พบผลลัพธ์ทั้งหมด 664 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1318/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดับไฟเพื่อหลีกเลี่ยงการจับกุม ไม่ถือเป็นเจตนาขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน
การที่จำเลยดับไฟฟ้าขณะเจ้าพนักงานเข้าจับกุมจำเลยกับพวกเล่นการพนัน เพราะจำเลยกลัวถูกจับนั้น แม้จะทำให้เจ้าพนักงานเกิดความไม่สะดวกเพราะมืดก็ตาม การกระทำของจำเลยยังถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาขัดขวางเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59,138
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1318/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดับไฟขัดขวางการจับกุม: ไม่ถือเจตนาขัดขวางเจ้าพนักงาน
การที่จำเลยดับไฟฟ้าขณะเจ้าพนักงานเข้าจับกุมจำเลยกับพวกเล่นการพนัน เพราะจำเลยกลัวถูกจับนั้น แม้จะทำให้เจ้าพนักงานเกิดความไม่สะดวกเพราะมืดก็ตาม การกระทำของจำเลยยังถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาขัดขวางเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59,138
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1304/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความหมายของ 'จำคุกตั้งแต่สามปีขึ้นไป' ในมาตรา 181(1) ประมวลกฎหมายอาญา
ข้อความที่ว่า "ความผิดที่มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีขึ้นไป........." ในมาตรา 181(1) แห่งประมวลกฎหมายอาญานั้น หมายความถึงอัตราขั้นต่ำของความผิดนั้นๆ จะต้องจำคุกสามปีเป็นอย่างน้อยที่สุด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1304/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตีความ 'ระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีขึ้นไป' ในมาตรา 181 อาญา: อัตราโทษขั้นต่ำไม่ใช่เกณฑ์ลงโทษ
ข้อความที่ว่า "ความผิดที่มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีขึ้นไป...." ในมาตรา 181 (1) แห่งประมวลกฎหมายอาญานั้น หมายความถึงอัตราขั้นต่ำของความผิดนั้น ๆ จะต้องจำคุกสามปีเป็นอย่างน้อยที่สุด
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 13/2506)
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 13/2506)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1298/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อากรสถานบันเทิง: การฉีกตั๋วเป็นรายตัวผู้ดูเพื่อหลีกเลี่ยงเงินเพิ่มอากร หากไม่ปฏิบัติต้องรับผิดตามจำนวนตั๋ว
การเสียอากรมหรศพต้องเสียเป็นรายตัวผู้ดู และเมื่อได้รับตั๋วจากผู้ดูแต่ละครั้งก็ต้องฉีกตั๋วทันทีทุกครั้ง ไม่ใช่เก็บรวมไว้ฉีกในคราวเดียวกัน หากไม่ฉีกตั๋วในขณะที่ได้รับจากผู้ดูครั้งใด เจ้าของมหรศพก็ต้องรับผิดเสียเงินอากรเพิ่มโดยคำนวณเงินจากตั๋วเป็นรายตั๋วซึ่งมิได้ฉีก
เจ้าของมหรศพรับตั๋วไว้จากผู้ดูหลายฉบับ แต่ไม่ใช่รับไว้ในขณะเดียวกัน เมื่อไม่ฉีกตั๋วเท่านั้น อันจะต้องรับผิดเสียเงินอากรเพิ่ม ดังนี้ การที่จะวินิจฉัยว่าการเสียเงินอากรเพิ่มเป็น 2 เท่า ของเงินอากรที่ต้องเสีย กับการเสียเป็นเงิน 25 บาท อย่างใดจะมากกว่ากันนั้น ต้องคำนวณเทียบกันดูเป็นรายฉบับ
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีคำสั่งให้โจทก์เสียเงินเพิ่มอากร ฯ 10,642.5 บาท ซึ่งที่ถูกโจทก์ควรเสียเพียง 2,128.5 บาท เท่านั้น ขอให้พิพากษาว่าคำสั่งของจำเลยไม่ชอบ และให้โจทก์ชำระเงินอากรเพิ่มเพียง 2,128.50 บาท ดังนี้ ทุนทรัพย์ที่โจทก์ขอให้ปลดเปลื้องทุกข์มีจำนวน 8,514 บาท
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 15/2506 ในปัญหาเรื่องเงินเพิ่มอากร)
เจ้าของมหรศพรับตั๋วไว้จากผู้ดูหลายฉบับ แต่ไม่ใช่รับไว้ในขณะเดียวกัน เมื่อไม่ฉีกตั๋วเท่านั้น อันจะต้องรับผิดเสียเงินอากรเพิ่ม ดังนี้ การที่จะวินิจฉัยว่าการเสียเงินอากรเพิ่มเป็น 2 เท่า ของเงินอากรที่ต้องเสีย กับการเสียเป็นเงิน 25 บาท อย่างใดจะมากกว่ากันนั้น ต้องคำนวณเทียบกันดูเป็นรายฉบับ
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีคำสั่งให้โจทก์เสียเงินเพิ่มอากร ฯ 10,642.5 บาท ซึ่งที่ถูกโจทก์ควรเสียเพียง 2,128.5 บาท เท่านั้น ขอให้พิพากษาว่าคำสั่งของจำเลยไม่ชอบ และให้โจทก์ชำระเงินอากรเพิ่มเพียง 2,128.50 บาท ดังนี้ ทุนทรัพย์ที่โจทก์ขอให้ปลดเปลื้องทุกข์มีจำนวน 8,514 บาท
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 15/2506 ในปัญหาเรื่องเงินเพิ่มอากร)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1294/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อากรสถานบันเทิง: การเสียอากรเป็นรายตัวผู้ดูและหน้าที่ในการฉีกตั๋วทันทีที่ได้รับ
การเสียอากรมหรสพต้องเสียเป็นรายตัวผู้ดู และเมื่อได้รับตั๋วจากผู้ดูแต่ละครั้งก็ต้องฉีกตั๋วทันทีทุกครั้ง ไม่ใช่เก็บรวมไว้ฉีกในคราวเดียวกัน หากไม่ฉีกตั๋วในขณะที่ได้รับจากผู้ดูครั้งใดเจ้าของมหรสพก็ต้องรับผิดเสียเงินอากรเพิ่มโดยคำนวณเงินจากตั๋วเป็นรายตั๋วซึ่งมิได้ฉีก
เจ้าของมหรสพรับตั๋วไว้จากผู้ดูหลายฉบับ แต่ไม่ใช่รับไว้ในขณะเดียวกัน เมื่อไม่ฉีกตั๋วเหล่านั้น อันจะต้องรับผิดเสียเงินอากรเพิ่ม ดังนี้ การที่จะวินิจฉัยว่าการเสียเงินอากรเพิ่มเป็น 2 เท่าของเงินอากรที่ต้องเสียกับการเสียเงิน 25 บาท อย่างใดจะมากกว่ากันนั้นต้องคำนวณเทียบกันดูเป็นรายฉบับ
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีคำสั่งให้โจทก์เสียเงินเพิ่มอากรฯ10,642.50บาท ซึ่งที่ถูกโจทก์ควรเสียเพียง 2,128.50 บาท เท่านั้น ขอให้พิพากษาว่าคำสั่งของจำเลยไม่ชอบ และให้โจทก์ชำระเงินอากรเพิ่มเพียง 2,128.50 บาท ดังนี้ทุนทรัพย์ที่โจทก์ขอให้ปลดเปลื้องทุกข์มีจำนวน 8,514 บาท (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 15/2506 ในปัญหาเรื่องเงินเพิ่มอากร)
เจ้าของมหรสพรับตั๋วไว้จากผู้ดูหลายฉบับ แต่ไม่ใช่รับไว้ในขณะเดียวกัน เมื่อไม่ฉีกตั๋วเหล่านั้น อันจะต้องรับผิดเสียเงินอากรเพิ่ม ดังนี้ การที่จะวินิจฉัยว่าการเสียเงินอากรเพิ่มเป็น 2 เท่าของเงินอากรที่ต้องเสียกับการเสียเงิน 25 บาท อย่างใดจะมากกว่ากันนั้นต้องคำนวณเทียบกันดูเป็นรายฉบับ
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีคำสั่งให้โจทก์เสียเงินเพิ่มอากรฯ10,642.50บาท ซึ่งที่ถูกโจทก์ควรเสียเพียง 2,128.50 บาท เท่านั้น ขอให้พิพากษาว่าคำสั่งของจำเลยไม่ชอบ และให้โจทก์ชำระเงินอากรเพิ่มเพียง 2,128.50 บาท ดังนี้ทุนทรัพย์ที่โจทก์ขอให้ปลดเปลื้องทุกข์มีจำนวน 8,514 บาท (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 15/2506 ในปัญหาเรื่องเงินเพิ่มอากร)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1252/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าธรรมดา vs. สัญญาต่างตอบแทน และผลกระทบต่อระยะเวลาการเช่า รวมถึงการสมยอมเพื่อขับไล่ผู้เช่า
ในการทำสัญญาเช่าห้อง ผู้เช่าออกเงินให้ผู้ให้เช่า 5,000 บาท ในสัญญาเช่ากล่าวถึงว่าเป็นเงินค่าก่อสร้างค่าแป๊ะเจี๊ยะ เมื่อคดีได้ความว่าในขณะทำสัญญานี้ ผู้ให้เช่ามีห้องพร้อมอยู่แล้วไม่จำต้องก่อสร้างขึ้นแต่อย่างใด ดังนี้ เงินที่ผู้เช่าออกไปนั้นจึงไม่ใช่เงินค่าก่อสร้าง คงเป็นเงินกินเปล่าตามธรรมดา สัญญาเช่าจึงเป็นสัญญาเช่าธรรมดาไม่ใช่สัญญาต่างตอบแทน
สัญญาเช่าที่ไม่ใช่สัญญาต่างตอบแทน เมื่อกำหนดระยะเวลาเช่าได้ 10 ปีโดยไม่ได้จดทะเบียนการเช่านั้น คงบังคับกันได้เพียง 3 ปี
สัญญาเช่าที่ไม่ใช่สัญญาต่างตอบแทน เมื่อกำหนดระยะเวลาเช่าได้ 10 ปีโดยไม่ได้จดทะเบียนการเช่านั้น คงบังคับกันได้เพียง 3 ปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1252/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าธรรมดา vs. สัญญาต่างตอบแทน, ระยะเวลาสัญญาเช่าที่ไม่จดทะเบียน, และการโอนสิทธิโดยไม่สุจริต
ในการทำสัญญาเช่าห้อง ผู้เช่าออกเงินให้ผู้ให้เช่า 5,000 บาท ในสัญญาเช่ากล่าวถึงว่าเป็นเงินค่าก่อสร้างค่าแป๊ะเจี๊ยะ เมื่อคดีได้ความว่าในขณะทำสัญญานี้ผู้ให้เช่ามีห้องพร้อมอยู่ แล้วไม่จำต้องก่อสร้างขึ้นแต่อย่างใด ดังนี้ เงินที่ผู้เช่าออกไปนั้น จึงไม่ใช่เงินค่าก่อสร้าง คงเป็นเงินกินเปล่าตามธรรมดาสัญญาเช่าจึงเป็นสัญญาเช่าธรรมดา ไม่ใช่สัญญาต่างตอบแทน
สัญญาเช่าที่ไม่ใช่สัญญาต่างตอบแทน เมื่อกำหนดระยะเวลาเช่าไว้ 10 ปีโดยไม่ได้จดทะเบียนการเช่านั้น คงบังคับกันได้เพียง 3 ปี
สัญญาเช่าที่ไม่ใช่สัญญาต่างตอบแทน เมื่อกำหนดระยะเวลาเช่าไว้ 10 ปีโดยไม่ได้จดทะเบียนการเช่านั้น คงบังคับกันได้เพียง 3 ปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1251/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกำหนดเขตจังหวัดชอบด้วยกฎหมาย แม้ไม่มีกฎหมายเฉพาะ แต่กระทรวงมหาดไทยมอบอำนาจข้าหลวงตรวจการดำเนินการได้
ในปี พ.ศ.2498 ยังไม่มีบทกฎหมายหรือกฎข้อบังคับใดที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะถึงวิธีปฏิบัติในเรื่องการเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัด เมื่อไม่แน่ว่าท้องที่หมู่บ้านหนึ่งอยู่ในเขตของจังหวัดใดในระหว่าง 2 จังหวัด ทีมีเขตติดต่อกัน กระทรวงมหาดไทยมอบให้ข้าหลวงตรวจการมหาดไทยภาคเป็นประธานของคณะกรรมการ ให้มีอำนาจกำหนดเขตระหว่าง 2 จังหวัดนี้ให้แน่นอน แล้วว่าการกำหนดเขตระหว่างจังหวัดนี้ไม่จำต้องทำเป็นประกาศกำหนดเขตตำบล โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ.2457เพียงแต่ทำเป็นบันทึกข้อตกลงระหว่างจังหวัดทั้งสองพร้อมทั้งทำแผนที่แสดงแนวเขตให้ชัดแจ้งเก็บไว้เป็นหลักฐานทั้งทำแผนที่แนวเขตให้ชัดแจ้งเก็บไว้เป็นหลักฐานก็พอแล้ว ข้อหลวงตรวจการ ฯ ภาคจึงปฏิบัติการตามคำสั่งดังนี้ การกำหนดเขตจังหวัดทั้งสองจึงเป็นการชอบแล้ว
ในปี พ.ศ.2498 นั้น ตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลได้ถูกยุบเลิกไปก่อนแล้ว ไม่มีสมุหเทศาภิบาลที่ผู้ว่าราชการจังหวัดจะขออนุมัติในการที่จะเปลี่ยนแปลงเขตหมู่บ้านและตำบลตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ.2457 มาตรา 6 แต่เมื่ออำนาจหน้าที่ในการบริหารตรวจการของสมุหเทศาภิบาลย่อมตกไปอยู่กับกระทรวงมหาดไทยกระทรวงมหาดไทยสั่งการและมอบให้ข้าหลวงตรวจการ ฯ ภาค เป็นผู้ดำเนินการกำหนดเขตจังหวัดให้แน่นอน การที่ข้าหลวงตรวจการ ภาคกำหนดเขตจังหวัดจึงเป็นการชอบ แม้จะมีผลเป็น+เปลี่ยนแปลงเขตหมู่บ้านและตำบลด้วย ในปี พ.ศ.2497 พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2495 ออกใช้แล้ว การเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัดหรือเขตอำเภอจะต้องตราเป็นพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกาตามมาตรา 32 และ 39 ผู้ว่าราชการภาคไม่มีอำนาจสั่งเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัดได้ ถ้าผู้ว่าราชการภาคกำหนดแนวเขตจังหวัดใหม่ ทำให้ที่พิพาทซึ่งเคยอยู่ในเขตจังหวัดจะต้องไปอยู่ในเขตจังหวัด บ.ก็ยังต้องถือว่าที่พิพาทยังขึ้นอยู่กับจังหวัด จ. ศาลจังหวัด จ. มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เกี่ยวกับที่พิพาท
ในปี พ.ศ.2498 นั้น ตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลได้ถูกยุบเลิกไปก่อนแล้ว ไม่มีสมุหเทศาภิบาลที่ผู้ว่าราชการจังหวัดจะขออนุมัติในการที่จะเปลี่ยนแปลงเขตหมู่บ้านและตำบลตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ.2457 มาตรา 6 แต่เมื่ออำนาจหน้าที่ในการบริหารตรวจการของสมุหเทศาภิบาลย่อมตกไปอยู่กับกระทรวงมหาดไทยกระทรวงมหาดไทยสั่งการและมอบให้ข้าหลวงตรวจการ ฯ ภาค เป็นผู้ดำเนินการกำหนดเขตจังหวัดให้แน่นอน การที่ข้าหลวงตรวจการ ภาคกำหนดเขตจังหวัดจึงเป็นการชอบ แม้จะมีผลเป็น+เปลี่ยนแปลงเขตหมู่บ้านและตำบลด้วย ในปี พ.ศ.2497 พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2495 ออกใช้แล้ว การเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัดหรือเขตอำเภอจะต้องตราเป็นพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกาตามมาตรา 32 และ 39 ผู้ว่าราชการภาคไม่มีอำนาจสั่งเปลี่ยนแปลงเขตจังหวัดได้ ถ้าผู้ว่าราชการภาคกำหนดแนวเขตจังหวัดใหม่ ทำให้ที่พิพาทซึ่งเคยอยู่ในเขตจังหวัดจะต้องไปอยู่ในเขตจังหวัด บ.ก็ยังต้องถือว่าที่พิพาทยังขึ้นอยู่กับจังหวัด จ. ศาลจังหวัด จ. มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เกี่ยวกับที่พิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1239/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับมรดกตามพินัยกรรมและการถูกจำกัดสิทธิรับมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1605
ทายาทที่จะถูกกำจัดมิให้รับมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1605 ต้องเป็นผู้ปิดบังหรือยักย้ายทรัพย์มรดกแต่การที่ทายาทคนหนึ่งไปขอประกาศรับมรดกโดยไม่ระบุลงไปในบัญชีเครือญาติว่ายังมีบุคคลอื่นเป็นทายาทอีกด้วยนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดก
เมื่อเจ้าพนักงานโอนโฉนดให้แก่ทายาทผู้ขอรับมรดกดังกล่าวแล้ว ภายหลังทายาทนั้นขอแบ่งที่ดินมรดกเพื่อจะขายและเอาเรือนที่ปลูกอยู่ในที่ดินนั้นไปประกันเงินกู้ ดังนี้ ไม่ใช่กรณียักย้ายหรือปิดบังมรดก
โจทก์และจำเลยต่างก็เป็นบุตรของผู้ตาย ผู้ตายทำพินัยกรรมยกที่ดินกับเรือนให้จำเลยและยกโคกระบือให้โจทก์ ดังนี้ จะนำเรื่องจำกัดมิให้รับมรดกตามมาตรา 1605 วรรคแรกมาใช้บังคับแก่การกระทำของจำเลยเกี่ยวกับที่ดินและเรือนมรดก หาได้ไม่
เมื่อเจ้าพนักงานโอนโฉนดให้แก่ทายาทผู้ขอรับมรดกดังกล่าวแล้ว ภายหลังทายาทนั้นขอแบ่งที่ดินมรดกเพื่อจะขายและเอาเรือนที่ปลูกอยู่ในที่ดินนั้นไปประกันเงินกู้ ดังนี้ ไม่ใช่กรณียักย้ายหรือปิดบังมรดก
โจทก์และจำเลยต่างก็เป็นบุตรของผู้ตาย ผู้ตายทำพินัยกรรมยกที่ดินกับเรือนให้จำเลยและยกโคกระบือให้โจทก์ ดังนี้ จะนำเรื่องจำกัดมิให้รับมรดกตามมาตรา 1605 วรรคแรกมาใช้บังคับแก่การกระทำของจำเลยเกี่ยวกับที่ดินและเรือนมรดก หาได้ไม่