หลังจากจำเลยที่ 1 ใช้อาวุธมีดฟันผู้เสียหายที่ 1 แล้ว ได้เดินตามไปฟันผู้เสียหายที่ 2 ขณะกำลังเดินเข้าไปในงาน ห่างประมาณ 5 เมตร อันเป็นการฟันผู้เสียหายทั้งสองคนละคราวกัน การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานพยายามฆ่าเป็นสองกระทงความผิด จึงมิใช่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ หรือมิได้กล่าวในฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคแรก
ศาลชั้นต้นพิพากษาปรับ 60 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตาม ป.อ. มาตรา 29, 30 นั้น ไม่ถูกต้อง ที่ถูกต้องปรับบทตามมาตรา 29 เพียงบทเดียว
การที่จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธมีดทำสวนขนาดยาวประมาณ 35 เซนติเมตรซึ่งมีขนาดใหญ่และหนาพอสมควรฟันที่บริเวณคอผู้เสียหายทั้งสองอันเป็นอวัยวะสำคัญจำเลยที่ 1 ย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำได้ว่าผู้เสียหายทั้งสองอาจถึงแก่ความตายได้ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาฆ่าตาม ป.อ. มาตรา 59 วรรคสอง
การกระทำของจำเลยที่ 1 จะเป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่าหรือเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ศาลย่อมวินิจฉัยได้จากพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวน มิใช่ต้องถือเอาตามคำเบิกความของแพทย์เพียงอย่างเดียว
แม้ในฟ้องข้อ 1 โจทก์จะบรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันเพียง 2 ข้อ คือ ข้อ ก. จำเลยทั้งสองร่วมกันพาอาวุธมีดติดตัวไปในเมืองและชุมนุมชนโดยไม่มีเหตุสมควร กับข้อ ข. จำเลยทั้งสองร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งสองก็ตาม แต่ในฟ้องข้อ ข.โจทก์ได้บรรยายให้เห็นว่าจำเลยทั้งสอง ร่วมกันใช้อาวุธมีดฟันผู้เสียหายทั้งสองโดยเจตนาฆ่าและคมมีดถูกผู้เสียหายทั้งสองที่บริเวณคอ รายละเอียดบาดแผลปรากฏตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้อง ซึ่งปรากฏว่าผู้เสียหายที่ 1 มีบาดแผลที่บริเวณคอหนึ่งแผล และผู้เสียหายที่ 2 มีบาดแผลที่บริเวณคอสองแผล อันเป็นการกระทำต่อผู้เสียหายแต่ละคนแยกออกจากกันได้ อีกทั้งโจทก์ได้ระบุ ป.อ. มาตรา 91 มาในคำขอท้ายฟ้องด้วย ประกอบกับข้อเท็จจริงได้ความว่า หลังจากจำเลยที่ 1 ใช้อาวุธมีดฟันผู้เสียหายที่ 1 แล้ว ได้เดินตามไปฟันผู้เสียหายที่ 2 ขณะกำลังเดินเข้าไปในงาน ห่างประมาณ 5 เมตร อันเป็นการฟันผู้เสียหายทั้งสองคนละคราวกัน การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานพยายามฆ่าเป็นสองกระทงความผิด จึงมิใช่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ หรือมิได้กล่าวในฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคแรก
ศาลชั้นต้นพิพากษาปรับ 60 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตาม ป.อ. มาตรา 29, 30 นั้น ไม่ถูกต้อง ที่ถูกต้องปรับบทตามมาตรา 29 เพียงบทเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2987/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพยายามฆ่าหลายกรรมต่างกัน การพิพากษาลงโทษเกินคำขอ และการแก้ไขโทษปรับ
ฟ้องข้อ ข. โจทก์บรรยายให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้อาวุธมีดฟันผู้เสียหายทั้งสองโดยเจตนาฆ่าและคมมีดถูกผู้เสียหายทั้งสองที่บริเวณคอรายละเอียดบาดแผลปรากฏตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้องซึ่งปรากฏว่าผู้เสียหายที่ 1 มีบาดแผลที่บริเวณคอหนึ่งแผล และผู้เสียหายที่ 2มีบาดแผลที่บริเวณคอสองแผล อันเป็นการกระทำต่อผู้เสียหายแต่ละคนแยกออกจากกันได้ จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธมีดฟันผู้เสียหายที่ 1 แล้วเดินตามไปฟันผู้เสียหายที่ 2 ขณะกำลังเดินเข้าไปในงาน ห่างประมาณ 5 เมตร เป็นการฟันผู้เสียหายทั้งสองคนละคราวกัน การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานพยายามฆ่าเป็นสองกระทงความผิด จึงมิใช่เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือมิได้กล่าวในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2826/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานมี-ใช้เครื่องวิทยุคมนาคมกับความผิดฐานรบกวนการสื่อสารเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
ความผิดฐานจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคมตาม พ.ร.บ. วิทยุคมนาคม ฯ มาตรา 26 มีองค์ประกอบความผิดแตกต่างจากความผิดฐานมีและใช้เครื่องวิทยุคมนาคม กล่าวคือ ความผิดฐานมีและใช้เครื่องวิทยุคมนาคมตามมาตรา 6 , 23 นั้น เป็นความผิดเพราะจำเลยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจออกใบอนุญาต ส่วนความผิดฐานกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคมตามมาตรา 26 เป็นความผิดเพราะจำเลยจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคม ดังนี้ แม้จำเลยจะมีเครื่องวิทยุคมนาคมโดยได้รับหรือไม่ได้รับใบอนุญาต แต่หากจำเลยจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคมแล้ว การกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดตามมาตรา 26 นี้เช่นกัน การมีและใช้เครื่องวิทยุคมนาคมกับการกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคม จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าความผิดฐานมีและใช้เครื่องวิทยุคมนาคมเป็นความผิดกรรมเดียวกับความผิดฐานจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคมจึงไม่ถูกต้อง ปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้างอิง ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยปรับบทกฎหมายเสียให้ถูกต้องได้ แต่โจทก์มิได้ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยเป็น 2 กรรม ศาลฎีกาจึงไม่อาจแก้ไขในเรื่องโทษให้ผิดไปจากที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามาได้ เพราะจะเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2801-2802/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตีความ ‘เครื่องกระสุนปืน’ และความผิดฐานผลิต/ครอบครองวัตถุออกฤทธิ์/อาวุธปืน: ความผิดหลายกรรมต่างกัน
แม้ลูกระเบิดชนิดซ้อมขว้างแบบเอ็ม 21 อยู่ในสภาพใช้การไม่ได้เพราะไม่ได้บรรจุชนวนถูกทำลายและวัตถุระเบิด ไม่เป็นเครื่องกระสุนปืนก็ตาม แต่ปรากฏตามรายงานการตรวจพิสูจน์ของผู้ตรวจพิสูจน์ว่า ลูกระเบิดซ้อมขว้างของกลางอยู่ในสภาพที่ใช้การได้ จึงต้องฟังว่าลูกระเบิดดังกล่าวใช้การได้ ทั้ง พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 4(2) หาได้บัญญัติว่าลูกระเบิดที่จะเป็นเครื่องกระสุนปืนตามบทวิเคราะห์ศัพท์จะต้องทำอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้จึงจะเป็นเครื่องกระสุนปืนไม่ดังนั้น เมื่อเป็นลูกระเบิดที่ใช้การได้ แม้จะไม่มีอานุภาพทำลายล้างไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ก็เป็นเครื่องกระสุนปืนตามความหมายของพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ
การมีเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7,72 วรรคสอง ส่วนการมีเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองเป็นความผิดตามมาตรา 55,78 วรรคหนึ่งย่อมเห็นเจตนารมณ์ของกฎหมายได้ว่ามีความประสงค์จะแยกความผิดสองฐานนี้ออกจากกัน และความผิดสองฐานนี้แยกออกได้จากการกระทำผิดฐานผลิตกับมีเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนไว้ในครอบครองเพื่อขาย แม้ครอบครองในเวลาเดียวกันก็เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน แต่ความผิดฐานผลิตกับมีเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนไว้ในครอบครองเพื่อขายนั้น โจทก์บรรยายฟ้องว่าเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนที่จำเลยผลิตเป็นจำนวนเดียวกับที่มีไว้ในครอบครองเพื่อขายแม้โจทก์จะขอให้ลงโทษเป็นสองกรรมแต่การกระทำในส่วนนี้เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท
การมีเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7,72 วรรคสอง ส่วนการมีเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองเป็นความผิดตามมาตรา 55,78 วรรคหนึ่งย่อมเห็นเจตนารมณ์ของกฎหมายได้ว่ามีความประสงค์จะแยกความผิดสองฐานนี้ออกจากกัน และความผิดสองฐานนี้แยกออกได้จากการกระทำผิดฐานผลิตกับมีเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนไว้ในครอบครองเพื่อขาย แม้ครอบครองในเวลาเดียวกันก็เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน แต่ความผิดฐานผลิตกับมีเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนไว้ในครอบครองเพื่อขายนั้น โจทก์บรรยายฟ้องว่าเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนที่จำเลยผลิตเป็นจำนวนเดียวกับที่มีไว้ในครอบครองเพื่อขายแม้โจทก์จะขอให้ลงโทษเป็นสองกรรมแต่การกระทำในส่วนนี้เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2801-2802/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานผลิตและมีวัตถุออกฤทธิ์, ครอบครองอาวุธปืนผิดกฎหมาย, และการลงโทษหลายกรรม
จำเลยทั้งสองเป็นนายจ้างลูกจ้างกัน จำเลยที่ 1 ผสมเมทแอมเฟตามีน โดยจำเลยที่ 2 ช่วยส่งถังน้ำและหยิบของในถุงส่งให้ ประกอบกับเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนของกลางที่ยึดได้มีทั้งที่ผลิตสำเร็จอัดเป็นเม็ดแล้วยังเป็นผลึกและยังเป็นของเหลวอยู่ฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันผลิตเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนของกลาง
เมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนของกลางที่จำเลยมีไว้ในครอบครองมีจำนวนมาก ซึ่งได้มาจากการผลิตด้วยเครื่องจักรทันสมัย และมีที่เป็นเม็ดแล้ว และที่เป็นผลึกและน้ำยาตกผลึกเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยกำลังผสมเป็นของเหลวอีกประกอบกับจำเลยมีซองพลาสติกกับถุงพลาสติกในขนาดต่าง ๆ ที่จำเลยมีไว้สำหรับบรรจุเมทแอมเฟตามีนออกขาย จึงฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนของกลางไว้เพื่อขาย
ลูกระเบิดซ้อมขว้างของกลางอยู่ในสภาพที่ใช้การได้ แม้ไม่มีอานุภาพทำลายล้าง ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินก็เป็นเครื่องกระสุนปืนตามความหมายของพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯมาตรา 4(2)
ความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทกับความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มีวัตถุแห่งการกระทำความผิดแตกต่างกัน กฎหมายบัญญัติเป็นความผิดไว้คนละฉบับ การมีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7,72 วรรคสอง ส่วนการมีเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองเป็นความผิดตามมาตรา 55,78 วรรคหนึ่ง ย่อมเห็นเจตนารมณ์ของกฎหมายได้ว่า มีความประสงค์จะแยกความผิดสองฐานนี้ออกจากกัน และการกระทำความผิดสองฐานดังกล่าวแยกออกได้จากการกระทำความผิดฐานผลิตกับมีเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนไว้ในครอบครองเพื่อขาย แม้จำเลยจะมีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองในเวลาเดียวกัน และพร้อมกับที่จำเลยผลิตและมีเมทแอมเฟตามีนกับอีเฟดรีนไว้ในครอบครองเพื่อขาย ก็เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนที่จำเลยผลิตเป็นจำนวนเดียวกับเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อขาย การกระทำของจำเลยส่วนนี้เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อขายบางส่วนมิใช่เมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนที่จำเลยผลิต และลงโทษจำเลยฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองเพื่อขายเป็นอีกกระทงหนึ่ง จึงเป็นการพิพากษาที่มิได้กล่าวในฟ้อง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้จำเลยจะมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้
เมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนของกลางที่จำเลยมีไว้ในครอบครองมีจำนวนมาก ซึ่งได้มาจากการผลิตด้วยเครื่องจักรทันสมัย และมีที่เป็นเม็ดแล้ว และที่เป็นผลึกและน้ำยาตกผลึกเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยกำลังผสมเป็นของเหลวอีกประกอบกับจำเลยมีซองพลาสติกกับถุงพลาสติกในขนาดต่าง ๆ ที่จำเลยมีไว้สำหรับบรรจุเมทแอมเฟตามีนออกขาย จึงฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนของกลางไว้เพื่อขาย
ลูกระเบิดซ้อมขว้างของกลางอยู่ในสภาพที่ใช้การได้ แม้ไม่มีอานุภาพทำลายล้าง ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินก็เป็นเครื่องกระสุนปืนตามความหมายของพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯมาตรา 4(2)
ความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทกับความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มีวัตถุแห่งการกระทำความผิดแตกต่างกัน กฎหมายบัญญัติเป็นความผิดไว้คนละฉบับ การมีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7,72 วรรคสอง ส่วนการมีเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองเป็นความผิดตามมาตรา 55,78 วรรคหนึ่ง ย่อมเห็นเจตนารมณ์ของกฎหมายได้ว่า มีความประสงค์จะแยกความผิดสองฐานนี้ออกจากกัน และการกระทำความผิดสองฐานดังกล่าวแยกออกได้จากการกระทำความผิดฐานผลิตกับมีเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนไว้ในครอบครองเพื่อขาย แม้จำเลยจะมีเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองในเวลาเดียวกัน และพร้อมกับที่จำเลยผลิตและมีเมทแอมเฟตามีนกับอีเฟดรีนไว้ในครอบครองเพื่อขาย ก็เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนที่จำเลยผลิตเป็นจำนวนเดียวกับเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อขาย การกระทำของจำเลยส่วนนี้เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าเมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อขายบางส่วนมิใช่เมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนที่จำเลยผลิต และลงโทษจำเลยฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองเพื่อขายเป็นอีกกระทงหนึ่ง จึงเป็นการพิพากษาที่มิได้กล่าวในฟ้อง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้จำเลยจะมิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2787/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดหลายบท: ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดที่เชื่อมโยงกัน
ตามฟ้องข้อ 1 (ก) โจทก์บรรยายว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2ร่วมกันผลิตอีเฟดรีนจำนวน 1,770 เม็ด หนัก 157 กรัม และเมทแอมเฟตามีนจำนวน 31 เม็ด หนัก 2.7 กรัม ซึ่งเป็นจำนวนเดียวกันกับที่จำเลยที่ 1 และที่ 2ร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อขาย การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในส่วนนี้จึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท มิใช่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ส่วนอีเฟดรีนชนิดผงจำนวน 2 ถุง น้ำหนัก 74 กรัม แม้โจทก์จะแยกฟ้องมาเป็นฟ้องข้อ 1 (ข) เพื่อให้เห็นว่าเป็นคนละจำนวนกับอีเฟดรีนที่จำเลยที่ 1 และที่ 2ร่วมกันผลิตและมีไว้ในครอบครองเพื่อขายตามฟ้องข้อ 1 (ก) แต่โจทก์ก็บรรยายว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันมีอีเฟดรีนชนิดผงดังกล่าวไว้เพื่อใช้ในการผลิตเพื่อขายนั่นเอง ทั้งเป็นอีเฟดรีนที่เจ้าพนักงานตำรวจพบในเวลาและสถานที่เดียวกันกับอีเฟดรีนและเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยผลิตในฟ้องข้อ 1 (ก) จึงถือได้ว่าเป็นความผิดกรรมเดียวกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2787/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดหลายบท: การผลิตและมีไว้เพื่อขายวัตถุออกฤทธิ์ แม้แยกฟ้องเป็นข้อๆ ก็ตาม
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยผลิตอีเฟดรีนชนิดเม็ดและเมทแอมเฟตามีนซึ่งเป็นจำนวนเดียวกับที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อขาย การกระทำของจำเลยในส่วนนี้จึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท มิใช่ความผิดหลายกรรมต่างกันส่วนอีเฟดรีนชนิดผงนั้น แม้โจทก์จะแยกฟ้องมาเป็นอีกข้อหนึ่งต่างหากเพื่อให้เห็นว่าเป็นคนละจำนวนกับอีเฟดรีนที่จำเลยผลิตและมีไว้ในครอบครองเพื่อขายก็ตามแต่โจทก์ก็ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยมีอีเฟดรีนชนิดผงดังกล่าวไว้เพื่อใช้ในการผลิตเพื่อขายนั่นเอง ทั้งเป็นอีเฟดรีนที่เจ้าพนักงานตำรวจพบในเวลาและสถานที่เดียวกันกับอีเฟดรีนชนิดเม็ดและเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยผลิต จึงถือได้ว่าเป็นความผิดกรรมเดียวกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2156/2543 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิด พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม: การกระทำความผิดหลายกรรมต่างวาระ และการใช้ข้อเท็จจริงจากการสืบเสาะพินิจ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยตามบทมาตราที่โจทก์ฟ้องว่าเป็นความผิดและตามบทกฎหมายที่กำหนดโทษไว้ การที่ศาลอุทธรณ์ยกข้อเท็จจริงที่ได้มาจากการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติ ซึ่งจำเลยทราบแล้วไม่ได้โต้เถียงหรือคัดค้านมากล่าวในคำพิพากษาประกอบการพิจารณาว่าการกระทำของจำเลยเป็นการร้ายแรงหรือไม่เพียงใด เพื่อที่ศาลอุทธรณ์จะได้ใช้ดุลพินิจพิจารณาว่าสมควรจะลงโทษหรือรอการลงโทษให้แก่จำเลย หาใช่เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวมาในฟ้องไม่
ความผิดตาม พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม พ.ศ.2498 ฐานมีโทรศัพท์มือถืออันเป็นเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 23 และความผิดฐานจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคมตามมาตรา 26มีองค์ประกอบความผิดต่างกัน กล่าวคือความผิดตามมาตรา 23 เป็นความผิดเพราะจำเลยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจออกใบอนุญาต ส่วนความผิดมาตรา 26 เป็นความผิดเพราะจำเลยจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคม แม้จำเลยจะมีโทรศัพท์มือถือโดยได้รับหรือไม่ได้รับอนุญาตก็ตามหากจำเลยจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคมแล้วการกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดตาม มาตรา 26 ซึ่งเป็นความผิด 2 กรรมเมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยกระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระเป็น 2 กรรม ชอบแล้ว
ความผิดตาม พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม พ.ศ.2498 ฐานมีโทรศัพท์มือถืออันเป็นเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 23 และความผิดฐานจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคมตามมาตรา 26มีองค์ประกอบความผิดต่างกัน กล่าวคือความผิดตามมาตรา 23 เป็นความผิดเพราะจำเลยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจออกใบอนุญาต ส่วนความผิดมาตรา 26 เป็นความผิดเพราะจำเลยจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคม แม้จำเลยจะมีโทรศัพท์มือถือโดยได้รับหรือไม่ได้รับอนุญาตก็ตามหากจำเลยจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคมแล้วการกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดตาม มาตรา 26 ซึ่งเป็นความผิด 2 กรรมเมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยกระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระเป็น 2 กรรม ชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2156/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพ.ร.บ.วิทยุคมนาคม: การมี-ใช้โทรศัพท์มือถือโดยไม่ได้รับอนุญาต และการรบกวนสัญญาณ การลงโทษและการรอการลงโทษ
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยตามบทมาตราที่โจทก์ฟ้องว่าเป็นความผิดและตามบทกฎหมายที่กำหนดโทษไว้ การที่ศาลอุทธรณ์ยกข้อเท็จจริงที่ได้มาจากการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติ ซึ่งจำเลยทราบแล้วไม่ได้โต้เถียงหรือคัดค้านมากล่าวในคำพิพากษาประกอบการพิจารณาว่า การกระทำของจำเลยเป็นการร้ายแรงหรือไม่เพียงใด เพื่อที่ศาลอุทธรณ์จะได้ใช้ดุลพินิจพิจารณาว่าสมควรจะลงโทษหรือรอการลงโทษให้แก่จำเลย หาใช่เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องไม่
ความผิดตามพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498ฐานมีโทรศัพท์มือถืออันเป็นเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 23 และความผิดฐานจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคมตามมาตรา 26 มีองค์ประกอบความผิดต่างกัน กล่าวคือความผิดตามมาตรา 23 เป็นความผิดเพราะจำเลยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจออกใบอนุญาต ส่วนความผิดมาตรา 26 เป็นความผิดเพราะจำเลยจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคม แม้จำเลยจะมีโทรศัพท์มือถือโดยได้รับหรือไม่ได้รับอนุญาตก็ตาม หากจำเลยจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคมแล้ว การกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดตามมาตรา 26 ซึ่งเป็นความผิด 2 กรรม เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยกระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระเป็น 2 กรรม ชอบแล้ว
ความผิดตามพระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498ฐานมีโทรศัพท์มือถืออันเป็นเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 23 และความผิดฐานจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคมตามมาตรา 26 มีองค์ประกอบความผิดต่างกัน กล่าวคือความผิดตามมาตรา 23 เป็นความผิดเพราะจำเลยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจออกใบอนุญาต ส่วนความผิดมาตรา 26 เป็นความผิดเพราะจำเลยจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคม แม้จำเลยจะมีโทรศัพท์มือถือโดยได้รับหรือไม่ได้รับอนุญาตก็ตาม หากจำเลยจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคมแล้ว การกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดตามมาตรา 26 ซึ่งเป็นความผิด 2 กรรม เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยกระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระเป็น 2 กรรม ชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2155/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานปลอมเอกสาร ใช้เอกสารปลอม และฉ้อโกง โดยการแสดงตนเป็นผู้อื่น
แม้ข้อเท็จจริงจะฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 2 ปลอมลายมือชื่อของผู้เสียหายที่ 2 ลงในบัตรเครดิตของผู้เสียหายที่ 2 ก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 2 ปลอมลายมือชื่อผู้เสียหายที่ 2 ลงในใบสั่งซื้อสินค้า (ใบเซ็นชื่อ) แล้วใช้แสดงใบสินค้าต่อพนักงานขายสินค้าของผู้เสียหายที่ 3 โดยแสดงตนเป็นคนอื่นนั้น ย่อมเป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา 265 และมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 265 และฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่นตามมาตรา 342 (1)