พบผลลัพธ์ทั้งหมด 664 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1090/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาผิดนัดชำระค่าเช่า: แม้ส่งค่าเช่าทางธนาณัติ ผู้ให้เช่าไม่รับก็ยังไม่ถือว่าผิดนัด
จำเลยอยู่ในที่เช่าต่อมาเมื่อหมดอายุสัญญาแล้ว แม้ไม่ได้ทำหนังสือสัญญาเช่ากันใหม่ เมื่อโจทก์ผู้ให้เช่ายังมิได้รับค่าเช่า โจทก์ก็ยังมีสิทธิเรียกค่าเช่าจากจำเลยได้ ไม่ต้องห้ามด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 อ้างฎีกาที่ 409/2496
ชั้นแรกจำเลยนำค่าเช่าไปชำระต่อโจทก์ ครั้นครบกำหนดการเช่าตามสัญญาแล้ว จำเลยได้ส่งไปยังโจทก์ทางธนานัติเพราะโจทก์ไม่ยอมรับค่าเช่าจากผู้เช่า โจทก์ทราบแต่ก็ไม่ยอมไปรับยังที่ทำการไปรษณีย์ ดังนี้ จะถือว่าผู้เช่าเจตนาผิดนัดไม่ชำระค่าเช่ายังไม่ได้
ชั้นแรกจำเลยนำค่าเช่าไปชำระต่อโจทก์ ครั้นครบกำหนดการเช่าตามสัญญาแล้ว จำเลยได้ส่งไปยังโจทก์ทางธนานัติเพราะโจทก์ไม่ยอมรับค่าเช่าจากผู้เช่า โจทก์ทราบแต่ก็ไม่ยอมไปรับยังที่ทำการไปรษณีย์ ดังนี้ จะถือว่าผู้เช่าเจตนาผิดนัดไม่ชำระค่าเช่ายังไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1090/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาผิดนัดชำระค่าเช่าหลังสัญญาหมดอายุ: การส่งค่าเช่าทางธนาณัติและการไม่รับของเจ้าของบ้าน
จำเลยอยู่ในที่เช่าต่อมาเมื่อหมดอายุสัญญาแล้ว แม้ไม่ได้ทำหนังสือสัญญาเช่ากันใหม่ เมื่อโจทก์ผู้ให้เช่ายังมิได้รับค่าเช่า โจทก์ก็ยังมีสิทธิเรียกค่าเช่าจากจำเลยได้ ไม่ต้องห้ามด้วยประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ มาตรา 538 อ้างฎีกาที่ 409/2496
ชั้นแรกจำเลยนำค่าเช่าไปชำระต่อโจทก์ครั้นครบกำหนด การเช่าตามสัญญาแล้ว จำเลยได้ส่งไปยังโจทก์ทางธนาณัติเพราะโจทก์ไม่ยอมรับค่าเช่าจากผู้เช่า โจทก์ทราบแต่ก็ไม่ยอมไปรับยังที่ทำการไปรษณีย์ดังนี้ จะถือว่าผู้เช่าเจตนาผิดนัดไม่ชำระค่าเช่ายังไม่ได้
ชั้นแรกจำเลยนำค่าเช่าไปชำระต่อโจทก์ครั้นครบกำหนด การเช่าตามสัญญาแล้ว จำเลยได้ส่งไปยังโจทก์ทางธนาณัติเพราะโจทก์ไม่ยอมรับค่าเช่าจากผู้เช่า โจทก์ทราบแต่ก็ไม่ยอมไปรับยังที่ทำการไปรษณีย์ดังนี้ จะถือว่าผู้เช่าเจตนาผิดนัดไม่ชำระค่าเช่ายังไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1089/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในทรัพย์สินพิพาทและการฟ้องขับไล่: จำเลยมีสิทธิอ้างความเป็นเจ้าของทรัพย์เพื่อต่อสู้คดีได้
(1) เมื่อปรากฎว่าจำเลยเดิมให้การว่าเรือนพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ แต่เป็นของจำเลยร่วมและจำเลยร่วมก็อ้างว่าเป็นของตน การสร้างก็ดี การให้จำเลยอาศัยก็ดี โจทก์ทำแทนจำเลยร่วมทั้งสิ้น ดังนี้ ย่อมไม่ขัดกับข้อต่อสู้ของจำเลยเดิม อนึ่งเมื่อจำเลยเดิมให้การว่า ที่ดินที่ปลูกเรือนนั้นจำเลยร่วมเช่าจากวัดป่าประดู่ และจำเลยร่วมก็อ้างอย่างเดียวกัน เช่นนี้ ย่อมไม่ถือว่าจำเลยร่วมใช้สิทธิขัดกับสิทธิของจำเลยเดิม
(2) ในฟ้องแย้งจำเลยอ้างว่าโรงเรือนรายพิพาทปลูกก่อนจำเลยเช่าที่ดินจากเจ้าของที่ดิน ดังนี้โจทก์จำเลยย่อมไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน และการที่โจทก์อยู่ในที่ดิน หากจะเป็นละเมิด ก็ละเมิดต่อเจ้าของที่ดิน ไม่ใช่ต่อจำเลย จำเลยจึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่โจทก์ จึงไม่มีเหตุจะต้องพิจารณาฟ้องแย้งของจำเลย
(3) ในกรณีที่จำเลยต่อสู้ว่าโรงเรือนพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ แต่เป็นของจำเลยร่วม และจำเลยร่วมได้ขอต่อสู้คดีกับโจทก์ดังกล่าวในข้อ (1) (2) ถ้าข้อเท็จจริงฟังได้ดังฝ่ายจำเลยต่อสู้ โจทก์ก็ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลย เพราะอำนาจเหล่านี้เป็นของเจ้าของทรัพย์ ฉะนั้น การที่ศาลล่างให้จำเลยแพ้คดีโดยอ้างว่าจำเลยอาศัยโจทก์โดยไม่วินิจฉัยว่าโรงเรือนเป็นของโจทก์หรือของจำเลยร่วมจึงไม่ชอบ
(2) ในฟ้องแย้งจำเลยอ้างว่าโรงเรือนรายพิพาทปลูกก่อนจำเลยเช่าที่ดินจากเจ้าของที่ดิน ดังนี้โจทก์จำเลยย่อมไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน และการที่โจทก์อยู่ในที่ดิน หากจะเป็นละเมิด ก็ละเมิดต่อเจ้าของที่ดิน ไม่ใช่ต่อจำเลย จำเลยจึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่โจทก์ จึงไม่มีเหตุจะต้องพิจารณาฟ้องแย้งของจำเลย
(3) ในกรณีที่จำเลยต่อสู้ว่าโรงเรือนพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ แต่เป็นของจำเลยร่วม และจำเลยร่วมได้ขอต่อสู้คดีกับโจทก์ดังกล่าวในข้อ (1) (2) ถ้าข้อเท็จจริงฟังได้ดังฝ่ายจำเลยต่อสู้ โจทก์ก็ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลย เพราะอำนาจเหล่านี้เป็นของเจ้าของทรัพย์ ฉะนั้น การที่ศาลล่างให้จำเลยแพ้คดีโดยอ้างว่าจำเลยอาศัยโจทก์โดยไม่วินิจฉัยว่าโรงเรือนเป็นของโจทก์หรือของจำเลยร่วมจึงไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1089/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในทรัพย์สินพิพาท: ศาลต้องวินิจฉัยกรรมสิทธิ์ก่อนตัดสินคดีขับไล่ หากกรรมสิทธิ์ไม่ชัดเจน โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้อง
(1) เมื่อปรากฏว่าจำเลยเดิมให้การว่า เรือนพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ แต่เป็นของจำเลยร่วม และจำเลยร่วมก็อ้างว่าเป็นของตน การสร้างก็ดี การให้จำเลยอาศัยก็ดี โจทก์ทำแทนจำเลยร่วมทั้งสิ้น ดังนี้ ย่อมไม่ขัดกับข้อต่อสู้ของจำเลยเดิม อนึ่งเมื่อจำเลยเดิมให้การว่า ที่ดินที่ปลูกเรือนนั้นจำเลยร่วมเช่าจากวัดป่าประดู่ และจำเลยร่วมก็อ้างอย่างเดียวกัน เช่นนี้ ย่อมไม่ถือว่าจำเลยร่วมใช้สิทธิขัดกับสิทธิของจำเลยเดิม (2) ในฟ้องแย้งจำเลยอ้างว่าโรงเรือนรายพิพาทปลูกก่อนจำเลยเช่าที่ดินจากเจ้าของที่ดิน ดังนี้ โจทก์จำเลยย่อมไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน และการที่โจทก์อยู่ในที่ดิน หากจะเป็นการละเมิดก็ละเมิดต่อเจ้าของที่ดิน ไม่ใช่ต่อจำเลย จำเลยจึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่โจทก์ จึงไม่มีเหตุจะต้องพิจารณาฟ้องแย้งของจำเลย (3) ในกรณีที่จำเลยต่อสู้ว่า โรงเรือนพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ แต่เป็นของจำเลยร่วมและจำเลยร่วมได้ขอต่อสู้คดีกับโจทก์ดังกล่าวในข้อ (1)(2) ถ้าข้อเท็จจริงฟังได้ดังฝ่ายจำเลยต่อสู้โจทก์ก็ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลย เพราะอำนาจเหล่านี้เป็นของเจ้าของทรัพย์ ฉะนั้น การที่ศาลล่างให้จำเลยแพ้คดีโดยอ้างว่าจำเลยอาศัยโจทก์โดยไม่วินิจฉัยว่าโรงเรือนเป็นของโจทก์หรือของจำเลยร่วมจึงไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1057/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการไม่อนุญาตให้ถอนฟ้องหลังจำเลยให้การ และเงื่อนไขการถอนฟ้องที่ไม่ใช่การประนีประนอม
คดีแพ่ง เมื่อจำเลยยื่นคำให้การแล้ว โจทก์ยื่นคำขอเพื่ออนุญาตให้โจทก์ถอนคำฟ้องนั้น อำนาจศาลมีอยู่เสมอที่จะอนุญาตหรือไม่อนุญาต หรืออนุญาตภายในเงื่อนไขที่เห็นสมควร ข้อจำกัดมีอยู่แต่เพียงว่า ถ้าศาลอนุญาตจะต้องฟังจำเลยหรือผู้ร้องสอดถ้าหากมีก่อนเท่านั้น
โจทก์ขอถอนฟ้อง จำเลยไม่คัดค้านแต่เสนอเงื่อนไขต่อศาลหลายประการนั้น มิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ถอนคำฟ้องเนื่องจากมีข้อตกลงหรือประนีประนอมยอมความกับจำเลย จึงไม่อยู่ในบังคับ มาตรา 175(2) และศาลมีอำนาจโดยบริบูรณ์ที่จะใช้ดุลพินิจไม่อนุญาตให้ถอนฟ้องได้
โจทก์ขอถอนฟ้อง จำเลยไม่คัดค้านแต่เสนอเงื่อนไขต่อศาลหลายประการนั้น มิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ถอนคำฟ้องเนื่องจากมีข้อตกลงหรือประนีประนอมยอมความกับจำเลย จึงไม่อยู่ในบังคับ มาตรา 175(2) และศาลมีอำนาจโดยบริบูรณ์ที่จะใช้ดุลพินิจไม่อนุญาตให้ถอนฟ้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1057/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการไม่อนุญาตให้ถอนฟ้องคดีแพ่ง แม้จำเลยไม่คัดค้าน แต่มีเงื่อนไข
คดีแพ่ง เมื่อจำเลยยื่นคำให้การแล้วโจทก์ยื่นคำขอเพื่ออนุญาตให้โจทก์ถอนคำฟ้องนั้น อำนาจศาลมีอยู่เสมอที่จะอนุญาตหรือไม่อนุญาตหรืออนุญาตภายในเงื่อนไขที่เห็นสมควรข้อจำกัดมีอยู่แต่เพียงว่า ถ้าศาลอนุญาตจะต้องฟังจำเลยหรือผู้ร้องสอดถ้าหากมีก่อนเท่านั้น
โจทก์ขอถอนฟ้อง จำเลยไม่คัดค้านแต่เสนอเงื่อนไขต่อศาลหลายประการนั้น มิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ถอนคำฟ้องเนื่องจากมีข้อตกลงหรือประนีประนอมยอมความกับจำเลย จึงไม่อยู่ในบังคับมาตรา 175 (2) และศาลมีอำนาจโดยบริบูรณ์ที่จะใช้ดุลพินิจไม่อนุญาตให้ถอนฟ้องได้
โจทก์ขอถอนฟ้อง จำเลยไม่คัดค้านแต่เสนอเงื่อนไขต่อศาลหลายประการนั้น มิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ถอนคำฟ้องเนื่องจากมีข้อตกลงหรือประนีประนอมยอมความกับจำเลย จึงไม่อยู่ในบังคับมาตรา 175 (2) และศาลมีอำนาจโดยบริบูรณ์ที่จะใช้ดุลพินิจไม่อนุญาตให้ถอนฟ้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1045/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลี้ยวรถตัดหน้าจักรยานยนต์ใกล้เกินไป ถือเป็นประมาทตามกฎหมายจราจรหรือไม่
พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2477 มาตรา 9 วรรค 3 บัญญัติว่า "ในทางที่ไม่ใช่ทางแยก ห้ามไม่ให้เลี้ยวตัดหน้ารถยนต์หรือรถรางที่กำลังแล่นภายในระยะน้อยกว่าสิบห้าเมตร"
การที่จำเลยเลี้ยวรถจะเข้าทางแพ่งหนึ่งตัดหน้ารถจักรยานยนต์ที่โจทก์ขับขี่มาข้างหลังภายในระยะ 7-8 เมตร จะถือว่าจำเลยฝ่าฝืนบทกฎหมายมาตรานี้ ทำให้โจทก์บาดเจ็บสาหัสโดยประมาทตามอุทธรณ์ของโจทก์หรือไม่ เป็นปัญหาข้อกำหมาย
การที่จำเลยเลี้ยวรถจะเข้าทางแพ่งหนึ่งตัดหน้ารถจักรยานยนต์ที่โจทก์ขับขี่มาข้างหลังภายในระยะ 7-8 เมตร จะถือว่าจำเลยฝ่าฝืนบทกฎหมายมาตรานี้ ทำให้โจทก์บาดเจ็บสาหัสโดยประมาทตามอุทธรณ์ของโจทก์หรือไม่ เป็นปัญหาข้อกำหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1045/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลี้ยวรถตัดหน้าโดยไม่รักษาระยะตามกฎหมายจราจร ถือเป็นความประมาทหรือไม่
พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2477 มาตรา 9 วรรคสามบัญญัติว่า "ในทางที่ไม่ใช่ทางแยก ห้ามไม่ให้เลี้ยวตัดหน้ารถยนต์หรือรถรางที่กำลังแล่นภายในระยะน้อยกว่าสิบห้าเมตร"
การที่จำเลยเลี้ยวรถจะเข้าทางแห่งหนึ่งตัดหน้ารถจักรยานยนต์ที่โจทก์ขับขี่มาข้างหลังภายในระยะ 7-8 เมตร จะถือว่าจำเลยฝ่าฝืนบทกฎหมายมาตรานี้ ทำให้โจทก์บาดเจ็บสาหัสโดยประมาทตามอุทธรณ์ของโจทก์หรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมาย
การที่จำเลยเลี้ยวรถจะเข้าทางแห่งหนึ่งตัดหน้ารถจักรยานยนต์ที่โจทก์ขับขี่มาข้างหลังภายในระยะ 7-8 เมตร จะถือว่าจำเลยฝ่าฝืนบทกฎหมายมาตรานี้ ทำให้โจทก์บาดเจ็บสาหัสโดยประมาทตามอุทธรณ์ของโจทก์หรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1036/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินชายตลิ่งสาธารณสมบัติ: สิทธิครอบครองเป็นโมฆะ แต่มีสิทธิเรียกร้องให้รื้อถอนหากกีดขวางการใช้ประโยชน์ที่ดินของตน
ที่ดินชายตลิ่งซึ่งมีน้ำท่วมถึงอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น ผู้ใดจะอ้างสิทธิครอบครองหาได้ไม่ แม้จำเลยจะได้ทำหนังสือสัญญาเช่าที่ดินดังกล่าวนั้นจากโจทก์มา โจทก์ก็ไม่มีอำนาจฟ้องบังคับขับไล่จำเลยตามสัญญาเช่านั้นได้
ที่ดินชายตลิ่งตรงที่จำเลยปลูกโรงเรือนอยู่ทางด้านกว้างของที่ดินโจทก์ตอนริมคลองบอด เป็นที่กีดขวางระหว่างที่ดินของโจทก์กับคลองบอด ทำให้ที่ดินโจทก์ทางด้านนั้นถูกริดรอนความสะดวกไปบ้างโจทก์ผู้เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ได้รับความเดือดร้อนเพราะถูกบังหน้าที่ดินทางด้านริมคลองเช่นนี้ ย่อมมีสิทธิที่จะให้จำเลยปฏิบัติเพื่อขจัดการนั้นให้สินไปได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1337 ถึงหากว่าโรงเรือนของจำเลยจะไม่ปิดบังหน้าที่ของโจทก์ทางด้านถนนหลวงก็ดี
ที่ดินชายตลิ่งตรงที่จำเลยปลูกโรงเรือนอยู่ทางด้านกว้างของที่ดินโจทก์ตอนริมคลองบอด เป็นที่กีดขวางระหว่างที่ดินของโจทก์กับคลองบอด ทำให้ที่ดินโจทก์ทางด้านนั้นถูกริดรอนความสะดวกไปบ้างโจทก์ผู้เป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ได้รับความเดือดร้อนเพราะถูกบังหน้าที่ดินทางด้านริมคลองเช่นนี้ ย่อมมีสิทธิที่จะให้จำเลยปฏิบัติเพื่อขจัดการนั้นให้สินไปได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1337 ถึงหากว่าโรงเรือนของจำเลยจะไม่ปิดบังหน้าที่ของโจทก์ทางด้านถนนหลวงก็ดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1035/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในที่ดินชายตลิ่งสาธารณสมบัติ vs. การรอนสิทธิการใช้ประโยชน์ที่ดิน
โจทก์ซื้อที่ดิน(ที่มือเปล่า)จากผู้อื่น ด้านยาวทิศใต้จดถนนหลวงด้านกว้างทิศตะวันออกจดคลอง แล้วให้จำเลยเช่าโดยระบุว่า เช่าเพื่อปลูกอาศัย จำเลยใช้ที่ของโจทก์ทำคอกเป็ดและเลี้ยงเป็ด แต่ปลูกโรงเรือนอยู่ในที่ดินต่อกับเขตที่ของโจทก์ออกไปทางทิศตะวันออก เป็นที่ซึ่งน้ำในลำคลองท่วมถึงเป็นปกติเกือบตลอดปี ที่ซึ่งจำเลยปลูกโรงเรือนนี้ย่อมเป็นที่ชายตลิ่งสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามมาตรา 1304 ไม่ใช่ที่งอกริมตลิ่งตามมาตรา 1308 แม้โจทก์จะได้ครอบครองที่รายนี้มา 10 ปีเศษแล้ว แต่เมื่อตรงที่จำเลยปลูกโรงเรือนเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินโจทก์ก็จะอ้างสิทธิครอบครองว่าเป็นของตนหาได้ไม่
แม้โรงเรือนของจำเลยจะไม่บังที่ดินของโจทก์ด้านถนนหลวง แต่ก็ปลูกอยู่ในที่ชายตลิ่งด้านที่ที่ดินโจทก์ติดริมคลอง เป็นที่กีดขวางระหว่างที่ดินของโจทก์กับคลองทำให้ที่ดินของโจทก์ด้านนั้นถูกริดรอนความสะดวกไปบ้างโจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องจำเลยให้รื้อถอนโรงเรือนไปเสียได้ตามมาตรา 1337
โจทก์มุ่งหมายเรียกค่าเสียหายเฉพาะที่ขาดประโยชน์ที่ควรได้จากการเช่า เมื่อศาลพิพากษาให้จำเลยรื้อโรงเรือนอย่าให้ปิดบังกีดขวางหน้าที่ดินของโจทก์ โดยมิใช่เหตุเพราะผิดสัญญาเช่า ศาลก็ไม่บังคับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายด้วย
แม้โรงเรือนของจำเลยจะไม่บังที่ดินของโจทก์ด้านถนนหลวง แต่ก็ปลูกอยู่ในที่ชายตลิ่งด้านที่ที่ดินโจทก์ติดริมคลอง เป็นที่กีดขวางระหว่างที่ดินของโจทก์กับคลองทำให้ที่ดินของโจทก์ด้านนั้นถูกริดรอนความสะดวกไปบ้างโจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องจำเลยให้รื้อถอนโรงเรือนไปเสียได้ตามมาตรา 1337
โจทก์มุ่งหมายเรียกค่าเสียหายเฉพาะที่ขาดประโยชน์ที่ควรได้จากการเช่า เมื่อศาลพิพากษาให้จำเลยรื้อโรงเรือนอย่าให้ปิดบังกีดขวางหน้าที่ดินของโจทก์ โดยมิใช่เหตุเพราะผิดสัญญาเช่า ศาลก็ไม่บังคับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายด้วย