พบผลลัพธ์ทั้งหมด 377 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 698/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเล่นแชร์ประมูลดอกเบี้ยไม่เป็นกู้ยืมเงิน สิทธิเรียกร้องจากลูกวงที่ผิดนัดชำระ
การเล่นแชร์เปียหวยนั้น ผู้เล่นจะประมูลให้ดอกเบี้ยเกินอัตราตามกฎหมายก็ได้เพราะไม่เข้าลักษณะเป็นการกู้ยืมเงิน
โจทก์ฟ้องให้จำเลยสองคนร่วมกันชำระหนี้เงินกู้ให้โจทก์จำเลยให้การต่อสู้ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องซึ่งหมายความว่ายังไม่ต้องชำระหนี้ให้โจทก์หากคดีได้ความว่าจำเลยที่ 2 เป็นเพียงผู้ค้ำประกันเงินกู้ของจำเลยที่ 1 แล้วศาลย่อมมีอำนาจที่จะวินิจฉัยว่าจำเลย ที่ 2 ควรเป็นผู้รับผิดต่อโจทก์เพียงในฐานะผู้ค้ำประกันได้
โจทก์ฟ้องให้จำเลยสองคนร่วมกันชำระหนี้เงินกู้ให้โจทก์จำเลยให้การต่อสู้ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องซึ่งหมายความว่ายังไม่ต้องชำระหนี้ให้โจทก์หากคดีได้ความว่าจำเลยที่ 2 เป็นเพียงผู้ค้ำประกันเงินกู้ของจำเลยที่ 1 แล้วศาลย่อมมีอำนาจที่จะวินิจฉัยว่าจำเลย ที่ 2 ควรเป็นผู้รับผิดต่อโจทก์เพียงในฐานะผู้ค้ำประกันได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 683/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงหลักการกักกันผู้กระทำผิดติดนิสัย: ประมวลกฎหมายอาญา vs. พ.ร.บ.กักกันผู้ร้าย และการพิจารณาโทษซ้ำ
ตามพระราชบัญญัติกักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย พ.ศ.2479มาตรา 8 มีถ้อยคำว่า 'ถ้าผู้ใดเคยได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษาให้จำคุกมาแล้วไม่น้อยกว่าสองครั้ง' แต่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 41 ใช้ถ้อยคำเพียงว่า 'ถูกศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุก ฯลฯ มาแล้วไม่น้อยกว่าสองครั้ง' ไม่มีถ้อยคำว่า ต้อง 'เคยได้รับโทษจำคุกมาแล้ว' ด้วย จึงเป็นการแสดงว่าประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 41ได้เปลี่ยนแปลงหลักการในเรื่องที่จะลงโทษกักกันจากพระราชบัญญัติกักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้ายเดิมเสียแล้ว
จำเลยกระทำความผิดและถูกศาลพิพากษาลงโทษไม่ต่ำกว่าหกเดือนมาแล้ว 2 ครั้งคดีที่จำเลยกระทำความผิดทีหลังศาลพิพากษาลงโทษก่อนส่วนคดีที่จำเลยกระทำความผิดก่อนศาลพิพากษาลงโทษทีหลังทั้งในคดีที่ศาลพิพากษาลงโทษทีหลัง ศาลพิพากษาให้นับโทษต่อคดีที่พิพากษาก่อนด้วยแล้วจำเลยมากระทำความผิดในคดีนี้อีก และถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุกไม่ต่ำกว่าหกเดือน ดังนี้ ศาลอาจถือว่า จำเลยเป็นผู้กระทำความผิดติดนิสัยได้
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 2/2506)
จำเลยกระทำความผิดและถูกศาลพิพากษาลงโทษไม่ต่ำกว่าหกเดือนมาแล้ว 2 ครั้งคดีที่จำเลยกระทำความผิดทีหลังศาลพิพากษาลงโทษก่อนส่วนคดีที่จำเลยกระทำความผิดก่อนศาลพิพากษาลงโทษทีหลังทั้งในคดีที่ศาลพิพากษาลงโทษทีหลัง ศาลพิพากษาให้นับโทษต่อคดีที่พิพากษาก่อนด้วยแล้วจำเลยมากระทำความผิดในคดีนี้อีก และถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุกไม่ต่ำกว่าหกเดือน ดังนี้ ศาลอาจถือว่า จำเลยเป็นผู้กระทำความผิดติดนิสัยได้
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 2/2506)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 683/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงหลักการกักกันผู้กระทำผิดติดนิสัยจาก พ.ร.บ.กักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย สู่ประมวลกฎหมายอาญา
ตามพระราชบัญญัติกักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้าย พ.ศ. 2479 มาตรา 8 มีถ้อยคำว่า "ถ้าผู้ใดเคยได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษาให้จำคุกมาแล้วไม่น้อยกว่าสองครั้ง" แต่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 41 ใช้ถ้อยคำเพียงว่า "ถูกศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุก ฯลฯ มาแล้วไม่น้อยกว่าสองครั้ง" ไม่มีถ้อยคำว่า ต้อง "เคยได้รับโทษจำคุกมาแล้ว" ด้วย จึงเป็นการแสดงว่าประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 41 ได้เปลี่ยนแปลงหลักการในเรื่องที่จะลงโทษกักกันจากพระราชบัญญัติกักกันผู้มีสันดานเป็นผู้ร้ายเดิมเสียแล้ว
จำเลยกระทำความผิดและถูกศาลพิพากษาลงโทษไม่ต่ำกว่าหกเดือนมาแล้ว 2 ครั้ง คดีที่จำเลยกระทำความผิดทีหลัง ศาลพิพากษาลงโทษก่อน ส่วนคดีที่จำเลยกระทำความผิดก่อน ศาลพิพากษาลงโทษทีหลัง ทั้งในคดีที่ศาลพิพากษาลงโทษทีหลัง ศาลพิพากษาให้นับโทษต่อคดีที่พิพากษาก่อนด้วยแล้วจำเลยมากระทำความผิดในคดีนี้อีก และถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุกไม่ต่ำกว่าหกเดือน ดังนี้ ศาลอาจถือว่า จำเลยเป็นผู้กระทำความผิดติดนิสัยได้
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 3/2506)
จำเลยกระทำความผิดและถูกศาลพิพากษาลงโทษไม่ต่ำกว่าหกเดือนมาแล้ว 2 ครั้ง คดีที่จำเลยกระทำความผิดทีหลัง ศาลพิพากษาลงโทษก่อน ส่วนคดีที่จำเลยกระทำความผิดก่อน ศาลพิพากษาลงโทษทีหลัง ทั้งในคดีที่ศาลพิพากษาลงโทษทีหลัง ศาลพิพากษาให้นับโทษต่อคดีที่พิพากษาก่อนด้วยแล้วจำเลยมากระทำความผิดในคดีนี้อีก และถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุกไม่ต่ำกว่าหกเดือน ดังนี้ ศาลอาจถือว่า จำเลยเป็นผู้กระทำความผิดติดนิสัยได้
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 3/2506)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 672-675/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ที่ดินมีตราจอง: การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์โดยชอบด้วยกฎหมาย, การครอบครองปรปักษ์ และผลของตราจอง
ที่ดินมีตราจองออกโดยชอบเมื่อ พ.ศ.2465 และเมื่อพ.ศ.2468 ได้บันทึกไว้ว่าได้ทำประโยชน์แล้วต่อมาได้ถูกโอนกันมาหลายทอดจนกระทั่ง พ.ศ.2495 จึงตกมาเป็นของโจทก์โดยโจทก์รับซื้อฝากไว้โดยสุจริตจากจ. เจ้าของเดิม และการซื้อขายฝากนี้กระทำกันโดยจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่สำนักงานทะเบียนที่ดินจำเลยทั้งสามเป็นฝ่ายครอบครองที่ดินรายเดียวกันนี้โดยจำเลยซื้อจากผู้อื่นเมื่อ พ.ศ.2484,2485 และ 2496 แต่สัญญาของจำเลยกระทำกันที่อำเภอจึงไม่ใช่เป็นการได้สิทธิโดยชอบทางทะเบียน เพราะที่ดินรายนี้มีตราจองแล้วการจดทะเบียนที่ถูกต้องชอบด้วยกฎหมายเป็นอำนาจหน้าที่ของสำนักงานทะเบียนที่ดินจำเลยจึงยกสิทธิในการที่ได้ซื้อที่ดินนี้ขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ไม่ได้
การที่มีหมายเหตุแจ้งไว้ในตราจองว่า เมื่อไม่ทำประโยชน์ ทอดทิ้งไว้เกิน 3 ปี ต้องเป็นที่ว่างเปล่านั้นเป็นเพียงระยะเวลาให้ทำประโยชน์เสียภายในกำหนด 3 ปีตราจองที่บันทึกว่าทำประโยชน์แล้วกฎหมายให้ถือว่าเจ้าของมีกรรมสิทธิ์ ซึ่งหมายความว่ามีผลเท่ากับโฉนด ดังนั้นโจทก์จะเสียกรรมสิทธิก็ต่อเมื่อจำเลยได้กรรมสิทธิ์ไปโดยการครอบครองปรปักษ์อันมีอายุความ 10 ปี ไม่ใช่กำหนดเวลา 3 ปีดังกล่าวนั้น โจทก์รับซื้อฝากไว้ได้เพียงประมาณ7 ปี แม้จำเลยจะครอบครองมาก่อนเกิน 10 ปีก็ไม่อาจใช้ยันโจทก์ได้
การที่มีหมายเหตุแจ้งไว้ในตราจองว่า เมื่อไม่ทำประโยชน์ ทอดทิ้งไว้เกิน 3 ปี ต้องเป็นที่ว่างเปล่านั้นเป็นเพียงระยะเวลาให้ทำประโยชน์เสียภายในกำหนด 3 ปีตราจองที่บันทึกว่าทำประโยชน์แล้วกฎหมายให้ถือว่าเจ้าของมีกรรมสิทธิ์ ซึ่งหมายความว่ามีผลเท่ากับโฉนด ดังนั้นโจทก์จะเสียกรรมสิทธิก็ต่อเมื่อจำเลยได้กรรมสิทธิ์ไปโดยการครอบครองปรปักษ์อันมีอายุความ 10 ปี ไม่ใช่กำหนดเวลา 3 ปีดังกล่าวนั้น โจทก์รับซื้อฝากไว้ได้เพียงประมาณ7 ปี แม้จำเลยจะครอบครองมาก่อนเกิน 10 ปีก็ไม่อาจใช้ยันโจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 658/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำแนก 'สิ่งปลูกสร้าง' ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้: เจตนาสร้างเพื่อหลอกลวงถือเป็นไม้แปรรูป
เรือนที่สร้างขึ้นในลักษณะที่มิได้มีสภาพเป็นที่อยู่อาศัยอย่างธรรมดา และมีเหตุแสดงว่าเป็นเรือนที่บุคคลธรรมดาไม่ทำขึ้นสำหรับใช้เป็นที่อยู่อาศัยถาวร หากแต่ทำขึ้นโดยมีเจตนาลวงให้เห็นว่าเป็นเรือนสำหรับอยู่อาศัย ย่อมไม่นับว่าเป็นสิ่งปลูกสร้างตามความหมายในพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503 มาตรา 4
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 652/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการบังคับตามยอม: การตรวจสอบบัญชีและการกล่าวอ้างเรื่องการบริหารงานที่ไม่ชอบธรรมเป็นประเด็นใหม่นอกเหนือจากสัญญายอม
โจทก์จำเลยทำยอมในศาลโดยจำเลยให้สิทธิโจทก์ที่จะตรวจตราดูการที่จำเลยดำเนินงานประจำปีฉลองรูปปั้นเซียนและจำเลยจะทำบัญชีรับจ่ายสำหรับงานดังกล่าว พร้อมหลักฐานกับเงินสุทธิมายื่นต่อศาลเพื่อให้โจทก์ตรวจดูได้ ซึ่งศาลพิพากษาตามยอม และจำเลยก็ได้ปฏิบัติตามข้อความในสัญญายอมแล้วนั้น ต่อมาโจทก์จะอ้างว่าได้ตรวจตราแล้วจำเลยบริหารงานไม่ชอบ และบัญชีก็ผิดพลาด ขอให้ศาลไต่สวนนั้น ศาลย่อมไม่ไต่สวนให้ เพราะเป็นประเด็นใหม่ มิได้ระบุหรือขยายความไว้ในสัญญายอม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 652/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการบังคับตามยอม ความเป็นประเด็นใหม่นอกสัญญา และการสิ้นสิทธิเรียกร้อง
โจทก์จำเลยทำยอมในศาลโดยจำเลยให้สิทธิโจทก์ที่จะตรวจตราดูการที่จำเลยดำเนินงานประจำปีฉลองรูปปั้นเขียนและจำเลยจะทำบัญชีรับจ่ายสำหรับงานดังกล่าว พร้อมหลักฐานกับเงินสุทธิมายื่นต่อศาลเพื่อให้โจทก์ตรวจดูได้ ซึ่งศาลพิพากษาตามยอม และจำเลยก็ได้ปฏิบัติตามข้อความในสัญญายอมแล้วนั้น ต่อมาโจทก์จะอ้างว่าได้ตรวจตราแล้วจำเลยบริหารงานไม่ชอบ และบัญชีก็ผิดพลาด ขอให้ศาลไต่สวนนั้น ศาลย่อมไม่ไต่สวนให้ เพราะเป็นประเด็นใหม่ มิได้ระบุหรือขยายความไว้ในสัญญายอม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 637/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการวินิจฉัยกระบวนพิจารณาที่ผิดพลาด และผลผูกพันของคำพิพากษาตามยอม แม้ทนายไม่มีอำนาจ
การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นเป็นการผิดถูกชอบหรือไม่นั้น เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลอุทธรณ์มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เองโดยคู่ความมิต้องอุทธรณ์
แม้ทนายจำเลยจะทำยอมความในศาลโดยบกพร่องในอำนาจก็ตามหากศาลพิพากษาตามยอมแล้ว คำพิพากษานั้นก็มีผลผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145
จำเลยร้องว่าทนายจำเลยทำยอมในศาลโดยไม่มีอำนาจขอให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องจำเลยก็มิได้ใช้สิทธิอุทธรณ์แต่อย่างไร ดังนี้ศาลชั้นต้นนั้นเองจะกลับมีคำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่อีกหาได้ไม่เพราะไม่ใช่เป็นการเปลี่ยนแปลงข้อผิดพลาดเล็กน้อยตามที่ยกเว้นไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144
แม้ทนายจำเลยจะทำยอมความในศาลโดยบกพร่องในอำนาจก็ตามหากศาลพิพากษาตามยอมแล้ว คำพิพากษานั้นก็มีผลผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145
จำเลยร้องว่าทนายจำเลยทำยอมในศาลโดยไม่มีอำนาจขอให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องจำเลยก็มิได้ใช้สิทธิอุทธรณ์แต่อย่างไร ดังนี้ศาลชั้นต้นนั้นเองจะกลับมีคำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่อีกหาได้ไม่เพราะไม่ใช่เป็นการเปลี่ยนแปลงข้อผิดพลาดเล็กน้อยตามที่ยกเว้นไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 637/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันคำพิพากษาตามยอม แม้ทนายไม่มีอำนาจ และการดำเนินการพิจารณาใหม่ที่ไม่ชอบ
การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นเป็นการผิดถูกชอบหรือไม่นั้น เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เองโดยคู่ความมิต้องอุทธรณ์
แม้ทนายจำเลยจะทำยอมความในศาลโดยบกพร่องในอำนาจก็ตาม หากศาลพิพากษาตามยอมแล้ว คำพิพากษานั้นก็มีผลผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145
จำเลยร้องว่าทนายจำเลยทำยอมในศาลโดยไม่มีอำนาจ ขอให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง จำเลยก็มิได้ใช้สิทธิอุทธรณ์แต่อย่างไร ดังนี้ ศาลชั้นต้นเองจะกลับมีคำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่อีกหาได้ไม่ เพราะไม่ใช่เป็นการเปลี่ยนแปลงข้อผิดพลาดเล็กน้อยตามที่ยกเว้นไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144
แม้ทนายจำเลยจะทำยอมความในศาลโดยบกพร่องในอำนาจก็ตาม หากศาลพิพากษาตามยอมแล้ว คำพิพากษานั้นก็มีผลผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145
จำเลยร้องว่าทนายจำเลยทำยอมในศาลโดยไม่มีอำนาจ ขอให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง จำเลยก็มิได้ใช้สิทธิอุทธรณ์แต่อย่างไร ดังนี้ ศาลชั้นต้นเองจะกลับมีคำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่อีกหาได้ไม่ เพราะไม่ใช่เป็นการเปลี่ยนแปลงข้อผิดพลาดเล็กน้อยตามที่ยกเว้นไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 598/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนที่ดินโดยใบมอบอำนาจของผู้เยาว์ และสิทธิในที่ดินเมื่อยังมิได้โอนกรรมสิทธิ์
ยายยกที่ดินให้หลาน โดยทำใบมอบอำนาจให้หลานไปทำนิติกรรมแทนแม้หลานนั้นจะยังไม่บรรลุนิติภาวะก็เป็นผู้รับมอบอำนาจได้