พบผลลัพธ์ทั้งหมด 273 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 975/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิด: การประมาทเลินเล่อของทั้งสองฝ่าย และการหักลบค่าเสียหาย
กระบือของจำเลยหลุดไป จำเลยทราบแต่ไม่ติดตามทันที กระบือลงไปนอนแช่น้ำในลำคลองสาธารณะ แม้จำเลยจะประมาทด้วย แต่ความเสียหายหาได้เกิดเพราะความประมาทของจำเลยแต่ฝ่ายเดียวไม่ หากเกิดเพราะโจทก์ขับเรือยนต์ด้วยความเร็วจึงชนเอากระบือเข้า กระบือบาดเจ็บ เป็นความประมาทของโจทก์ด้วย โจทก์จึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายให้แก่จำเลย โดยให้หักความเสียหายอันเกิดเพราะความประมาทของจำเลยออกเสียก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 975/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดจากอุบัติเหตุทางน้ำ: การประมาทของทั้งสองฝ่ายและหลักการหักลดค่าเสียหาย
กระบือของจำเลยหลุดไป จำเลยทราบแต่ไม่ติดตามทันทีกระบือลงไปนอนแช่น้ำในลำคลองสาธารณะ แม้จำเลยจะประมาทด้วย แต่ความเสียหายหาได้เกิดเพราะความประมาทของจำเลยแต่ฝ่ายเดียวไม่ หากเกิดเพราะโจทก์ขับเรือยนต์มาด้วยความเร็วจึงชนเอากระบือเข้า กระบือบาดเจ็บ เป็นความประมาทของโจทก์ด้วย โจทก์จึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายให้แก่จำเลย โดยให้หักความเสียหายอันเกิดเพราะความประมาทของจำเลยออกเสียก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 602/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องของผู้เช่าซื้อ & ความรับผิดของผู้จ้างขับรถที่ไม่มีใบขับขี่
ภริยาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายของโจทก์เป็นผู้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์มาโดยโจทก์เป็นผู้ไปติดต่อตกลงกับผู้ขายและเป็นผู้ค้ำประกัน โจทก์ขายนาของโจทก์มาชำระราคารถ และเป็นผู้จัดการนำรถไปเดินรับส่งคนโดยสารหารายได้เลี้ยงครอบครัว ตลอดทั้งเป็นผู้ควบคุมเก็บรักษารถ ภริยาโจทก์รับว่าโจทก์เป็นผู้ซื้อรถ แต่ลงชื่อภริยาไว้เพราะภริยาโจทก์เกรงว่าโจทก์จะไปมีภริยาใหม่ และการที่จำเลยขับรถไปพลิกคว่ำโดยประมาททำให้รถเสียหาย ย่อมเป็นการทำให้เสียหายแก่การเดินรถหารายได้มาเลี้ยงครอบครัว ทั้งโจทก์และภริยาอาจต้องรับผิดกับผู้ให้เช่าซื้ออีกด้วย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้
โจทก์ได้จ้างจำเลยมาขับรถยนต์ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ว่าจำเลยอายุเพียง 18-19 ปี และไม่มีใบขับขี่ ซึ่งโดยปกติย่อมจะถืออยู่ว่าเป็นผู้มีความระมัดระวังและความสามารถในการขับรถน้อยอยู่แล้วจึงนับว่าเป็นความประมาทของโจทก์อันมีส่วนเป็นเหตุทำให้เกิดความเสียหายขึ้น ถือได้ว่าโจทก์เสี่ยงยอมรับผลเช่นนั้นอยู่แล้ว จึงควรมีส่วนรับผิดด้วย
โจทก์ได้จ้างจำเลยมาขับรถยนต์ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ว่าจำเลยอายุเพียง 18-19 ปี และไม่มีใบขับขี่ ซึ่งโดยปกติย่อมจะถืออยู่ว่าเป็นผู้มีความระมัดระวังและความสามารถในการขับรถน้อยอยู่แล้วจึงนับว่าเป็นความประมาทของโจทก์อันมีส่วนเป็นเหตุทำให้เกิดความเสียหายขึ้น ถือได้ว่าโจทก์เสี่ยงยอมรับผลเช่นนั้นอยู่แล้ว จึงควรมีส่วนรับผิดด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 602/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องของผู้เช่าซื้อ, ความประมาทของผู้จ้าง, ผู้เยาว์ขับรถไม่มีใบอนุญาต, ความรับผิดทางละเมิด
ภริยาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายของโจทก์เป็นผู้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์มาโดยโจทก์เป็นผู้ไปติดต่อตกลงกับผู้ขายและ เป็นผู้ค้ำประกัน โจทก์ขายนาของโจทก์มาชำระราคารถและเป็นผู้จัดการนำรถไปเดินรับส่งคนโดยสารหารายได้เลี้ยงครอบครัวตลอดทั้งเป็นผู้ควบคุมเก็บรักษารถ ภริยาโจทก์ก็รับว่าโจทก์เป็นผู้ซื้อรถ แต่ลงชื่อภริยาไว้เพราะภริยาโจทก์เกรงว่าโจทก์จะไปมีภริยาใหม่ และการที่จำเลยขับรถไปพลิกคว่ำโดยประมาททำให้รถเสียหาย ย่อมเป็นการทำให้เสียหายแก่การเดินรถหารายได้มาเลี้ยงครอบครัว ทั้งโจทก์และภริยาอาจต้องรับผิดกับผู้ให้เช่าซื้ออีกด้วย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้
โจทก์ได้จ้างจำเลยมาขับรถยนต์ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ว่าจำเลยอายุ เพียง 18-19 ปีและไม่มีใบขับขี่ ซึ่งโดยปกติย่อมจะถืออยู่ว่าเป็น ผู้มีความระมัดระวังและความสามารถในการขับรถน้อยอยู่แล้วจึงนับว่าเป็นความประมาทของโจทก์อันมีส่วนเป็นเหตุทำให้เกิดความเสียหายขึ้น ถือได้ว่าโจทก์เสี่ยงยอมรับผลเช่นนั้นอยู่แล้ว จึงควรมีส่วนรับผิดด้วย
โจทก์ได้จ้างจำเลยมาขับรถยนต์ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ว่าจำเลยอายุ เพียง 18-19 ปีและไม่มีใบขับขี่ ซึ่งโดยปกติย่อมจะถืออยู่ว่าเป็น ผู้มีความระมัดระวังและความสามารถในการขับรถน้อยอยู่แล้วจึงนับว่าเป็นความประมาทของโจทก์อันมีส่วนเป็นเหตุทำให้เกิดความเสียหายขึ้น ถือได้ว่าโจทก์เสี่ยงยอมรับผลเช่นนั้นอยู่แล้ว จึงควรมีส่วนรับผิดด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1134-1135/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผูกพันตามคำพิพากษาคดีอาญาในคดีแพ่ง และการกำหนดค่าเสียหายตามความร้ายแรงแห่งละเมิด
คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญานั้นแม้คดีอาญาโจทก์จะมิใช่คู่ความ แต่เมื่อจำเลยเป็นคู่ความ ศาลก็ต้องฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญาผูกพันจำเลย เมื่อโจทก์เป็นผู้เสียหายในคดีอาญาซึ่งอัยการได้ฟ้องจำเลย โจทก์จำเลยก็ต้องผูกพันตามคำพิพากษาในคดีอาญานั้นด้วย
ในกรณีละเมิดซึ่งโจทก์ผู้หนึ่งมีส่วนผิดอยู่ด้วย แต่โจทก์อีกผู้หนึ่งมิได้มีส่วนทำผิดร่วมด้วยนั้น ในการกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ผู้มิได้มีส่วนผิด แม้จะไม่นำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 442 มาใช้ แต่ศาลก็มีอำนาจพิจารณาพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดของจำเลยและกำหนดค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 438 ได้ คือ เมื่อมีเหตุที่ไม่ควรให้จำเลยต้องรับผิดเต็มตามความเสียหายทั้งหมดแต่ผู้เดียวศาลก็ไม่จำต้องให้จำเลยต้องรับผิดเต็มตามความเสียหายนั้นเสมอไป.
ในกรณีละเมิดซึ่งโจทก์ผู้หนึ่งมีส่วนผิดอยู่ด้วย แต่โจทก์อีกผู้หนึ่งมิได้มีส่วนทำผิดร่วมด้วยนั้น ในการกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ผู้มิได้มีส่วนผิด แม้จะไม่นำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 442 มาใช้ แต่ศาลก็มีอำนาจพิจารณาพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดของจำเลยและกำหนดค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 438 ได้ คือ เมื่อมีเหตุที่ไม่ควรให้จำเลยต้องรับผิดเต็มตามความเสียหายทั้งหมดแต่ผู้เดียวศาลก็ไม่จำต้องให้จำเลยต้องรับผิดเต็มตามความเสียหายนั้นเสมอไป.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1134-1135/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันคำพิพากษาคดีอาญาต่อคดีแพ่ง และการกำหนดค่าเสียหายตามความร้ายแรงแห่งละเมิด
คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญานั้น แม้คดีอาญาโจทก์จะมิใช่คู่ความ แต่เมื่อจำเลยเป็นคู่ความ ศาลก็ต้องฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญาผูกพันจำเลย เมื่อโจทก์เป็นผู้เสียหายในคดีอาญาซึ่งอัยการได้ฟ้องจำเลย โจทก์จำเลยก็ต้องผูกพันตามคำพิพากษาในคดีอาญานั้นด้วย
ในกรณีละเมิดซึ่งโจทก์ผู้หนึ่งมีส่วนผิดอยู่ด้วย แต่โจทก์อีกผู้หนึ่งมิได้มีส่วนทำผิดร่วมด้วยนั้น ในการกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ผู้มิได้มีส่วนผิดแม้จะไม่นำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 442 มาใช้ แต่ศาลก็มีอำนาจพิจารณาพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดของจำเลยและกำหนดค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 438 ได้คือ เมื่อมีเหตุที่ไม่ควรให้จำเลยต้องรับผิดเต็มตามความเสียหายทั้งหมดแต่ผู้เดียว ศาลก็ไม่จำต้องให้จำเลยต้องรับผิดเต็มตามความเสียหายนั้นเสมอไป
ในกรณีละเมิดซึ่งโจทก์ผู้หนึ่งมีส่วนผิดอยู่ด้วย แต่โจทก์อีกผู้หนึ่งมิได้มีส่วนทำผิดร่วมด้วยนั้น ในการกำหนดค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ผู้มิได้มีส่วนผิดแม้จะไม่นำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 442 มาใช้ แต่ศาลก็มีอำนาจพิจารณาพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดของจำเลยและกำหนดค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 438 ได้คือ เมื่อมีเหตุที่ไม่ควรให้จำเลยต้องรับผิดเต็มตามความเสียหายทั้งหมดแต่ผู้เดียว ศาลก็ไม่จำต้องให้จำเลยต้องรับผิดเต็มตามความเสียหายนั้นเสมอไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 454/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันคำพิพากษาคดีอาญาต่อคดีแพ่ง: ศาลต้องยึดข้อเท็จจริงเฉพาะคู่ความเดิมเท่านั้น
ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจะต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา เฉพาะคู่ความในคดีเดิมเท่านั้น
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า การที่รถโจทก์จำเลยเกิดชนกันขึ้นนั้น เป็นเพราะความประมาทปราศจากความระมัดระวังของจำเลยฝ่ายเดียวจะนำเอาประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 442 ประกอบด้วยมาตรา 223 มาใช้เป็นหลักในการกำหนดค่าเสียหายหาได้ไม่
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า การที่รถโจทก์จำเลยเกิดชนกันขึ้นนั้น เป็นเพราะความประมาทปราศจากความระมัดระวังของจำเลยฝ่ายเดียวจะนำเอาประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 442 ประกอบด้วยมาตรา 223 มาใช้เป็นหลักในการกำหนดค่าเสียหายหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 454/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันคำพิพากษาคดีอาญาต่อคดีแพ่ง: หลักการจำกัดเฉพาะคู่ความเดิม
ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจะต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา เฉพาะคู่ความในคดีเดิมเท่านั้น
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าการที่รถโจทก์จำเลยเกิดชนกันขึ้นนั้นเป็นเพราะความประมาทปราศจากความระมัดระวังของจำเลยฝ่ายเดียวจะนำเอาประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา442 ประกอบด้วย มาตรา 223 มาใช้เป็นหลักในการกำหนดค่าเสียหายหาได้ไม่
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าการที่รถโจทก์จำเลยเกิดชนกันขึ้นนั้นเป็นเพราะความประมาทปราศจากความระมัดระวังของจำเลยฝ่ายเดียวจะนำเอาประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา442 ประกอบด้วย มาตรา 223 มาใช้เป็นหลักในการกำหนดค่าเสียหายหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1080/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันเกินสมควรแก่เหตุไม่ทำให้พ้นความรับผิดในค่าสินไหมทดแทน การพิจารณาผู้ก่อเหตุในการคำนวณค่าเสียหาย
ที่จะเป็นนิรโทษกรรมตามมาตรา 449 นั้น ต้องเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายอันได้รับยกเว้นโทษ ดังนั้นจำเลยจะอ้างการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ ซึ่งในทางอาญาจำเลยก็ยังต้องรับโทษ มาปัดความรับผิดไม่ใช้ค่าสินไหมทดแทนหาได้ไม่
ค่าสินไหมทดแทนควรจะให้มากน้อยเพียงใด ต้องพิจารณาว่าฝ่ายไหนเป็นผู้ก่อยิ่งหย่อนกว่ากันเป็นข้อสำคัญ
ค่าสินไหมทดแทนควรจะให้มากน้อยเพียงใด ต้องพิจารณาว่าฝ่ายไหนเป็นผู้ก่อยิ่งหย่อนกว่ากันเป็นข้อสำคัญ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1342/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์: การแบ่งความรับผิดตามส่วนจากพฤติการณ์ของคู่กรณี
เมื่อความเสียหายเกิดขึ้นโดยประมาทเลินเล่อของโจทก์จำเลยด้วยกันทั้งสองฝ่ายแล้ว กฎหมายให้ศาลเป็นผู้กำหนดค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายตามส่วนโดยอาศัยพฤติการณ์เป็นประมาณว่า ความเสียหายนั้นได้เกิดขึ้นเพราะฝ่ายไหนเป็นผู้ก่อยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงไร
ในการคำนวณค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนี้นั้น ให้เอาค่าเสียหายของทั้งฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยมารวมกัน แล้วแย่งส่วนความรับผิดในค่าเสียหายตามส่วนที่ศาลเห็นว่าความเสียหายนั้นเกิดขึ้นเพราะฝ่ายไหนเป็นผู้ก่อยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงไร
ในการคำนวณค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนี้นั้น ให้เอาค่าเสียหายของทั้งฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยมารวมกัน แล้วแย่งส่วนความรับผิดในค่าเสียหายตามส่วนที่ศาลเห็นว่าความเสียหายนั้นเกิดขึ้นเพราะฝ่ายไหนเป็นผู้ก่อยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงไร