คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
เสนอ บุณยเกียรติ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 664 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1161/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าโดยไม่มีไตร่ตรอง: พิจารณาจากพฤติการณ์ขณะเกิดเหตุและการขาดแผนการสังหาร
พฤติการณ์ที่ยังไม่พอฟังว่าจำเลยฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1116/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความประมาทเลินเล่อของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ในการควบคุมนักโทษ ทำให้เกิดเหตุหลบหนีและเกิดความเสียหายต่อผู้อื่น
จำเลยที่ 1 เป็นเวรควบคุมนักโทษในแดน 1 ตั้งแต่ 12.00-18.00 นาฬิกา ก่อนจะออกเวรพ้นหน้าที่จะต้องมอบหน้าที่ให้จำเลยที่ 2 เข้าเป็นยามภายในแดน1 มอบหน้าที่ยามภายนอกและลูกกุญแจตึกขังให้นายสุดใจผู้จะมารับหน้าที่ต่อ แต่เมื่อใกล้ 18.00 นาฬิกา จำเลยที่ 2 มารับหน้าที่คนเดียว จำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 เข้าเป็นยามภายในห้องขังใส่กุญแจตึกขังแล้ว ฝากลูกกุญแจตึกขังไว้กับจำเลยที่ 2 แล้วละทิ้งหน้าที่ไป เป็นช่องทางให้นักโทษใช้อุบายออกจากห้องขังแล้วจับหรือบังคับจำเลยที่ 2 ให้มอบลูกกุญแจไขตึกขังหลบหนีการควบคุมไปได้ ดังนี้ เป็นเพราะความประมาทปราศจากความระมัดระวังอย่างร้ายแรงของจำเลยที่ 1 ผิดตามมาตรา 205
จำเลยที่ 2 รู้ดีว่า นายสุดใจจะต้องมารับยามภายนอกและรักษาลูกกุญแจตึกขังตามวิสัยและพฤติการณ์ไม่สมควรรับฝากลูกกุญแจตึกขังไว้ เพราะนักโทษอาจออกจากห้องขังมาบังคับเอาลูกกุญแจตึกขังหนีไปได้ และน่าจะรู้ดีว่า ทางเรือนจำวางระเบียบให้มียามภายนอกในเวลากลางคืน ก็เนื่องจากจะให้มีเจ้าหน้าที่ช่วยกันดูแลเป็นชั้นๆ เมื่อมีเหตุร้ายจะได้ช่วยกันระงับได้ทันท่วงที การยอมรับฝากลูกกุญแจจึงเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ละทิ้งหน้าที่ เป็นเหตุให้นักโทษหลบหนีที่คุมขังออกไป ฉะนั้น การที่จำเลยที่ 2 ยอมรับฝากลูกกุญแจตึกขังไว้จากจำเลยที่ 1 นับว่าเป็นความประมาทอย่างร้ายแรง นักโทษได้ลูกกุญแจจากจำเลยที่ 2 ไขประตูตึกขังหลบหนีไปได้ จึงเป็นเพราะความประมาทปราศจากความระมัดระวังอย่างร้ายแรงของจำเลยที่ 2 ด้วย
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 205 วรรคท้าย เป็นเรื่องให้งดการลงโทษผู้กระทำผิด ในเมื่อผู้กระทำผิดสามารถจัดให้ได้ตัวผู้ที่หลุดพ้นจากการคุมขังคืนมาภายใน 3 เดือน จะจัดโดยวิธีใดก็ได้ มิใช่จะต้องให้โอกาสผู้กระทำผิดไปติดตามผู้ที่หลุดพ้นจากการคุมขังเสียก่อนแล้วจึงจะสอบสวนฟ้องร้องลงโทษจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1107/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การที่เจ้าหน้าที่แจ้งให้กลับออกนอกประเทศ ไม่ถือเป็นการโต้แย้งสิทธิในสัญชาติ โจทก์ต้องพิสูจน์สัญชาติก่อนฟ้อง
เจ้าหน้าที่กรมตรวจคนเข้าเมืองมีหนังสือท้าวความถึงการที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้อยู่ในประเทศ และบอกให้ทราบว่าโจทก์จะต้องเดินทางกลับออกไปภายในกำหนดที่ได้รับอนุญาต เป็นการเตือนให้โจทก์ซึ่งถือหนังสือเดินทางคนต่างด้าวรู้ไว้เท่านั้น ไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์
การที่เจ้าหน้าที่กรมตรวจคนเข้าเมืองบอกว่าถ้าจะอยู่เกินกว่ากำหนด ก็ต้องฟ้องคดีต่อศาลแล้วนำหลักฐานว่าได้ฟ้องคดีแล้วนั้นมาแสดงจึงจะอยู่ได้ต่อไปจนกว่าศาลจะตัดสินนั้น เป็นแต่เพียงคำแนะนำไม่ใช่เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ว่าไม่ใช่บุคคลสัญชาติไทย และก็ไม่เป็นการกระทำอันจะพึงถือว่าเจ้าหน้าที่ได้โต้แย้งสิทธิโจทก์อย่างแท้จริงอันควรฟ้องร้องได้
เมื่อโจทก์ไม่ได้ใช้สิทธิพิสูจน์สัญชาติต่อเจ้าหน้าที่แล้ว สิทธิเรื่องสัญชาติของโจทก์ก็ยังไม่ได้ถูกโต้แย้งโดยเจ้าหน้าที่ โจทก์จะฟ้องเจ้าหน้าที่ต่อศาลไม่ได้ (อ้างฎีกาที่ 1023/2505)
อำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีฝ่ายใดยกขึ้นกล่าวอ้าง ศาลก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1107/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์สัญชาติและการฟ้องร้องเจ้าหน้าที่: การแจ้งให้กลับออกนอกประเทศไม่ใช่การโต้แย้งสิทธิ และศาลมีอำนาจวินิจฉัยเรื่องอำนาจฟ้องได้
เจ้าหน้าที่กรมตรวจคนเข้าเมืองมีหนังสือท้าวความถึงการที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้อยู่ในประเทศ และบอกให้ทราบว่าโจทก์จะต้องเดินทางกลับออกไปภายในกำหนดที่ได้รับอนุญาต เป็นการเตือนให้โจทก์ซึ่งถือหนังสือเดินทางคนต่างด้าวรู้ไว้เท่านั้น ไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์
การที่เจ้าหน้าที่กรมตรวจคนเข้าเมืองบอกว่าถ้าจะอยู่เกินกว่ากำหนด ก็ต้องฟ้องคดีต่อศาลแล้วนำหลักฐานว่าได้ฟ้องคดีแล้วนั้นมาแสดงจึงจะอยู่ได้ต่อไปจนกว่าศาลจะตัดสินนั้นเป็นแต่เพียงคำแนะนำ ไม่ใช่เป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ว่าไม่ใช่บุคคลสัญชาติไทย และก็ไม่เป็นการกระทำอันจะพึงถือว่าเจ้าหน้าที่ได้โต้แย้งสิทธิโจทก์อย่างแท้จริงอันควรฟ้องร้องได้
เมื่อโจทก์ไม่ได้ใช้สิทธิพิสูจน์สัญชาติต่อเจ้าหน้าที่แล้ว สิทธิเรื่องสัญชาติของโจทก์ก็ยังไม่ได้ถูกโต้แย้งโดยเจ้าหน้าที่ โจทก์จะฟ้องเจ้าหน้าที่ต่อศาลไม่ได้(อ้างฎีกาที่ 1023/2505)
อำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีฝ่ายใดยกขึ้นกล่าวอ้างศาลก็หยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1103/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์: การมอบหมายหน้าที่เก็บภาษีและหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย
จำเลยเป็นพนักงานเก็บเงินรายได้ต่างๆ ของเทศบาลรวมทั้งภาษีโรงเรือนและที่ดิน จำเลยได้เก็บหรือรับเงินจากผู้นำมาชำระ จึงเป็นการกระทำในหน้าที่พนักงานเก็บเงิน เมื่อยักยอกเงินซึ่งได้รับมอบหมายไว้ตามหน้าที่ ย่อมมีความผิดตามมาตรา 147
นายกเทศมนตรีได้แต่งตั้งปลัดเทศบาลเป็น "พนักงานเจ้าหน้าที่สมุหบัญชีเป็น "พนักงานเก็บภาษี" มีอำนาจหน้าที่จัดเก็บเร่งรัด ค่าภาษีตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 แต่ปลัดเทศบาลและสมุหบัญชีมิได้ทำหน้าที่ด้วยตนเองจำเลยได้รับมอบหมายไปปฏิบัติผู้เดียว ฉะนั้น การที่จำเลยเก็บเงินภาษี จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเก็บเงินซึ่งมีสมุหบัญชีเป็นหัวหน้า ถือได้ว่าเป็นหน้าที่ที่จำเลยได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติการตามหน้าที่ เมื่อเบียดบังยักยอกจะอ้างว่าไม่ได้ทำในหน้าที่ หรือไม่ใช่เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ย่อมฟังไม่ขึ้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1103/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานยักยอกทรัพย์ของเจ้าพนักงานเก็บเงิน แม้ได้รับมอบหมายหน้าที่จากผู้บังคับบัญชา
จำเลยเป็นพนักงานเก็บเงินรายได้ต่าง ๆ ของเทศบาลรวมทั้งภาษีโรงเรือนและที่ดิน จำเลยได้เก็บหรือรับเงินจากผู้นำมาชำระ จึงเป็นการกระทำในหน้าที่พนักงานเก็บเงิน เมื่อยักยอกเงินซึ่งได้รับมอบหมายไว้ตามหน้าที่ ย่อมมีความผิดตามมตรา 147
นายกเทศมนตรีได้แต่งตั้งปลัดเทศบาลเป็น "พนักงานเจ้าหน้าที่" สมุหบัญชีเป็น "พนักงานเก็บภาษี" มีอำนาจหน้าที่จัดเก็บ เร่งรัด ค่าภาษีตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 แต่ปลัดเทศบาลและสมุหบัญชีมิได้ทำหน้าที่ด้วยตนเอง จำเลยได้รับมอบหมายไปปฏิบัติผู้เดียว ฉะนั้น การที่จำเลยเก็บเงินภาษี จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเก็บเงินซึ่งมีสมุหบัญชีเป็นหัวหน้า ถือได้ว่าเป็นหน้าที่ที่จำเลยได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติการตามหน้าที่ เมื่อเบียดบังยักยอก จะอ้างว่าไม่ได้ทำในหน้าที่ หรือไม่ใช่เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ย่อมฟังไม่ขึ้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1102/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องรวมแพ่ง-อาญา กรณีบุกรุก และผลผูกพันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งทางแพ่งและทางอาญารวมกันมา หาว่าจำเลยบุกรุกที่พิพาทของโจทก์ และนำข้อความเท็จแจ้งพนักงานสอบสวนว่าโจทก์บุกรุกที่นา (แปลงเดียวกัน)ของจำเลย ขอให้ลงโทษและใช้ค่าเสียหายคดีส่วนอาญา ศาลชั้นต้นสั่งคดีมีมูลเฉพาะข้อหาแจ้งข้อความเท็จ ส่วนเรื่องบุกรุกโต้เถียงกรรมสิทธิ์ว่าเป็นกรณีทางแพ่งก็รับไว้พิจารณาจำเลยให้การปฏิเสธและฟ้องแย้งว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย โจทก์บุกรุก ขอให้ใช้ค่าเสียหายศาลชั้นต้นสั่งไม่รับบัญชีระบุพยานเกี่ยวกับฟ้องแย้งของจำเลยในทางแพ่ง ดังนี้ในส่วนแพ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ศาลก็ต้องถือตามข้อเท็จจริงในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย โจทก์บุกรุก ซึ่งเป็นละเมิด โจทก์ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1102/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อเท็จจริงในคดีอาญาผูกพันคดีแพ่ง: การบุกรุกที่ดินและการชดใช้ค่าเสียหาย
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งทางแพ่งและทางอาญารวมกันมา หาว่าจำเลยบุกรุกที่พิพาทของโจทก์และนำข้อความเท็จแจ้งพนักงานสอบสวนว่าโจทก์บุกรุกที่นา (แปลงเดียวกัน) ของจำเลย ขอให้ลงโทษและใช้ค่าเสียหาย คดีส่วนอาญา ศาลชั้นต้นสั่งคดีมีมูลเฉพาะข้อหาแจ้งข้อความเท็จ ส่วนเรื่องบุกรุกโต้เถียงกรรมสิทธิ์ว่าเป็นกรณีทางแพ่งก็รับไว้พิจารณาจำเลยให้การปฏิเสธและฟ้องแย้งว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย โจทก์บุกรุก ขอให้ใช้ค่าเสียหาย ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับบัญชีระบุพยานเกี่ยวกับฟ้องแย้งของจำเลยในทางแพ่ง ดังนี้ ในส่วนแพ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 46 ศาลก็ต้องถือตามข้อเท็จจริงในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย โจทก์บุกรุก ซึ่งเป็นละเมิด โจทก์ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1083/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวเหนือกว่าเหตุ: ลดโทษฐานบันดาลโทสะจากถูกยั่วยุอย่างร้ายแรง
ผู้ตายเป็นลูกเขย ได้เอาปืนของจำเลยซึ่งเป็นพ่อตามายิงเล่น จำเลยต่อว่า ผู้ตายโต้เถียง แล้วยิงปืนมาจากในเรือน 2 นัด นัดหลังไปโดนเสาไม้ซึ่งจำเลยนั่งแอบอยู่ สะเก็ดไม้กระเด็นไปถูกคิ้วจำเลยแตก จำเลยเข้าไปหยิบปืนในครัวมายิงผู้ตายขณะผู้ตายหันหลังลงบันไดเรือน นับได้ว่าจำเลยถูกผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เป็นเหตุให้จำเลยบันดาลโทสะ การกระทำของจำเลยต่อเนื่องมาจากการที่จำเลยถูกยั่วโทสะ จำเลยควรได้รับโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดของจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 72

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1083/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยิงผู้ตายด้วยความบันดาลโทสะจากพฤติกรรมยั่วยุของบุตรเขย ศาลลดโทษตามมาตรา 72
ผู้ตายเป็นลูกเขย ได้เอาปืนของจำเลยซึ่งเป็นพ่อตามายิงเล่น จำเลยต่อว่าผู้ตายโต้เถียง แล้วยิงปืนมาจากในเรือน 2 นัด นัดหลังไปโดนเสาไม้ซึ่งจำเลยนั่งแอบอยู่สะเก็ดไม้กระเด็นไปถูกคิ้วจำเลยแตก จำเลยเข้าไปหยิบปืนในครัวมายิงผู้ตายขณะผู้ตายหันหลังลงบันไดเรือน นับได้ว่าจำเลยถูกผู้ตายข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมเป็นเหตุให้จำเลยบันดาลโทสะ การกระทำของจำเลยต่อเนื่องมาจากการที่จำเลยถูกยั่วโทสะจำเลยควรได้รับโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดของจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72
of 67