คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 91

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,422 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2785/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองยาเสพติดและวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตฯ จำเลยขาดเจตนาในการมีมอร์ฟีน จึงไม่เป็นความผิดฐานครอบครองยาเสพติด
จำเลยครอบครองผงยาที่ใส่ซองบุหรี่นำมาจากที่เกิดเหตุโดยไม่ได้รับอนุญาต และยาจำนวนนี้เจ้าพนักงานผู้ตรวจพิสูจน์นำไปตรวจพิสูจน์รวมกับของกลางอีกจำนวนหนึ่ง แต่เมื่อแยกธาตุแล้วไม่สามารถทราบได้โดยแน่ชัดว่ามีสารบริสุทธิ์ของอีเฟดรีนซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 และมอร์ฟีนซึ่งเป็นยาเสพติดให้โจทก์ในประเภท 2 อยู่เป็นจำนวนเท่าใด จึงต้องฟังว่าอีเฟดรีนและมอร์ฟีนทีจำเลยครอบครองนั้นไม่สามารถคำนวณปริมาณที่แน่นอนได้ แม้เจ้าพนักงานตำรวจค้นพบยา 3 เม็ดซึ่งเป็นเมทแอมเฟตามีน และผงยาในซองบุหรี่ซึ่งมีอีเฟดรีนและมอร์ฟีนจากจำเลย แต่เมื่อจำเลยไม่ทราบว่าผงยาของกลางมีมอร์ฟีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 2 ผสมอยู่ด้วยดังนี้ จะถือว่าจำเลยรู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดฐานมีมอร์ฟีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 2ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนกฎหมายไม่ได้ เมื่อจำเลยขาดเจตนามีมอร์ฟีนดังกล่าวไว้ในครอบครองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 59 วรรคสาม การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานมีมอร์ฟีนอันเป็นยาเสพติดในประเภท 2 ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนกฎหมาย คงฟังได้เพียงว่าจำเลยมีอีเฟดรีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนกฎหมายเท่านั้น จำเลยที่ 3 เพิ่งนำผงยาสีน้ำตาลซึ่งมีอีเฟดรีนรวมอยู่ด้วยบรรจุอยู่ในซองบุหรี่มาจากบริเวณบ่อเลี้ยงที่เกิดเหตุ อันเป็นผงยาคนละจำนวนกับเมทแอมเฟตามีน 3 เม็ดที่จำเลยมีไว้ในครอบครองอยู่แล้ว การกระทำของจำเลยที่มีอีเฟดรีนไว้ในครอบครองเป็นการกระทำที่มีเจตนาต่างกันกับที่จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง ความผิดดังกล่าวจึงเป็นความผิด 2 กรรมต่างกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2785/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาการครอบครองยาเสพติด - การพิสูจน์องค์ประกอบความผิด - ความผิดหลายกรรม
จำเลยครอบครองผงยาที่ใส่ซองบุหรี่นำมาจากที่เกิดเหตุโดยไม่ได้รับอนุญาต และยาจำนวนนี้เจ้าพนักงานผู้ตรวจพิสูจน์นำไปตรวจพิสูจน์รวมกับของกลางอีกจำนวนหนึ่ง แต่เมื่อแยกธาตุแล้วไม่สามารถทราบได้โดยแน่ชัดว่ามีสารบริสุทธิ์ของอีเฟดรีนซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 และมอร์ฟีนซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 2 อยู่เป็นจำนวนเท่าใด จึงต้องฟังว่าอีเฟดรีนและมอร์ฟีนที่จำเลยครอบครองนั้นไม่สามารถคำนวณปริมาณที่แน่นอนได้ แม้เจ้าพนักงานตำรวจค้นพบยา 3 เม็ด ซึ่งเป็นเมทแอมเฟตามีน และผงยาในซองบุหรี่ซึ่งมีอีเฟดรีนและมอร์ฟีนจากจำเลย แต่เมื่อจำเลยไม่ทราบว่าผงยาของกลางมีมอร์ฟีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 2 ผสมอยู่ด้วย ดังนี้ จะถือว่าจำเลยรู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดฐานมีมอร์ฟีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 2 ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนกฎหมายไม่ได้ เมื่อจำเลยขาดเจตนามีมอร์ฟีนดังกล่าวไว้ในครอบครองตาม ป.อ.มาตรา 59 วรรคสาม การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานมีมอร์ฟีนอันเป็นยาเสพติดในประเภท 2 ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนกฎหมาย คงฟังได้เพียงว่าจำเลยมีอีเฟดรีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนกฎหมายเท่านั้น
จำเลยที่ 3 เพิ่งนำผงยาสีน้ำตาลซึ่งมีอีเฟดรีนรวมอยู่ด้วยบรรจุอยู่ในซองบุหรี่มาจากบริเวณบ่อเลี้ยงกุ้งที่เกิดเหตุ อันเป็นผงยาคนละจำนวนกับเมทแอมเฟตามีน 3 เม็ด ที่จำเลยมีไว้ในครอบครองอยู่แล้ว การกระทำของจำเลยที่มีอีเฟดรีนไว้ในครอบครองเป็นการกระทำที่มีเจตนาต่างกันกับที่จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง ความผิดดังกล่าวจึงเป็นความผิด 2 กรรมต่างกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2492/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขคำฟ้องเช็คและการลงโทษทางอาญา กรณีเช็คไม่มีเงินรองรับ
ตามคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์อ้างว่า เช็คฉบับที่โจทก์ขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องเป็นเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายชำระหนี้ตามมูลหนี้เดียวกับเช็คตามฟ้องทั้ง 2 ฉบับ แต่ขณะโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ โจทก์ยังหาเช็คและใบคืนเช็คฉบับที่โจทก์ขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องไม่พบ ต่อมาโจทก์พบเช็คและใบคืนเช็คดังกล่าวในแฟ้มเก็บเอกสารเรื่องอื่น โจทก์จึงมาขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้อง ดังนี้ ถือได้ว่ามีเหตุอันควร และโจทก์ได้ขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องก่อนศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้อง ไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบโจทก์จึงขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 163 วรรคหนึ่ง และมาตรา 164
ศาลชั้นต้น (ศาลแขวง) พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละ1 ปี เรียงกระทงลงโทษรวมจำคุก 3 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยกระทงละ6 เดือน รวม 1 ปี 6 เดือน เมื่อผลสุดท้ายศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยกระทงละ6 เดือน จึงไม่เกินอำนาจผู้พิพากษาคนเดียว ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา15 และมาตรา 22 (5)
โจทก์บรรยายฟ้องและแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องว่า จำเลยบังอาจออกเช็คจำนวนเงินฉบับละ 205,000 บาท รวม 3 ฉบับ ให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ค่ารับเหมาก่อสร้าง เมื่อเช็คดังกล่าวถึงกำหนดโจทก์นำไปเรียกเก็บเงิน ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลว่า บัญชีปิดแล้ว เป็นการออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2534 มาตรา 4 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยกระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง และการกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการกระทำการอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ศาลย่อมลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปได้ โดยโจทก์ไม่ต้องอ้าง ป.อ.มาตรา 91 มาในฟ้อง เพราะ ป.อ.มาตรา 91 ไม่ใช่กฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิด ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 158 (6)นอกจากนี้ตามคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์ก็ได้อ้าง ป.อ.มาตรา 91มาด้วย ซึ่งศาลอนุญาตให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมฟ้องแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2492/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขคำฟ้อง, การลงโทษหลายกระทง, และอำนาจศาลในการพิพากษาคดีเช็ค
ตามคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์อ้างว่า เช็คฉบับที่โจทก์ขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องเป็นเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายชำระหนี้ตามมูลหนี้เดียวกับเช็คตามฟ้องทั้ง 2 ฉบับ แต่ขณะโจทก์ยื่นฟ้องโจทก์ยังหาเช็คและใบคืนเช็คฉบับที่โจทก์ขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องไม่พบ ต่อมาโจทก์พบเช็คและใบคืนเช็คดังกล่าวในแฟ้มเอกสารโจทก์จึงมาขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้อง ถือได้ว่ามีเหตุอันควรและโจทก์ได้ขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องก่อนศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้อง ไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบ โจทก์จึงขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 163 วรรคหนึ่ง และมาตรา 164
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละ 1 ปี เรียงกระทงลงโทษ รวมจำคุก 3 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุกจำเลยกระทงละ 6 เดือน รวม 1 ปี 6 เดือน เมื่อผลสุดท้ายศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยกระทงละ 6 เดือน จึงไม่เกินอำนาจผู้พิพากษาคนเดียวตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 15 และมาตรา 22(5)
จำเลยกระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง และการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ศาลย่อมลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปได้ โดยโจทก์ไม่ต้องอ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 มาในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(6) เพราะประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ไม่ใช่กฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2258/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ - กรรมเดียว - ปลอมเครื่องหมายการค้า - ศาลยกฟ้อง - เหตุผลความผิดกรรมเดียวกับคดีก่อน
คำฟ้องโจทก์คดีนี้ที่ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา273และ275ระบุว่าจำเลยกระทำผิดเมื่อระหว่างวันที่1มกราคม2531ถึงวันที่28กรกฎาคม2531วันเวลาใดไม่ปรากฎชัดส่วนในคำฟ้องคดีเดิมโจทก์ฟ้องระบุว่าจำเลยกระทำผิดทั้งสองกรรมดังกล่าวเมื่อวันที่19มกราคม2531ดังนี้เวลากระทำผิดตามฟ้องคดีนี้กับคดีเดิมจึงเป็นเวลาเดียวกันเพราะวันที่จำเลยกระทำผิดคดีนี้อาจเป็นวันที่19มกราคม2531เวลากลางวันดังที่ระบุไว้ในคำฟ้องคดีเดิมก็ได้เมื่อการกระทำของจำเลยในความผิด2กรรมทั้งสองคดีดังกล่าวเป็นการร่วมกันปลอมเครื่องหมายการค้าของบริษัทผู้เสียหายรายเดียวกันซึ่งใช้กับสินค้าเหมือนกันและจำหน่ายหรือเสนอจำหน่ายสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอมดังกล่าวเช่นเดียวกันทั้งคำฟ้องคดีเดิมและคดีนี้โจทก์ก็ระบุว่าจำเลยกระทำความผิดในเวลาและสถานที่เดียวกันเป็นการกระทำความผิดในเรื่องเดียวกันการกระทำของจำเลยทั้งสองในแต่ละกรรมทั้งสองคดีจึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาเดียวกันความผิดที่โจทก์ฟ้องจำเลยคดีนี้ในแต่ละกรรมย่อมเป็นความผิดกรรมเดียวกันกับความผิด2กรรมที่โจทก์ได้ฟ้องจำเลยในคดีเดิมและเมื่อคดีอาญาเดิมดังกล่าวศาลได้พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่โจทก์ร่วมนำสืบฟังไม่ได้ว่าจำเลยปลอมเครื่องหมายการค้าดอกทานตะวันของบริษัทเดียวกันกับที่จำเลยถูกฟ้องคดีนี้และเสนอจำหน่ายสินค้าใบชากลิ่นมะลิตราดอกทานตะวันโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอมจำเลยไม่มีความผิดตามที่โจทก์ฟ้องพิพากษายกฟ้องคดีถึงที่สุดดังนั้นเมื่อมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้วจึงนำคดีนี้ซึ่งเป็นความผิดกรรมเดียวกันกับความผิดที่ได้ฟ้องจำเลยในคดีก่อนมาฟ้องจำเลยทั้งสองนี้อีกหาได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา39(4) สำหรับความผิดฐานขายของโดยหลอกลวงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา271ที่โจทก์กล่าวหาจำเลยนั้นเมื่อไม่ได้ความว่าจำเลยได้ขายสินค้าพิพาทให้แก่โจทก์ร่วมโดยหลอกลวงอย่างไรบ้างหากแต่โจทก์ร่วมไปซื้อสินค้าพิพาทจากบุคคลอื่นที่วางขายในห้างสรรพสินค้าเองจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำความผิดในข้อหาดังกล่าวกรณีไม่จำต้องวินิจฉัยว่าข้อหานี้เป็นฟ้องซ้ำกับข้อหาในคดีอาญาเรื่องเดิมหรือไม่เพราะแม้จะวินิจฉัยให้ผลแห่งคดีก็ไม่เปลี่ยนแปลง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2258/2540 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำกรรมเดียวกัน: คดีความผิดฐานปลอมแปลงเครื่องหมายการค้าและขายของหลอกลวง ศาลยกฟ้องเนื่องจากเคยมีคำพิพากษาเด็ดขาดแล้ว
คำฟ้องโจทก์คดีนี้ที่ขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ.มาตรา 273และ 275 ระบุว่า จำเลยกระทำผิดเมื่อระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2531 ถึงวันที่ 28กรกฎาคม 2531 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด ส่วนในคำฟ้องคดีเดิม โจทก์ฟ้องระบุว่าจำเลยกระทำผิดทั้งสองกรรมดังกล่าวเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2531 ดังนี้ เวลากระทำผิดตามฟ้องคดีนี้กับคดีเดิมจึงเป็นเวลาเดียวกัน เพราะวันที่จำเลยกระทำผิดคดีนี้อาจเป็นวันที่ 19 มกราคม 2531 เวลากลางวัน ดังที่ระบุไว้ในคำฟ้องคดีเดิมก็ได้เมื่อการกระทำของจำเลยในความผิด 2 กรรมทั้งสองคดีดังกล่าวเป็นการร่วมกันปลอมเครื่องหมายการค้าของบริษัทผู้เสียหายรายเดียวกัน ซึ่งใช้กับสินค้าเหมือนกันและจำหน่ายหรือเสนอจำหน่ายสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอมดังกล่าวเช่นเดียวกันทั้งคำฟ้องคดีเดิมและคดีนี้โจทก์ก็ระบุว่าจำเลยกระทำความผิดในเวลาและสถานที่เดียวกัน เป็นการกระทำความผิดในเรื่องเดียวกัน การกระทำของจำเลยทั้งสองในแต่ละกรรมทั้งสองคดีจึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาเดียวกัน ความผิดที่โจทก์ฟ้องจำเลยคดีนี้ในแต่ละกรรมย่อมเป็นความผิดกรรมเดียวกันกับความผิด 2 กรรม ที่โจทก์ได้ฟ้องจำเลยในคดีเดิม และเมื่อคดีอาญาเดิมดังกล่าวศาลได้พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบฟังไม่ได้ว่าจำเลยปลอมเครื่องหมายการค้าดอกทานตะวันของบริษัทเดียวกันกับที่จำเลยถูกฟ้องคดีนี้และเสนอจำหน่ายสินค้าใบชากลิ่นมะลิ ตราดอกทานตะวัน โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอม จำเลยไม่มีความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง พิพากษายกฟ้องคดีถึงที่สุด ดังนั้น เมื่อมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้วจึงนำคดีนี้ซึ่งเป็นความผิดกรรมเดียวกันกับความผิดที่ได้ฟ้องจำเลยในคดีก่อนมาฟ้องจำเลยทั้งสองนี้อีกหาได้ไม่ ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ.มาตรา 39 (4)
สำหรับความผิดฐานขายของโดยหลอกลวงตาม ป.อ.มาตรา271 ที่โจทก์กล่าวหาจำเลยนั้น เมื่อไม่ได้ความว่าจำเลยได้ขายสินค้าพิพาทให้แก่โจทก์ร่วมโดยหลอกลวงอย่างไรบ้าง หากแต่โจทก์ร่วมไปซื้อสินค้าพิพาทจากบุคคลอื่นที่วางขายในห้างสรรพสินค้าเอง จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำความผิดในข้อหาดังกล่าว กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยว่าข้อหานี้เป็นฟ้องซ้ำกับข้อหาในคดีอาญาเรื่องเดิมหรือไม่ เพราะแม้จะวินิจฉัยให้ ผลแห่งคดีก็ไม่เปลี่ยนแปลง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2258/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำความผิดฐานปลอมเครื่องหมายการค้า แม้ต่างเวลา-สถานที่ หากเป็นการกระทำกรรมเดียวกัน สิทธิฟ้องระงับ
คำฟ้องโจทก์คดีนี้ที่ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 273 และ 275 ระบุว่า จำเลยกระทำผิดเมื่อระหว่างวันที่1 มกราคม 2531 ถึงวันที่ 28 กรกฎาคม 2531 วันเวลาใดไม่ปรากฎชัด ส่วนในคำฟ้องคดีเดิม โจทก์ฟ้องระบุว่าจำเลยกระทำผิดทั้งสองกรรมดังกล่าวเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2531 ดังนี้ เวลากระทำผิดตามฟ้องคดีนี้กับคดีเดิมจึงเป็นเวลาเดียวกัน เพราะวันที่จำเลยกระทำผิดคดีนี้อาจเป็นวันที่ 19 มกราคม 2531 เวลากลางวันดังที่ระบุไว้ในคำฟ้องคดีเดิมก็ได้เมื่อการกระทำของจำเลยในความผิด 2 กรรมทั้งสองคดีดังกล่าวเป็นการร่วมกันปลอมเครื่องหมายการค้าของบริษัทผู้เสียหายรายเดียวกัน ซึ่งใช้กับสินค้าเหมือนกันและจำหน่ายหรือเสนอจำหน่ายสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอมดังกล่าวเช่นเดียวกันทั้งคำฟ้องคดีเดิมและคดีนี้โจทก์ก็ระบุว่าจำเลยกระทำความผิดในเวลาและสถานที่เดียวกัน เป็นการกระทำความผิดในเรื่องเดียวกัน การกระทำของจำเลยทั้งสองในแต่ละกรรมทั้งสองคดีจึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาเดียวกัน ความผิดที่โจทก์ฟ้องจำเลยคดีนี้ในแต่ละกรรมย่อมเป็นความผิดกรรมเดียวกันกับความผิด 2 กรรมที่โจทก์ได้ฟ้องจำเลยในคดีเดิม และเมื่อคดีอาญาเดิมดังกล่าวศาลได้พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่โจทก์ร่วมนำสืบฟังไม่ได้ว่าจำเลยปลอมเครื่องหมายการค้าดอกทานตะวันของบริษัทเดียวกันกับที่จำเลยถูกฟ้องคดีนี้และเสนอจำหน่ายสินค้าใบชากลิ่นมะลิ ตราดอกทานตะวัน โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอม จำเลยไม่มีความผิดตามที่โจทก์ฟ้อง พิพากษายกฟ้องคดีถึงที่สุด ดังนั้น เมื่อมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องแล้วจึงนำคดีนี้ซึ่งเป็นความผิดกรรมเดียวกันกับความผิดที่ได้ฟ้องจำเลยในคดีก่อนมาฟ้องจำเลยทั้งสองนี้อีกหาได้ไม่ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) สำหรับความผิดฐานขายของโดยหลอกลวงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 271 ที่โจทก์กล่าวหาจำเลยนั้น เมื่อไม่ได้ความว่าจำเลยได้ขายสินค้าพิพาทให้แก่โจทก์ร่วมโดยหลอกลวงอย่างไรบ้างหากแต่โจทก์ร่วมไปซื้อสินค้าพิพาทจากบุคคลอื่นที่วางขายในห้างสรรพสินค้าเอง จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำความผิดในข้อหาดังกล่าว กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยว่าข้อหานี้เป็นฟ้องซ้ำกับข้อหาในคดีอาญาเรื่องเดิมหรือไม่ เพราะแม้จะวินิจฉัยให้ ผลแห่งคดีก็ไม่เปลี่ยนแปลง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1724/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษจำคุกหลายกระทงต้องไม่เกิน 50 ปี แม้คดีเกี่ยวพันกัน ศาลต้องปรับแก้หมายจำคุกให้ถูกต้องตามกฎหมาย
คดีทั้งสามสำนวนนี้เกิดเหตุในคืนเดียวกัน โดยจำเลย ทั้งสามกับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์ทั้งสามคดีติดต่อกันและจำเลยทั้งสามก็ถูกจับในวันเดียวกันทั้งสามสำนวนคดีทั้งสามสำนวนจึงเกี่ยวพันกันพอที่จะฟ้องรวมกันหรือพิจารณาพิพากษารวมกันได้ แม้โจทก์จะแยกฟ้องจำเลยที่ 2และที่ 3 เป็นสามสำนวนก็ตาม แต่เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 2และที่ 3 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน และศาลได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 ทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปเช่นนี้โทษจำคุกที่ลงทุกกระทงเมื่อรวมทั้งสิ้นแล้วต้องไม่เกินกำหนดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1724/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ รวมคดีปล้นทรัพย์หลายกรรม, โทษจำคุกรวมตาม ป.อ. มาตรา 91
คดีทั้งสามสำนวนนี้เกิดเหตุในคืนเดียวกัน โดยจำเลยทั้งสามกับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์ทั้งสามคดีติดต่อกัน และจำเลยทั้งสามก็ถูกจับในวันเดียวกันทั้งสามสำนวน คดีทั้งสามสำนวนจึงเกี่ยวพันกันพอที่จะฟ้องรวมกันหรือพิจารณาพิพากษารวมกันได้ แม้โจทก์จะแยกฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นสามสำนวนก็ตาม แต่เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน และศาลได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 ทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปเช่นนี้โทษจำคุกที่ลงทุกกระทงเมื่อรวมทั้งสิ้นแล้วต้องไม่เกินกำหนดตาม ป.อ.มาตรา 91

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1346/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแยกฟ้องฐานครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายยาเสพติดเป็นกระทงความผิดต่างกัน
โจทก์บรรยายฟ้องเป็น2ตอนข้อก.บรรยายว่าจำเลยมีกัญชาจำนวน2ถุงกับอีก1กล่องน้ำหนัก67.8กรัมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยฝ่าฝืนกฎหมายและข้อข.บรรยายว่าตามวันเวลาดังกล่าวจำเลยได้จำหน่ายกัญชาให้แก่สายลับที่เข้าล่อซื้อจำนวน1ถุงน้ำหนัก21.8กรัมราคา400บาทอันเป็นยาเสพติดให้โทษส่วนหนึ่งที่จำเลยมีไว้เพื่อจำหน่ายในข้อก.ความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและความผิดฐานจำหน่ายกัญชาเป็นความผิดต่างฐานกันการที่โจทก์แยกฟ้องเป็นข้อก.และข.จึงเห็นเจตนาของโจทก์ว่าขอให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องย่อมหมายความว่าได้กระทำผิดทั้ง2กรรมซึ่งเป็นความผิดต่างกันตามฟ้องจึงต้องลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป
of 243