คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
เสนอ บุณยเกียรติ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 664 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1123/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข่มขืนใจเรียกทรัพย์ - การกระทำเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 337 ประมวลกฎหมายอาญา
ศาลเชื่อว่า จำเลยได้ถูกบันทึกเสียงไว้ถึง 6 ครั้ง ยากที่จะมีใครมาเลียนเสียงที่จำเลยพูดได้เป็นชั่วโมง ๆ ไม่ใช่ว่าศาลชั้นต้นจะรับฟังลำพังแต่เทปอัดเสียงของจำเลยมาลงโทษจำเลยก็หาไม่ ศาลเชื่อว่าโจทก์ร่วมได้อัดเสียงจำเลยไว้จริง จึงไม่ขัดประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 226
โจทก์ไม่ทราบว่ามีเอกสาร ล.1ที่จำเลยอ้างเมื่อจำเลยนำมาแสดงชั้นพิจารณา โจทก์เห็นว่าน่าจะเป็นเอกสารปลอม โจทก์ย่อมมีสิทธิขออนุญาตศาลส่งไปให้ตรวจพิสูจน์ได้ตามมาตรา 125 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ประกอบด้วยมาตรา 15 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
จำเลยอ้างสำนวนความของศาลจังหวัดปัตตานีเพื่อแสดงว่าจำเลยมีฐานที่อยู่ เพราะจำเลยปฏิบัติงานอยู่ ดังนั้น การที่ศาลจับพิรุธที่ปรากฏได้ในบางสำนวนแล้วไม่เชื่อว่าเป็นความจริงว่าจำเลยได้อยู่ปฏิบัติงานในวันนั้น ๆ ก็เป็นอำนาจของศาลที่จะชั่งน้ำหนักคำพยาน หาใช่ทำการพิสูจน์โต้แย้งแทนโจทก์ไม่
จำเลยนำเอกสารมาซักค้านพยานโจทก์ก่อนเวลาที่จำเลยอ้างและนำสืบ เพื่อสะดวกแก่การจด ศาลให้จำเลยส่งเอกสารนั้นทั้งหมดโดยศาลจดรายงานไม่ให้โจทก์คัดจนกว่าจำเลยจะอ้าง ก็เห็นได้ชัดว่าไม่เสียความยุติธรรมแต่อย่างใด
การที่โจทก์ร่วมจ่ายเงินให้จำเลยรับไปแล้วห้าแสนบาท จำเลยตั้งข้อเรียกร้องเอาเงินค่าวิ่งเต้นให้โจทก์ร่วมจ่ายเพิ่มอีก โดยพูดขู่ด้วยวาจาและลายลักษณ์อักษรว่า ถ้าไม่ตกลงจ่ายเงินตามที่จำเลยเรียกร้อง ก็ให้เตรียมตัวเข้าคุก ดังนี้ เป็นการข่มขืนใจให้โจทก์ร่วมยอมจะจ่ายเงินเพิ่มให้อีกจนโจทก์ร่วมผู้ถูกข่มขืนใจยอมจะให้เพิ่มขึ้นตามคำขู่ของจำเลยเพราะเกรงว่าถ้าไม่ยอมทำตามจะต้องได้รับโทษจำคุก ซึ่งเป็นอันตรายต่อเสรีภาพ ชื่อเสียง ของโจทก์ร่วม เป็นความผิดตามมาตรา 337.
(ปัญหาสุดท้ายพิจารณาโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 19/2509)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1104/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำละเมิด แม้ไม่มีเจตนาฆ่า แต่จงใจทำร้ายก็ถือเป็นละเมิดได้
จำเลยถูกศาลพิพากษาลงโทษฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 ถือว่าจำเลยได้ทำละเมิดต่อผู้ตายแล้ว เพราะการที่จำเลยใช้มีดแทงผู้ตายก็เป็นการกระทำโดยจงใจทำร้ายผู้ตายโดยผิดกฎหมายอยู่ในตัวแล้ว แม้จะไม่มีเจตนาฆ่าก็ได้ชื่อว่ากระทำละเมิด แต่การละเมิดนั้นถึงกับมีเจตนาจะฆ่าหรือทำให้ตายโดยไม่มีเจตนานั้นเป็นเรื่องของเจตนาในการทำผิดทางอาญา เจตนากระทำกับจงใจกระทำจะตีความอนุโลมอย่างเดียวกันมิได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1104/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำละเมิดจากการทำร้ายร่างกาย แม้ไม่มีเจตนาฆ่า ก็ถือเป็นการกระทำโดยจงใจ
จำเลยถูกศาลพิพากษาลงโทษฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 290 ถือว่าจำเลยได้ทำละเมิดต่อผู้ตายแล้ว เพราะการที่จำเลยใช้มีดแทงผู้ตายก็เป็นการกระทำโดยจงใจทำร้ายผู้ตายโดยผิดกฎหมายอยู่ในตัวแล้ว แม้จะไม่มีเจตนาฆ่าก็ได้ชื่อว่ากระทำละเมิด แต่การละเมิดนั้นถึงกับมีเจตนาจะฆ่าหรือทำให้ตายโดยไม่มีเจตนานั้นเป็นเรื่องของเจตนาในการทำผิดทางอาญา เจตนากระทำกับจงใจกระทำ จะตีความอนุโลมอย่างเดียวกันมิได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1097/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคุ้มครองผู้เช่าเคหะควบคุมตาม พ.ร.บ.ควบคุมการเช่าเคหะฯ แม้มีการบอกเลิกสัญญา
ตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ.2504 ย่อมคุ้มครองอารักขาผู้เช่าเคหะควบคุม เพราะค่าเช่าเดือนละไม่เกินหนึ่งพันบาทสำหรับเคหะที่ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดพระนครตามความในมาตรา 4 แม้โจทก์จะบอกเลิกสัญญาเช่ากับจำเลยแล้ว การบอกเลิกนั้นก็ไม่บังเกิดผลตามมาตรา 17

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1097/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคุ้มครองผู้เช่าเคหะควบคุมตาม พ.ร.บ.ควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน แม้ไม่มีสัญญาเช่า
ตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. 2504 ย่อมคุ้มครองอารักขาผู้เช่าเคหะควบคุม เพราะค่าเช่าเดือนละไม่เกินหนึ่งพันบาทสำหรับเคหะที่ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดพระนครตามความในมาตรา 4 แม้โจทก์จะบอกเลิกสัญญาเช่ากับจำเลยแล้ว การบอกเลิกนั้นก็ไม่บังเกิดผลตามมาตรา 17

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1096/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้ที่ไม่มีกำหนดเวลา เมื่อทวงถามแล้วจำเลยต้องชำระเต็มจำนวน การเสนอผ่อนชำระไม่ผูกพันโจทก์หากไม่ตกลง
ตามหนังสือที่จำเลยทำให้โจทก์ไว้ไม่มีการกำหนดเวลาชำระหนี้ ดังนี้ เมื่อโจทก์บอกกล่าวทวงถามแล้ว จำเลยก็มีนั้นหน้าที่ต้องชำระหนี้ จำเลยจะขอผ่อนชำระหนี้โดยโจทก์ไม่ได้ตกลงตามข้อเสนอนั้นไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1096/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระหนี้เมื่อไม่มีกำหนดเวลา การบอกกล่าวทวงถามทำให้เกิดหน้าที่ชำระหนี้ทันที การเสนอผ่อนชำระไม่ผูกพันจนกว่าจะตกลง
ตามหนังสือที่จำเลยทำให้โจทก์ไว้ไม่มีการกำหนดเวลาชำระหนี้ ดังนั้น เมื่อโจทก์บอกล่าวทวงถามแล้ว จำเลยก็มีหน้าที่ต้องชำระหนี้ จำเลยจะขอผ่อนชำระหนี้โดยโจทก์ไม่ได้ตกลงตามข้อเสนอนั้นไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1054/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีไม่มีทุนทรัพย์: การต่อสู้คดีกรรมสิทธิ์โดยอ้างสิทธิของผู้อื่น มิใช่การกล่าวแก้กรรมสิทธิ์ของตนเอง
โจทก์อ้างว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาทฟ้องขับไล่ให้จำเลยรื้อถอนบ้านเรือนออกไปจากที่พิพาท จำเลยต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นของมารดาจำเลย จำเลยปลูกบ้านเรือนอยู่โดยอาศัยสิทธิของมารดา เมื่อจำเลยไม่ได้กล่าวอ้างว่าที่พิพาทนั้นเป็นของจำเลย จึงไม่เป็นการกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ จึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1054/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ในที่ดิน: การต่อสู้คดีโดยอ้างสิทธิของผู้อื่นทำให้คดีไม่มีทุนทรัพย์
โจทก์อ้างว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาทฟ้องขับไล่ให้จำเลยรื้อถอนบ้านเรือนออกไปจากที่พิพาท จำเลยต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นของมารดาจำเลย จำเลยปลูกบ้านเรือนอยู่โดยอาศัยสิทธิของมารดา เมื่อจำเลยไม่ได้กล่าวอ้างว่าที่พิพาทนั้นเป็นของจำเลย จึงไม่เป็นการกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ จึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1044/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อผูกพันตามคำพิพากษาเดิม: ข้อเท็จจริงในคดีก่อนย่อมผูกพันคู่ความในคดีหลังเกี่ยวกับประเด็นเดียวกัน
ข้อเท็จจริงในคดีก่อนซึ่งได้ว่ากันมาแล้วจนถึงที่สุดในชั้นฎีกาย่อมผูกพันคู่กรณีในคดีหลังซึ่งเคยเป็นคู่ความกันมาในคดีก่อน
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยปิดกั้นคูหรือลำรางพิพาท จำเลยให้การรับว่าปิดจริง แต่ปิดกั้นคูหรือลำรางในที่ดินของจำเลย ดังนี้ จึงไม่มีประเด็นจะต้องสืบในข้อที่ว่าจำเลยปิดกั้นคูหรือลำรางหรือไม่
ในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกา จำเลยเพียงแต่ขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสืบพยานเท่านั้น ไม่ได้ขอให้พิพากษาให้จำเลยชนะคดี จึงเท่ากับจำเลยขอให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ที่ให้งดสืบพยานดำเนินการสืบพยานต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ ดังนั้น ค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกา จำเลยจึงควรเสียเพียงศาลละ 50 บาทตามตาราง 1 ข้อ 2 ก. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(อ้างฎีกาที่ 1689/2497)
of 67