คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
เสนอ บุณยเกียรติ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 664 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 236/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขาดนัดพิจารณาคดีแพ่ง: การไม่มาศาลตามนัดของจำเลยทำให้ศาลดำเนินการสืบพยานฝ่ายเดียวได้ และเหตุลืมวันนัดไม่ใช่เหตุสมควรขอพิจารณาคดีใหม่
คดีแพ่ง ในวันเริ่มต้นสืบพยานโจทก์ จำเลยทราบวันนัดแล้วไม่มาศาล ศาลจึงสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาแล้วดำเนินการสืบพยานโจทก์ไปฝ่ายเดียว นั้น เป็นการชอบแล้ว ข้อที่จำเลยอ้างว่าพลั้งเผลอหลงลืมวันนัดนั้น หาใช่เหตุสมควรที่จะขอให้พิจารณาคดีใหม่ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 227/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของเจ้าพนักงานต่อทรัพย์สูญหาย: ต้องมีเจตนาทุจริตหรือประมาทเลินเล่อ
ทรัพย์ของทางราชการหายโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ปกครองหรือรักษาทรัพย์นั้นได้มีเจตนาทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหายหรือยินยอมให้ผู้อื่นกระทำจำเลยย่อมไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 158

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 227/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางอาญาของเจ้าพนักงานต่อทรัพย์สูญหาย ต้องมีเจตนาทุจริต
ทรัพย์ของทางราชการหายโดยไม่ปรากฎว่าจำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ปกครองหรือรักษาทรัพย์นั้นได้มีเจตนาทำให้เสียหายทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหายหรือยินยอมให้ผู้อื่นกระทำ จำเลยย่อมไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา158

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 212/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ องค์ประกอบความผิดใช้เช็ค – ธนาคารต้องปฏิเสธการจ่ายเงินก่อน จึงจะมีความผิด
ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 มาตรา 3 นั้น จะเป็นความผิดต่อเมื่อธนาคารปฏิเสธไม่จ่ายเงินตามเช็ค อันเป็นองค์ประกอบของความผิด ฉะนั้นเพียงแต่ผู้จัดการธนาคารติดต่อให้ผู้ออกเช็คเอาเงินเข้าบัญชีแล้วไม่ได้ผลจึงร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีเช่นนี้ จึงยังเอาผิดแก่ผู้ออกเช็คไม่ได้ ถึงหากธนาคารนั้นจะเป็นผู้ทรงเช็คเองก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 207/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขายทอดตลาดที่มิชอบตามกฎหมาย: การรวมขายทรัพย์สินโดยมิชอบ และการกดราคาประมูล
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 309 บัญญัติเป็นหลักข้อบังคับไว้ว่าในการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่มีหลายสิ่งด้วยกันให้แยกขายทีละสิ่งต่อเนื่องกันไป แต่ให้อำนาจแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีที่จะจัดขายอสังหาริมทรัพย์สองสิ่งหรือกว่านั้นขึ้นไปรวมขายไปด้วยกันได้ ในเมื่อเป็นที่คาดหมายได้ว่าเงินรายได้ในการขายจะเพิ่มขึ้นเพราะเหตุนั้น
ที่ดินของจำเลยอยู่ติดกันแยกออกเป็นสองโฉนดเจ้าพนักงานบังคับคดีผู้ขายรวมขายไปคราวเดียวกันโดยบันทึกว่าเนื่องจากบ้าน 1 หลังปลูกคร่อมที่ดินทั้ง 2 โฉนดเพื่อให้ได้ราคาดีขึ้น ผู้ซื้อขอให้ขายรวมกันทั้งหมด จึงได้ตกลงขายรวมกันไปในคราวเดียวเช่นนี้ การที่ผู้ซื้อมีน้อยคนแล้วรวมขายทรัพย์ไปในคราวเดียวโดยตามใจผู้ซื้อซึ่งอ้างว่าจะได้ราคาดีขึ้นนั้นนอกจากจะฝ่าฝืนหลักของการขายทอดตลาดทรัพย์แล้วยังถือเอาความต้องการของผู้ซื้อเป็นประมาณโดยมิได้ใช้สามัญสำนึกว่าผู้ซื้อย่อมประสงค์ซื้อของให้ได้ในราคาถูกที่สุดเป็นธรรมดามาประกอบการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยบ้าง จึงไม่เข้าเกณฑ์ที่จะพึงคาดหมายได้ว่าการขายทรัพย์ของจำเลยรวมกันจะเพิ่มรายได้มากขึ้น
แม้การที่จำเลยไม่ได้มาระวังผลประโยชน์ของตนในวันขายทอดตลาดทรัพย์ ย่อมไม่ทำให้การขายนั้นเสียไปก็ดี แต่ถ้ามีพฤติการณ์ทั่วๆไปแสดงว่าการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยที่โจทก์เป็นผู้ประมูลซื้อได้นั้นโน้มน้าวไปในทางรวบรัดกดราคา จำเลยก็มีสิทธิร้องขอให้ขายใหม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 207/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขายทอดตลาดที่ส่อเจตนาทุจริตและฝ่าฝืนหลักวิธีพิจารณาความแพ่ง จำเลยมีสิทธิขอให้ขายใหม่ได้
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 309 บัญญัติเป็นหลักข้อบังคับไว้ว่าในการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่มีหลายสิ่งด้วยกัน ให้แยกขายทีละสิ่งต่อเนื่องกันไป แต่ให้อำนาจแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีที่จะจัดขายอสังหาริมทรัพย์สองสื่งหรือกว่านั้นขึ้นไปรวมขายไปด้วยกันในเมื่อเป็นที่คาดหมายได้ว่าเงินรายได้ในการขายจะเพิ่มขึ้นเพราะเหตุนั้น
ที่ดินของจำเลยอยู่ติดกันแยกออกเป็นสองโฉนด เจ้าพนักงานบังคับคดีผู้ขายรวมขายไปคราวเดียวกันโดยบันทึกว่าเนื่องจากบ้าน 1 หลังปลูกคร่อมที่ดินทั้ง 2 โฉนดเพื่อให้ได้ราคาดีขึ้น ผู้ซื้อขอให้ขายรวมกันทั้งหมด จึงได้ตกลงขายรวมกันไปในคราวเดียว เช่นนี้ การที่ผู้ซื้อมีน้อยคนแล้รวมขายทรัพย์ไปในคราวเดียวโดยตามใจผู้ซื้อซึ่งอ้างว่าจะได้ราคาดีขึ้นนั้น นอกจากจะฝ่าฝืนหลักของการขายทอดตลาดทรัพย์แล้ว ยังถือเอาความต้องการของผู้ซื้อเป็นประมาณ โดยมิได้ใช้สามัญสำนึกว่า ผู้ซื้อย่อมประสงค์ซื้อของให้ได้ในราคาถูกที่สุดเป็นธรรมดามาประกอบการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยบ้าง จึงไม่เข้าเกณฑ์ที่จะพึงคาดหมายได้ว่าการขายทรัพย์ของจำเลยรวมกันจะเพิ่มรายได้มากขึ้น
แม้การที่จำเลยไม่ได้มาระวังผลประโยชน์ของตนในวันขายทอดตลาดทรัพย์ ย่อมไม่ทำให้การขายนั้นเสียไปก็ดี แต่ถ้ามีพฤติการณ์ทั่ว ๆ ไปแสดงว่าการขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยที่โจทก์เป็นผู้ประมูลซื้อได้นั้นโน้มน้าวไปในทางรวบรัดกดราคา จำเลยก็มีสิทธิร้องขอดให้ขายใหม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 185-186/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงนอกเหนือจากที่ศาลแขวงฟัง ห้ามอุทธรณ์ข้อเท็จจริง
คดีต้องห้ามไม่ให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลแขวงสั่งรับเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย ในการพิจารณาพิพากษาของศาลอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ได้หยิบยกข้อเท็จจริงบางประการที่ศาลแขวงมิได้วินิจฉัยไว้ขึ้นชี้ขาดเสียเองเพื่อใช้ประกอบการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลอุทธรณ์เช่นนี้ ไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาเพราะศาลอุทธรณ์ต้องฟังข้อเท็จจริงตามศาลแขวง ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นว่าข้อเท็จจริงที่ศาลแขวงฟังมายังขาดตกบกพร่องหรือไม่พอเพียงศาลอุทธรณ์ก็ย่อมมีอำนาจสั่งย้อนสำนวนไปให้ศาลแขวงฟังข้อเท็จจริงใดๆ เพื่อนำมาประกอบการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายต่อไปได้ตามแต่จะเห็นสมควรแก่กรณี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(3) ข

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 185-186/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์จำกัดในการวินิจฉัยข้อเท็จจริงนอกเหนือจากที่ศาลแขวงฟัง หากข้อเท็จจริงไม่พอเพียงให้ส่งสำนวนกลับ
คดีต้องห้ามไม่ให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงศาลแขวงสั่งรับเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย ในการพิจารณาพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ได้หยิบยกข้อเท็จจริงบางประการที่ศาลแขวงมิได้วินิจฉัยไว้ ขึ้นชี้ขาดเสียเองเพื่อใช้ประกอบการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย การดำเนินกระบวนวิธีพิจารณาของศาลอุทธรณ์เช่นนี้ ไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา เพราะศาลอุทธรณ์ต้องฟังข้อเท็จจริงตามศาลแขวง ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นว่าข้อเท็จจริงที่ศาลแขวงฟังมายังขาดตกบกพร่องหรือไม่พอเพียง ศาลอุทธรณ์ก็ย่อมมีอำนาจสั่งย้อนสำนวนไปให้ศาลแขวงฟังข้อเท็จจริงใด ๆ เพื่อนำมาประกอบการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายต่อไปได้ตามแต่จะเห็นสมควรแก่กรณี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(3)ข.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 178/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีซ้ำซ้อนหลังศาลทหารไม่รับคำฟ้อง และขอบเขตอำนาจศาล
เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลทหารหาว่าปล้นทรัพย์ ฯลฯ ศาลทหารวินิจฉัยว่าพฤติการณ์ของจำเลยส่อไปในทางน่าสงสัย จำเลยอาจกระทำผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรก็ได้ แต่ไม่อยู่ในอำนาจของศาลทหารจะวินิจฉัย จึงไม่วินิจฉัยให้เด็ดขาดลงไป แต่การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ พิพากษายกฟ้อง ดังนี้ โจทก์ย่อมนำคดีมาฟ้องจำเลยศาลพลเรือนหาว่าลักทรัพย์หรือรับของโจร ของกลางรายเดียวกันนั้นใหม่ได้ สิทธินำคดีมาฟ้องหาระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 178/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องคดีซ้ำหลังศาลทหารไม่รับอำนาจ พิจารณาคดีอาญาฐานลักทรัพย์/รับของโจร และผลกระทบต่อการดำเนินคดีในศาลพลเรือน
เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลทหารหาว่าปล้นทรัพย์ ฯลฯศาลทหารวินิจฉัยว่าพฤติการณ์ของจำเลยส่อไปในทางน่าสงสัยจำเลยอาจกระทำผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรก็ได้แต่ไม่อยู่ในอำนาจของศาลทหารจะวินิจฉัยจึงไม่วินิจฉัยให้เด็ดขาดลงไป แต่การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ พิพากษายกฟ้อง ดังนี้ โจทก์ย่อมนำคดีมาฟ้องจำเลยต่อศาลพลเรือนหาว่าลักทรัพย์หรือรับของโจรของกลางรายเดียวกันนั้นใหม่ได้สิทธินำคดีมาฟ้องหาระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) ไม่
of 67