คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.พ.พ. ม. 442

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 273 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2419/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยมีหน้าที่จัดหาสัตวแพทย์ตรวจเนื้อสุกรชำแหละ หากละเลยถือเป็นการละเมิด โจทก์มีส่วนละเลยไม่บรรเทาความเสียหาย
โจทก์ที่ 1 ฟ้องเรียกค่าเสียหายไม่เกินห้าหมื่นบาท ส่วนโจทก์ที่ 6 ที่ 7 และที่ 8 ฟ้องเรียกค่าเสียหายรวมกันมาเป็นคดีเดียวกัน แต่โจทก์ทั้งสามต่างมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายได้โดยลำพังตนเอง แม้จะฟ้องรวมกันมาเป็นคดีเดียวกันเพื่อความสะดวกแต่การพิจารณาถึงสิทธิในการฎีกาต้องพิจารณาตามทุนทรัพย์ที่โจทก์แต่ละคนเรียกร้อง การฟ้องคดีรวมกันหรือแยกกันย่อมไม่มีผลทำให้สิทธิในการฎีกาเปลี่ยนแปลงไป เมื่อปรากฏว่าค่าเสียหายที่โจทก์ที่ 6 ที่ 7 และที่ 8 แต่ละคนเรียกร้องมาไม่เกินห้าหมื่นบาทการที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงเป็นคดีที่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะยื่นฎีกา จำเลยที่ 1 มีหน้าที่จัดให้มีโรงฆ่าสัตว์ และต้องดูแลควบคุมให้การดำเนินการเป็นไปโดยถูกต้องเรียบร้อย จำเลยที่ 1 ออกอาชญาบัตรให้แก่โจทก์เพื่อฆ่าสุกรในโรงฆ่าสัตว์ของจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 1 มีหน้าที่จะต้องจัดหาสัตวแพทย์มาตรวจเนื้อสุกรชำแหละก่อนนำออกไปจำหน่ายแก่ประชาชนในระหว่างเวลา 0.01 นาฬิกา ถึง 8 นาฬิกาการที่สัตวแพทย์เพิ่งมาตรวจเนื้อสุกรชำแหละ และตีประทับตราให้นำเนื้อสุกรชำแหละออกจากโรงฆ่าสัตว์ได้ในเวลาประมาณ 10 นาฬิกาจนเป็นเหตุให้เนื้อสุกรชำแหละของโจทก์เน่าเสียหาย เป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 มิได้จัดหาสัตวแพทย์มาตรวจเนื้อสุกรชำแหละภายในเวลาที่จะต้องตรวจตามหน้าที่ ถือได้ว่าเป็นการละเลย ประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 อันเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ การที่โจทก์มีส่วนละเลยไม่บำบัดปัดป้อง หรือบรรเทาความเสียหายโดยไม่นำเนื้อสุกรชำแหละที่ผ่านการตรวจจากสัตวแพทย์ และตีประทับตราแล้วออกจำหน่าย ทั้งที่อยู่ในช่วงเวลาที่จะสามารถจำหน่ายได้บ้างอันจะเป็นการบรรเทาความเสียหายให้ลดน้อยลงได้ ศาลเห็นสมควรกำหนดให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เพียงครึ่งหนึ่งของค่าเสียหายที่โจทก์ได้รับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2419/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเมิดจากการไม่จัดหาสัตวแพทย์ตรวจเนื้อสัตว์, ความรับผิดของโรงฆ่าสัตว์, ส่วนละเลยของโจทก์
โจทก์ที่ 6 ที่ 7 และที่ 8 ฟ้องเรียกค่าเสียหายรวมกันมาเป็นคดีเดียวกัน แต่โจทก์ที่ 6 ที่ 7 และที่ 8เป็นคู่สัญญาการฆ่าสัตว์ในโรงฆ่าสัตว์ของเทศบาลเมืองจำเลยที่ 1 ตามสัญญาคนละฉบับและได้รับอนุญาตให้ฆ่าสุกรแยกต่างหากจากกัน จึงเป็นกรณีที่โจทก์แต่ละคนต่างมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายได้โดยลำพังตนเอง แม้โจทก์ทั้งสามจะฟ้องรวมกันมาเป็นคดีเดียวกัน แต่การพิจารณาถึงสิทธิในการฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคแรก ต้องพิจารณาตามทุนทรัพย์ที่โจทก์แต่ละคนเรียกร้อง เทศบาลเมืองจำเลยที่ 1 มีหน้าที่จัดให้มีโรงฆ่าสัตว์และต้องดูแลควบคุมให้การดำเนินการเป็นไปโดยถูกต้องเรียบร้อยตามระเบียบที่วางไว้จำเลยที่ 1 ได้ออกอาชญาบัตรให้แก่โจทก์ที่ 3 เพื่อฆ่าสุกรในโรงฆ่าสัตว์ของจำเลยที่ 1และชำแหละเนื้อสุกรนำออกจำหน่ายแก่ประชาชนทั่วไปตามสัญญาที่ทำไว้ วันเกิดเหตุไม่มีสัตว์แพทย์และเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 มาตรวจ และตีประทับตราเนื้อสุกรชำแหละเพื่ออนุญาตให้นำออกไปจำหน่ายได้ตามปกติ โดยสัตวแพทย์มาตรวจ เนื้อสุกรชำแหละและเจ้าหน้าที่มาตีประทับตราเนื้อสุกรชำแหละให้นำออกจากโรงฆ่าสัตว์ได้ในเวลาประมาณ10 นาฬิกา ต่อมาเนื้อสุกรชำแหละเน่าเสียหาย จำเลยที่ 1มีหน้าที่ต้องจัดหาสัตวแพทย์มาตรวจ เนื้อสุกรชำแหละก่อนที่จะให้โจทก์ที่ 3 นำออกไปจำหน่าย ซึ่งการตรวจจะต้องกระทำภายในช่วงเวลาการฆ่าและชำแหละสุกรคือระหว่างเวลา 00.01 นาฬิกา ถึง 8 นาฬิกา แม้ว่าในสัญญาฆ่าสุกรจะไม่ระบุว่าสัตวแพทย์จะต้องมาทำการตรวจเนื้อสุกรชำแหละเวลาใดก็ตาม แต่ก็เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1จะต้องจัดให้มีสัตวแพทย์มาปฏิบัติหน้าที่ในช่วงเวลาดังกล่าวการที่จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นสัตวแพทย์เพิ่มมาตรวจ และ มี การตีประทับตราให้นำเนื้อสุกรชำแหละออกจากโรงฆ่าสัตว์ได้ในเวลาประมาณ 10 นาฬิกา จึงเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1มิได้จัดหาสัตวแพทย์มาตรวจ เนื้อสุกรชำแหละตามหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ถือได้ว่าเป็นการละเลยประมาทเลินเล่ออันเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ที่ 3 ขณะที่สัตวแพทย์จำเลยที่ 3 ตรวจเนื้อสุกรชำแหละและเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ตีประทับตรานั้นเนื้อสุกรชำแหละยังสามารถจะนำไปจำหน่ายได้แต่ก็เป็นเวลาประมาณ 10 นาฬิกา ซึ่งจะเลิกขายเนื้อสุกรชำแหละแล้ว โดยเริ่มขายตั้งแต่เวลา 2 หรือ 3 นาฬิกาไปจนถึง 10 นาฬิกา หากโจทก์ที่ 3 จะนำเนื้อสุกรชำแหละไปขายก็คงขายได้ไม่มากนัก เพราะใกล้จะหมดเวลาที่ประชาชน จะมาซื้อตามที่เคยปฏิบัติมาเสียแล้ว ดังนั้น ความเสียหาย ที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่ความผิดของโจทก์ที่ 3 แต่ฝ่ายเดียว เพียงถือได้ว่าโจทก์ที่ 3 มีส่วนละเลยไม่บำบัดปัดป้อง หรือบรรเทาความเสียหายนั้นด้วย โดยไม่นำเนื้อสุกรชำแหละที่ผ่านการตรวจจากจำเลยที่ 3 และตีประทับตราแล้วออกจำหน่าย ทั้ง ๆ ที่อยู่ในช่วงเวลาที่จะสามารถจำหน่ายได้บ้าง ศาลจึงกำหนดให้จำเลยที่ 1 รับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ 3 เพียงครึ่งหนึ่งของค่าเสียหาย ที่โจทก์ที่ 3 ได้รับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1141/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความประมาททั้งสองฝ่ายในอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทำให้ค่าเสียหายตกเป็นพับ
ช.ขับรถยนต์ของโจทก์แซงรถผู้อื่นใกล้กับสี่แยกแล้วขับเข้าไปในบริเวณสี่แยกด้วยความเร็ว นับว่าเป็น การกระทำโดยประมาท สำหรับจำเลยที่ 1เมื่อขับรถมาถึงสี่แยกก็ชอบที่จะลดความเร็วของรถลงและตรวจดูให้ปลอดภัยเสียก่อนที่จะขับรถเข้าไปบริเวณสี่แยกแต่จำเลยที่ 1 กลับขับรถด้วยความเร็วโดยประมาทเข้าไปในสี่แยกที่เกิดเหตุ จึงเกิดชนกับรถยนต์ของโจทก์นับได้ว่าทั้งช.และจำเลยที่ 1 ต่างขับรถด้วยความประมาทไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่รถยนต์ของโจทก์และรถยนต์ของจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ค่าเสียหายจึงตกเป็นพับทั้งสองฝ่าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 406/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความประมาทเลินเล่อของผู้ขับรถทั้งสองฝ่าย ทำให้จำเลยไม่ต้องรับผิดค่าเสียหาย
ลูกจ้างของจำเลยขับรถยนต์ด้วยความประมาทเลินเล่อเช่นเดียวกับผู้ขับรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัย ความประมาทเลินเล่อของลูกจ้างจำเลยย่อมไม่อาจมากหรือเกินไปกว่าความประมาทเลินเล่อของผู้ขับรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยได้ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 442 ประกอบด้วยมาตรา 223

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3373/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์: ประเมินความประมาทของผู้ขับขี่แต่ละคันเพื่อแบ่งความรับผิด
รถยนต์ 5 คัน ขับตามกันมาในทิศทางเดียวกัน ธ.เป็นผู้ขับรถคันที่ 4 ซึ่งเป็นคันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ ธ.ขับรถโดยประมาทหยุดรถไม่ทันเป็นเหตุให้ไปชนรถคันที่ 3ที่แล่นนำหน้าอยู่ และเป็นผลทำให้จำเลยที่ขับรถคันที่ 5ตามมาด้วยความประมาทเช่นกันหยุดรถไม่ทันจึงชนท้ายรถคันที่ 4อีกคันหนึ่ง กรณีเช่นนี้ ธ.ไม่ได้มีส่วนร่วมทำความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดก่อให้เกิดความเสียหายแก่รถคันที่ตนขับดังนั้นความเสียหายที่รถคันที่ 4 ได้รับจากการที่ถูกรถคันที่ 5 ชน จะนำไปอาศัยพฤติการณ์ที่ ธ.ไปกระทำโดยประมาทก่อให้เกิดความเสียหายแก่รถคันที่ 3 มารวมพิจารณาโดย ถือว่า ธ.หรือจำเลยผู้ใดเป็นผู้ก่อให้เกิดความเสียหายยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงใดย่อมไม่ได้ความเสียหายที่รถคันที่ 4 ได้รับ ต้องถือว่าเกิดขึ้นเพราะความประมาทของจำเลยผู้ขับรถคันที่ 5 แต่เพียงฝ่ายเดียว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3373/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์: ประเมินความประมาทเลินเล่อของผู้ขับขี่แต่ละฝ่ายเพื่อแบ่งแยกความรับผิดชอบ
ความประมาทเลินเล่อของคนขับรถคันที่ 4 ซึ่งโจทก์รับประกันภัยไว้ที่ไปชนท้ายรถคันที่ 3 ได้รับความเสียหาย ย่อมเป็นความผิดของคนขับรถคันที่ 4 ที่จะต้องชดใช้ค่าเสียหายที่ตนก่อให้เกิดขึ้นนั้น เป็นส่วนหนึ่งต่างหากจากการที่รถคันที่ 5 ซึ่งจำเลยเป็นผู้ขับโดยประมาทไปชนท้ายรถคันที่ 4 ซึ่งโจทก์รับประกันภัยไว้ผู้ขับขี่รถคันที่ 4 ไม่ได้มีส่วนร่วมทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นก่อให้เกิดความเสียหายแก่รถคันที่ 4 ซึ่งโจทก์รับประกันภัยไว้ ดังนั้น ค่าเสียหายที่รถคันที่ 4 ได้รับจะนำไปอาศัยพฤติการณ์ที่ผู้ขับรถคันที่ 4 ไปกระทำโดยประมาทก่อให้เกิดความเสียหายแก่รถคันที่ 3 มารวมพิจารณาว่าฝ่ายไหนเป็นผู้ก่อให้เกิดยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงไรนั้นย่อมไม่ได้ ความเสียหายที่รถคันที่ 4 ได้รับจะต้องถือว่าเกิดขึ้นเพราะความประมาทเลินเล่อของจำเลยผู้ขับรถคันที่ 5 แต่เพียงฝ่ายเดียว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 958/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชนรถยนต์จากความประมาทเลินเล่อของทั้งสองฝ่าย ผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิด
โจทก์ที่ 2 ใช้สิทธิเฉพาะตัวฟ้องให้จำเลยที่ 1 ในฐานะลูกจ้างขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ในฐานะนายจ้างและจำเลยที่ 3ในฐานะผู้รับประกันภัยรถยนต์ของจำเลยที่ 2 ให้รับผิดจากการที่จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ดังกล่าวโดยประมาทชนกับรถยนต์ของโจทก์ที่ 2เป็นเงิน 10,000 บาท จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ไม่เกิน 20,000 บาท ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัย อุทธรณ์ของโจทก์ที่ 2 เป็นการไม่ชอบถือว่าเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่า กันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ จำเลยที่ 1 และ ส. คนขับรถของโจทก์ที่ 1 ที่ 2 ต่างขับรถยนต์ชนกันโดยประมาทไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ทั้งสองฝ่ายจึงไม่ต้องรับผิด ต่อ กันจำเลยที่ 3 ในฐานะผู้รับประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุของจำเลย ที่ 2 ที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย แก่โจทก์ที่ 1 ที่ 2ผู้ครอบครองและเจ้าของรถยนต์ที่ชนกับรถยนต์ คันที่จำเลยที่ 3 รับประกันภัย และเนื่องจากเป็นคดีเกี่ยวด้วย การชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ แม้จำเลยที่ 2 จะไม่ได้ฎีกาก็ให้มี ผลถึงจำเลยที่ 2 ด้วย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5589/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องของเจ้าของรถเช่าซื้อ, ความรับผิดทางละเมิด, และการแบ่งความรับผิดจากหลายฝ่าย
แม้โจทก์เป็นเพียงผู้เช่าซื้อรถยนต์ที่นายมังกรขับ แต่ถ้าโจทก์ได้ชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้ว โจทก์ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ที่เช่าซื้อ การครอบครองรถยนต์คันดังกล่าวเป็นการครอบครองโดยมีเจตนาจะเป็นเจ้าของ และตามสัญญาเช่าซื้อโจทก์มีหน้าที่ดูแลรักษาและซ่อมแซมรถยนต์คันดังกล่าวให้คงสภาพใช้การได้ดีตลอดเวลาหากมีผู้ทำละเมิดเป็นเหตุให้รถยนต์คันดังกล่าวได้รับความเสียหาย ดังนั้น ที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์คันดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นการบรรยายตามความเข้าใจของโจทก์ไม่เป็นเหตุให้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ในคดีอาญาพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 ก.เป็นผู้เสียหาย และตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43,157 รัฐเป็นผู้เสียหาย คดีถึงที่สุดโดยศาลพิพากษาลงโทษจำเลย โจทก์ในคดีนี้ไม่ใช่ผู้เสียหายหรือคู่ความในคดีอาญานั้น ในการพิพากษาคดีนี้ศาลจึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาแต่เป็นกรณีที่ต้องฟังข้อเท็จจริงกันใหม่จากพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบกันมาในสำนวนคดีนี้ ความเสียหายของโจทก์มิได้เกิดจากการทำละเมิดของจำเลยเพียงฝ่ายเดียว กล่าวคือเกิดจากการขับรถยนต์โดยประมาทของ ม.จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อโจทก์เป็นอย่างมากด้วย พิเคราะห์พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดแล้วไม่สมควรที่จะให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ในความเสียหายทั้งหมดของโจทก์. (วรรคสองวินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 5/2534)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4285/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประมาททางละเมิด: การประเมินความรับผิดชอบเมื่อทั้งสองฝ่ายมีส่วนประมาท และการแบ่งความรับผิดชอบตามพฤติการณ์
แม้เหตุที่รถยนต์ของจำเลยชนรถยนต์ของโจทก์เป็นเพราะความประมาทของจำเลยก็ตาม แต่การที่โจทก์จอดรถยนต์ไว้ข้างทางในเวลากลางคืนโดยไม่ให้สัญญาณไฟ และจอดรถยนต์โดยล้อขวาล้ำเข้าไปบนผิวจราจรประมาณ 1 ฟุต ก็เป็นการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติให้ถูกต้อง ตามกฎจราจร ซึ่งเป็นบทบังคับแห่งกฎหมายอันมีที่ประสงค์เพื่อ จะปกป้องบุคคลอื่น ๆ จึงต้องด้วยบทสันนิษฐานของ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 422 ว่าโจทก์เป็นผู้ผิด ความ เสียหายที่เกิดขึ้นแก่รถยนต์ ของโจทก์จึงเกิดขึ้นเพราะความผิดของ โจทก์ที่มีส่วนประมาทด้วย หนี้อันจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ มากน้อยเพียงใด จึงต้องอาศัยพฤติการณ์เป็นประมาณ ข้อสำคัญก็คือ ว่าความเสียหายนั้นได้เกิดขึ้นเพราะฝ่ายไหนเป็นผู้ก่อยิ่งหย่อน กว่ากันเพียงไร ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 442 ประกอบด้วยมาตรา 223 แม้โจทก์จะฝ่าฝืนกฎจราจรจอดรถยนต์ไว้ข้างทางในเวลากลางคืนโดยไม่ให้สัญญาณไฟ และจอดรถยนต์ไว้โดยล้อขวาล้ำเข้าไปบนผิวจราจรประมาณ 1 ฟุตก็ตาม แต่การที่จำเลยเห็นรถยนต์ของโจทก์จอดอยู่ ข้างหน้าห่างประมาณ 20 เมตร จำเลยย่อมมีโอกาสสุดท้ายที่จะหลีกเลี่ยง ความเสียหาย โดยใช้ห้ามล้อชะลอความเร็วเพื่อหยุดรถหรือหักหลบ มิให้ ชนรถยนต์ของโจทก์ได้ แต่จำเลยกลับขับรถด้วยความเร็วสูง ชนรถยนต์ของโจทก์ เป็นเหตุให้ตกลงไปในคูน้ำข้างทางทั้งสองคัน ได้รับความเสียหาย เช่นนี้ ถือได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายประมาทมากกว่า โจทก์ ความเสียหายที่เกิดขึ้นจำเลยจึงเป็นฝ่ายก่อมากกว่าโจทก์ แต่เนื่องจากรถยนต์ของจำเลยเป็นรถยนต์เก๋งได้รับความเสียหายมากกว่า รถยนต์ของโจทก์ ซึ่งเป็นรถยนต์บรรทุก อีกทั้งตัวจำเลยก็ได้รับอันตราย แก่กาย เนื่องจากรถยนต์ชนกันครั้งนี้ด้วย พฤติการณ์แห่งคดีสมควร กำหนดให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เพียงสองในสามของ จำนวนที่โจทก์พิสูจน์ได้ตามคำพิพากษาของศาลล่าง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4285/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประมาททั้งสองฝ่าย แต่จำเลยมีโอกาสหลีกเลี่ยงได้ยังประมาทชน ทำให้ต้องรับผิดชอบค่าเสียหายสองในสาม
แม้เหตุที่รถยนต์ของจำเลยชนรถยนต์ของโจทก์เป็นเพราะความประมาทของจำเลยก็ตาม แต่การที่โจทก์จอดรถยนต์ไว้ข้างทางในเวลากลางคืนโดยไม่ให้สัญญาณไฟ และจอดรถยนต์โดยล้อขวาล้ำเข้าไปบนผิวจราจรประมาณ 1 ฟุต ก็เป็นการฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎจราจร ซึ่งเป็นบทบังคับแห่งกฎหมายอันมีที่ประสงค์เพื่อจะปกป้องบุคคลอื่น ๆ จึงต้องด้วยบทสันนิษฐานของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 422 ว่าโจทก์เป็นผู้ผิด ความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่รถยนต์ของโจทก์จึงเกิดขึ้นเพราะความผิดของโจทก์ที่มีส่วนประมาทด้วย หนี้อันจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์มากน้อยเพียงใด จึงต้องอาศัยพฤติการณ์เป็นประมาณ ข้อสำคัญก็คือว่าความเสียหายนั้นได้เกิดขึ้นเพราะฝ่ายไหนเป็นผู้ก่อยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงไร ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายนแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 442 ประกอบด้วยมาตรา 223
แม้โจทก์จะฝ่าฝืนกฎจราจรจอดรถยนต์ไว้ข้างทางในเวลากลางคืน โดยไม่ให้สัญญาณไฟ และจอดรถยนต์ไว้โดยล้อขวาล้ำเข้าไปบนผิวจราจรประมาณ 1 ฟุตก็ตาม แต่การที่จำเลยเห็นรถยนต์ของโจทก์จอดอยู่ข้างหน้าห่างประมาณ 20 เมตร จำเลยย่อมมีโอกาสสุดท้ายที่จะหลีกเลี่ยงความเสียหาย โดยใช้ห้ามล้อชะลอความเร็วเพื่อหยุดรถหรือหักหลบมิให้ชนรถยนต์ของโจทก์ได้ แต่จำเลยกลับขับรถด้วยความเร็วสูงชนรถยนต์ของโจทก์ เป็นเหตุให้ตกลงไปในคูน้ำข้างทางทั้งสองคันได้รับความเสียหาย เช่นนี้ ถือได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายประมาทมากกว่าโจทก์ ความเสียหายที่เกิดขึ้นจำเลยจึงเป็นฝ่ายก่อมากกว่าโจทก์ แต่เนื่องจากรถยนต์ของจำเลยเป็นรถยนต์เก๋งได้รับความเสียหายมากกว่ารถยนต์ของโจทก์ซึ่งเป็นรถยนต์บรรทุก อีกทั้งตัวจำเลยก็ได้รับอันตรายแก่กายเนื่องจากรถยนต์ชนกันครั้งนี้ด้วย พฤติการณ์แห่งคดีสมควรกำหนดให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เพียงสองในสามของจำนวนที่โจทก์พิสูจน์ได้ตามคำพิพากษาของศาลล่าง
of 28