พบผลลัพธ์ทั้งหมด 664 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1239/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับมรดกตามพินัยกรรมและการจำกัดสิทธิทายาท: การปิดบัง/ยักย้ายทรัพย์มิใช่เหตุตัดสิทธิผู้รับพินัยกรรม
ทายาทที่จะถูกจำกัดมิให้รับมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1605 ต้องเป็นผู้ปิดบังหรือยักย้ายทรัพย์มรดกแต่การที่ทายาทคนหนึ่งไปขอประกาศรับมรดกโดยไม่ระบุลงไปในบัญชีเครือญาติว่ายังมีบุคคลอื่นเป็นทายาทอีกด้วยนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดก
เมื่อเจ้าพนักงานโอนโฉนดให้แก่ทายาทผู้ขอรับมรดกดังกล่าวแล้ว ภายหลังทายาทนั้น ขอแบ่งที่ดินมรดกเพื่อจะขายและเอาเรือนที่ปลูกอยู่ในที่ดินนั้นไปประกันเงินกู้ดังนี้ ไม่ใช่กรณียักย้ายหรือปิดบังมรดก
โจทก์และจำเลยต่างก็เป็นบุตรของผู้ตาย ผู้ตายทำพินัยกรรมยกที่ดินกับเรือนให้จำเลย และยกโฉนดกระบือให้โจทก์ ดังนี้ จะนำเรื่องกำจัดมิให้รับมรดกตามมาตรา 1605 วรรคแรก มาใช้บังคับแก่การกระทำของจำเลยเกี่ยวกับที่ดินและเรือนมรดกหาได้ไม่
เมื่อเจ้าพนักงานโอนโฉนดให้แก่ทายาทผู้ขอรับมรดกดังกล่าวแล้ว ภายหลังทายาทนั้น ขอแบ่งที่ดินมรดกเพื่อจะขายและเอาเรือนที่ปลูกอยู่ในที่ดินนั้นไปประกันเงินกู้ดังนี้ ไม่ใช่กรณียักย้ายหรือปิดบังมรดก
โจทก์และจำเลยต่างก็เป็นบุตรของผู้ตาย ผู้ตายทำพินัยกรรมยกที่ดินกับเรือนให้จำเลย และยกโฉนดกระบือให้โจทก์ ดังนี้ จะนำเรื่องกำจัดมิให้รับมรดกตามมาตรา 1605 วรรคแรก มาใช้บังคับแก่การกระทำของจำเลยเกี่ยวกับที่ดินและเรือนมรดกหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1216-1223/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำเข้าสินค้าหลีกเลี่ยงภาษี ไม่เข้าข่ายผิด พ.ร.บ.ศุลกากร ม.38 หากไม่ผ่านท่าอนุมัติ
พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 38 เป็นเรื่องที่ใช้บังคับกับนายเรือที่บรรทุกสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรตามช่องทาง+อนุมัติซึ่งไปถึงที่เป็นเขตศุลกากรโดยชอบ ในกรณีดังกล่าว นายเรือจึงจะมีหน้าที่ต้องทำรายงานยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน 24 ชั่วโมง นับแต่เรือมาถึงท่า และกฎหมายมาตรานี้บังคับด้วยว่า นายเรือจะต้องแถลงรายละเอียดว่าด้วยสินค้านั้น ๆ ลงไว้ในรายงานด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อให้มีการควบคุมสินค้าที่นำเข้าโดยชอบให้รัดกุมและเพื่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะได้ทำการตรวจสินค้า และเรียกเก็บภาษีได้โดยสะดวกและรวดเร็วนั่นเอง
จำเลยผู้เป็นนายเรือได้นำกะปิของกลางบรรทุกหรือเข้ามาในราชอาณาจักรตามช่องทางซึ่งมิใช่ท่าอนุมัติโดยเจตนาหลีกเลี่ยงอากร และจะฉ้อค่าภาษีรัฐบาล กรณีจึงมิใช่เรื่องที่จำเลยได้นำเรือมาถึงท่าโดยชอบแล้วละเว้นไม่ทำรายงานอันถูกต้องยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่อันจะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 38
จำเลยผู้เป็นนายเรือได้นำกะปิของกลางบรรทุกหรือเข้ามาในราชอาณาจักรตามช่องทางซึ่งมิใช่ท่าอนุมัติโดยเจตนาหลีกเลี่ยงอากร และจะฉ้อค่าภาษีรัฐบาล กรณีจึงมิใช่เรื่องที่จำเลยได้นำเรือมาถึงท่าโดยชอบแล้วละเว้นไม่ทำรายงานอันถูกต้องยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่อันจะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 38
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1216-1223/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำเข้าสินค้าโดยหลีกเลี่ยงอากร ไม่ถือเป็นละเว้นการทำรายงานตามกฎหมายศุลกากร
พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 38 เป็นเรื่องที่ใช้บังคับกับนายเรือที่บรรทุกสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรตามช่องทางท่าอนุมัติซึ่งไปถึงท่าที่เป็นเขตศุลกากรโดยชอบในกรณีดังกล่าว นายเรือจึงจะมีหน้าที่ต้องทำรายงานยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน 24 ชั่วโมงนับแต่เรือมาถึงท่า และกฎหมายมาตรานี้บังคับด้วยว่านายเรือจะต้องแถลงรายละเอียดว่าด้วยสินค้านั้นๆ ลงไว้ในรายงานด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อให้มีการควบคุมสินค้าที่นำเข้าโดยชอบให้รัดกุมและเพื่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะได้ทำการตรวจสินค้าและเรียกเก็บภาษีได้โดยสะดวกและรวดเร็วนั่นเอง
จำเลยผู้เป็นนายเรือได้นำกะปิของกลางบรรทุกเรือเข้ามาในราชอาณาจักรตามช่องทางซึ่งมิใช่ท่าอนุมัติโดยเจตนาหลีกเลี่ยงอากร และจะฉ้อค่าภาษีรัฐบาล กรณีจึงมิใช่เรื่องที่จำเลยได้นำเรือมาถึงท่าโดยชอบแล้วละเว้นไม่ทำรายงานอันถูกต้อง ยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่อันจะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 38
จำเลยผู้เป็นนายเรือได้นำกะปิของกลางบรรทุกเรือเข้ามาในราชอาณาจักรตามช่องทางซึ่งมิใช่ท่าอนุมัติโดยเจตนาหลีกเลี่ยงอากร และจะฉ้อค่าภาษีรัฐบาล กรณีจึงมิใช่เรื่องที่จำเลยได้นำเรือมาถึงท่าโดยชอบแล้วละเว้นไม่ทำรายงานอันถูกต้อง ยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่อันจะเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 38
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1208/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องหมิ่นประมาทต้องระบุถ้อยคำที่จำเลยกล่าวโดยบริบูรณ์ มิฉะนั้นฟ้องไม่สมบูรณ์
ในคดีหมิ่นประมาท ฟ้องโจทก์จะต้องกล่าวถ้อยคำที่จำเลยพูดไว้โดยบริบูรณ์ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่ 3 ว่า "โจทก์กับพวกเป็นคนร้ายลักปลาในบ่อของจำเลยไปเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2504"เช่นนี้โจทก์ไม่ได้กล่าวถ้อยคำที่จำเลยพูดกับจำเลยที่ 3 ไว้โดยบริบูรณ์ว่ามีข้อความอย่างไร โจทก์กล่าวแต่เพียงโดยสรุป ฟ้องของโจทก์จึงไม่บริบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1140/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารปลอม แม้จำเลยไม่ได้ลงมือปลอมเอง แต่ร่วมกระทำความผิดโดยจัดให้ผู้อื่นปลอม
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้ จ้าง วานผู้อื่นให้ปลอมเอกสารแล้วจำเลยได้นำเอกสารปลอมนั้นไปใช้ ขอให้ลงโทษ ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยมิได้ปลอมเอกสารด้วยมือจำเลยเอง แต่ก็ได้ร่วมกระทำโดยจัดให้ผู้อื่นกับพวกปลอมเอกสารขึ้น แล้วจำเลยนำเอกสารนั้นไปใช้ ดังนี้ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง ถึงกับจะต้องยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรค 2
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1140/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมปลอมแปลงเอกสาร แม้ไม่ได้ลงมือเอง หากมีเจตนาและร่วมกระทำถือเป็นความผิดตามฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้ จ้าง วานผู้อื่นให้ปลอมเอกสารแล้วจำเลยได้นำเอกสารปลอมนั้นไปใช้ ขอให้ลงโทษ ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยมิได้ปลอมเอกสารด้วยมือจำเลยเอง แต่ก็ได้ร่วมกระทำโดยจัดให้ผู้อื่นกับพวกปลอมเอกสารขึ้น แล้วจำเลยนำเอกสารนั้นไปใช้ ดังนี้ ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง ถึงกับจะต้องยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1131/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เงินทุนสงเคราะห์ (ท.ส.ค.) เป็นทรัพย์สินในกองมรดก ผู้ตายทำพินัยกรรมยกให้ผู้ใดก็ได้ แม้จะระบุไว้ในสมุดประวัติก่อนหน้า
เมื่อปรากฎว่าเงินทุนสงเคราะห์ (ท.ส.+.) ของผู้ปฏิบัติงานในการรถไฟ เป็นเงินที่เก็บจากผู้ปฎิบัติงานร้อยละ 5 ของเงินเดือนทุกเดือน และการรถไฟจ่ายสมทบอีกมีจำนวนร้อยละ 10 ถ้าผู้ปฏิบัติงานต้องออกจากงาน นอกจากถูกไล่ออกก็ให้จ่ายให้แก่ผู้ปฏิบัติงานรวมทั้งดอกเบี้ยและกองทุนจ่ายเพิ่มให้อีกเป็นจำนวนเท่ากันนั้น เห็นได้ว่าเงินทุนสงเคราะห์นี้เป็นเงินที่ผู้ปฎิบัติงานมีสิทธิได้รับอยู่ก่อนแล้ว หากผู้นั้นตายลงก็ย่อมตกเป็นมรดก
แม้จะระบุในสมุดประวัติ (ท.ส.ค) ให้จำเลยเป็นผู้รับเงินทุนสงเคราะห์ก็ดี แต่หากต่อมาภายหลังเจ้าของเงินทุนสงเคราะห์ทำพินัยกรรมระบุยกให้โจทก์เป็นผู้รับ ก็เป็นการตัดจำเลยไปตามพินัยกรรมนั้น
แม้จะระบุในสมุดประวัติ (ท.ส.ค) ให้จำเลยเป็นผู้รับเงินทุนสงเคราะห์ก็ดี แต่หากต่อมาภายหลังเจ้าของเงินทุนสงเคราะห์ทำพินัยกรรมระบุยกให้โจทก์เป็นผู้รับ ก็เป็นการตัดจำเลยไปตามพินัยกรรมนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1131/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เงินทุนสงเคราะห์ ท.ส.ค. เป็นทรัพย์มรดก ผู้ตายทำพินัยกรรมยกให้ผู้อื่นได้ แม้ระบุผู้รับไว้ก่อน
เมื่อปรากฏว่าเงินทุนสงเคราะห์ (ท.ส.ค.) ของผู้ปฏิบัติงานในการรถไฟ เป็นเงินที่เก็บจากผู้ปฏิบัติงานร้อยละ 5 ของเงินเดือนทุกเดือน และการรถไฟจ่ายสมทบอีกมีจำนวนร้อยละ 10 ถ้าผู้ปฏิบัติงานต้องออกจากงานรวมทั้งดอกเบี้ยและกองทุนจ่ายเพิ่มให้อีกเป็นจำนวนเท่ากันนั้น เห็นได้ว่าเงินทุนสงเคราะห์นี้เป็นเงินที่ผู้ปฏิบัติงานมีสิทธิได้รับอยู่ก่อนแล้ว หากผู้นั้นตายลงก็ย่อมตกเป็นมรดก
แม้จะระบุในสมุดประวัติ (ท.ส.ค.) ให้จำเลยเป็นผู้รับเงินทุนสงเคราะห์ก็ดี แต่หากต่อมาภายหลังเจ้าของเงินทุนสงเคราะห์ทำพินัยกรรมระบุยกให้โจทก์เป็นผู้รับ ก็เป็นการตัดจำเลยไปตามพินัยกรรมนั้น
แม้จะระบุในสมุดประวัติ (ท.ส.ค.) ให้จำเลยเป็นผู้รับเงินทุนสงเคราะห์ก็ดี แต่หากต่อมาภายหลังเจ้าของเงินทุนสงเคราะห์ทำพินัยกรรมระบุยกให้โจทก์เป็นผู้รับ ก็เป็นการตัดจำเลยไปตามพินัยกรรมนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1112/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำหรือไม่: คดีถูกยกฟ้องเพราะทนายไม่มีอำนาจลงชื่อ และข้อหาไม่อยู่ในอำนาจศาลเดิม โจทก์มีสิทธิฟ้องใหม่ได้
คดีก่อนศาลยกฟ้องเพราะทนายโจทก์ลงชื่อเป็นโจทก์โดยลำพังโดยไม่มีอำนาจทั้งข้อหาก็อยู่ในอำนาจศาลทหาร โดยไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงแห่งคดี การยกฟ้องจึงหาใช่เพราะศาลได้พิจารณาถึงเนื้อหาในความผิดที่ได้ฟ้องไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ อ้างฎีกาที่ 1301/2503
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยเห็นว่าเป็นฟ้องซ้ำ ศาลอุทธรณ์ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยเห็นว่าไม่เป็นฟ้องซ้ำ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาตามรูปคดี ดังนี้ จำเลยย่อมฎีกาว่าคดีเป็นฟ้องซ้ำ ไม่ควรพิจารณาต่อไปได้
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยเห็นว่าเป็นฟ้องซ้ำ ศาลอุทธรณ์ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยเห็นว่าไม่เป็นฟ้องซ้ำ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาตามรูปคดี ดังนี้ จำเลยย่อมฎีกาว่าคดีเป็นฟ้องซ้ำ ไม่ควรพิจารณาต่อไปได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1112/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: คดีถูกยกฟ้องเพราะอำนาจโจทก์/ศาลทหาร ไม่ใช่เนื้อหาความผิด โจทก์มีสิทธิฟ้องใหม่ได้
คดีก่อนศาลยกฟ้องเพราะหมายโจทก์ลงชื่อเป็นโจทก์โดยลำพังโดยไม่มีอำนาจ ทั้งข้อหาก็อยู่ในอำนาจศาลทหาร โดยไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงแห่งคดี การยกฟ้องจึงหาใช่เพราะศาลได้พิจารณาถึงเนื้อหาในความผิดที่ได้ฟ้องไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ อ้างฎีกาที่ 1301/2503
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยเห็นว่าเป็นฟ้องซ้ำ ศาลอุทธรณ์ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยเห็นว่าไม่เป็นฟ้องซ้ำ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาตามรูปคดี ดังนี้ จำเลยย่อมฎีกาว่าคดีเป็นฟ้องซ้ำ ไม่ควรพิจารณาต่อไปได้
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยเห็นว่าเป็นฟ้องซ้ำ ศาลอุทธรณ์ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยเห็นว่าไม่เป็นฟ้องซ้ำ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาตามรูปคดี ดังนี้ จำเลยย่อมฎีกาว่าคดีเป็นฟ้องซ้ำ ไม่ควรพิจารณาต่อไปได้