คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
เสนอ บุณยเกียรติ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 664 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 769/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำนองรวมทั้งโฉนดและสิ่งปลูกสร้าง สัญญาจำนองเป็นหลักสำคัญ ห้ามเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้
สัญญาจำนองเป็นการทำหนังสือจดทะเบียนไว้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตราทรัพย์สินของตนไว้เป็นประกันการชำระหนี้สาระสำคัญแห่งการจำนองจึงอยู่ที่ข้อความในหนังสือสัญญาจำนองที่จดทะเบียนไว้สิ่งที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดงก็คือ สัญญาจำนองที่ได้จดทะเบียนไว้นั้นเมื่อสัญญาจำนองระบุไว้ชัดเจนแล้วว่า จำเลยจำนองที่ดินเต็มทั้งโฉนด และสิ่งปลูกสร้างจำนองด้วยทั้งสิ้นจำเลยจะนำสืบว่าได้ตกลงจำนองกันเพียงที่ดินและห้องแถวเพียง16 ห้องในจำนวน 22 ห้องที่มีอยู่ในเวลาทำสัญญานั้นหาได้ไม่ เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94
แม้เอกสารสัญญาก้ที่ลูกหนี้ได้ทำไว้กับโจทก์ก่อนหน้าที่จำเลยทำสัญญาจำนองจะได้กล่าวถึงตึกแถวว่าจำนวน 16 คูหาก็ดี ก็เป็นความตกลงคนละเรื่องคนละรายกับสัญญาจำนองรายนี้
แม้ในสัญญาจำนองจะได้กล่าวไว้ว่า ข้อสัญญาอื่นๆเป็นไปตามสัญญากู้ที่ลูกหนี้ทำไว้กับโจทก์และตามสัญญากู้กล่าวว่าจำนอง 16 ห้องแต่เมื่อสัญญาจำนองระบุไว้ชัดเจนแล้วว่าจำนองที่ดินทั้งโฉนดพร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างด้วยทั้งสิ้น (22 ห้อง) ข้อที่ว่าจะจำนองสิ่งปลูกสร้างมากน้อยเพียงใดจึงไม่ใช่ข้อสัญญาอื่นๆนอกสัญญาจำนองดังนั้นจะตีความว่าจำนองเพียง 16 ห้องตามที่กล่าวในสัญญากู้หาได้ไม่
แม้จะถือว่ากรรมการผู้จัดการบริษัทโจทก์ได้ยินยอมให้จำเลยชักถอนทรัพย์จำนองบางส่วนออกไปเมื่อยังมิได้จัดการแก้ทะเบียนที่ได้ตราไว้ก็ไม่กระทบกระเทือนสัญญาจำนองที่มีอยู่
ธนาคารอุตสาหกรรมร้องขอให้ศาลสั่งขายทอดตลาดทรัพย์สินซึ่งจำนองของผู้จำนองหลายรายซึ่งตราไว้เป็นประกันหนี้รายเดียวกัน ในวงเงินต่างๆ กันผู้จำนองร่วมกันทำคำแถลงต่อสู้คดีโดยขอให้ศาลยกคำร้องดังกล่าวนั้น เป็นการดำเนินคดีร่วมกัน มิได้เสนอต่อศาลขอแบ่งแยกพิพาทเรียงรายตัวบุคคลดังนั้น เมื่อผู้จำนองแพ้คดีศาลย่อมพิพากษาให้ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนฝ่ายที่ชนะคดีได้ ไม่จำต้องแบ่งส่วนตามจำนวนเงินที่แต่ละคนจำนอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 704/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความคลาดเคลื่อนของเวลาในฟ้องอาญา ไม่เป็นเหตุให้ยกฟ้อง หากจำเลยไม่หลงสู้คดี
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำผิดเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2503 เวลากลางคืนหลังเที่ยง ทางพิจารณาก็ได้ความว่าจำเลยกระทำผิดในคืนเดียวกันนั้น แต่เป็นเวลา 3.00 น. ของวันรุ่งขึ้นแล้ว เวลาที่ผิดกันเพียงเท่านี้ไม่ใช่ข้อสาระสำคัญในคดี และเมื่อจำเลยมิได้หลงสู้คดีด้วยแล้ว ก็ไม่เป็นเหตุให้ต้องยกฟ้อง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 704/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความคลาดเคลื่อนของเวลาในฟ้องไม่ถึงเหตุยกฟ้อง หากจำเลยไม่หลงสู้คดี
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำผิดเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2503 เวลากลางคืนหลังเที่ยงทางพิจารณาก็ได้ความว่าจำเลยกระทำผิดในคืนเดียวกันนั้น แต่เป็นเวลา 3.00น. ของวันรุ่งขึ้นแล้ว เวลาที่ผิดกันเพียงเท่านี้ไม่ใช่ข้อสารสำคัญในคดีและเมื่อจำเลยมิได้หลงสู้คดีด้วยแล้ว ก็ไม่เป็นเหตุให้ต้องยกฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 680/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิของบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสีย คัดค้านการขายทอดตลาดเมื่อมีข้อพิพาทเรื่องกรรมสิทธิ์และนิติกรรม
โจทก์ฟ้องบังคับจำนองจำเลย ในที่สุดตกลงกันให้นำที่ดินที่จำนองออกขายทอดตลาดเอาเงินใช้หนี้จำนองโจทก์ก่อนขายมีบุคคลภายนอกยื่นคำร้องต่อศาลขอให้สั่งระงับการขายโดยอ้างว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของที่ดินแปลงนั้นร่วมกับจำเลยและผู้ร้องได้ฟ้องขอให้ศาลสั่งว่าผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยครึ่งหนึ่งแล้วกับยังได้ฟ้องขอให้ศาลสั่งเพิกถอนสัญญาจำนองและสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์จำเลยในคดีนี้ด้วยดังนี้ เมื่อศาลเห็นสมควรก็มีอำนาจใช้ดุลพินิจสั่งงดการขายทอดตลาดที่ดินแปลงนั้นไว้ได้ โดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 292(2) ประกอบกับข้อความในวรรคสุดท้ายของมาตรานั้นและมาตรา 306

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 680/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิของบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสีย คัดค้านการขายทอดตลาดเมื่อมีคดีพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์และนิติกรรม
โจทก์ฟ้องบังคับจำนองจำเลย ในที่สุดตกลงกันให้นำที่ดินที่จำนองออกขายทอดตลาดเอาเงินใช้หนี้จำนองโจทก์ ก่อนขายมีบุคคลภายนอกยื่นคำร้องต่อศาลขอให้สั่งระงับการขาย โดยอ้างว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของที่ดินแปลงนั้นร่วมกับจำเลย และผู้ร้องได้ฟ้องขอให้ศาลสั่งว่าผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยครึ่งหนึ่งแล้ว กับยังได้ฟ้องขอให้ศาลสั่งเพิกถอนสัญญาจำนองและสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์จำเลยในคดีนี้ด้วย ดังนี้ เมื่อศาลเห็นสมควรก็มีอำนาจใช้ดุลพินิจสั่งงดการขายทอดตลาดที่ดินแปลงนั้นไว้ได้ โดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 292 (2) ประกอบกับข้อความในวรรคสุดท้ายของมาตรานั้น และมาตรา 306

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 655/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่เป็นไปตามขั้นตอนกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง: เหตุผลที่ไม่เพียงพอ
การที่จะรับฟังพยานหลักฐานซึ่งคู่ความระบุหรือยื่นฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 และ 90 หรือไม่เพียงไรนั้น ต้องพิจารณาตามพฤติการณ์และเหตุผลเป็นเรื่องๆ ไปคดีที่ศาลให้โจทก์นำสืบก่อนนับแต่วันชี้สองสถานถึงวันสืบพยานโจทก์เป็นระยะเวลาถึง 1 เดือน จำเลยก็ไม่ยื่นบัญชีพยานหรือหาทนายแก้ต่าง แล้วจะอ้างว่าไม่ได้ระบุและส่งสำเนาเอกสารเนื่องจากไม่มีทนายความตนเองไม่ค่อยเข้าใจ ไม่รู้กฎหมาย ดังนี้หาได้ไม่ และที่เพิ่งมายื่นบัญชีพยานและส่งเอกสารที่ตนจะอ้างภายหลังที่โจทก์สืบพยานเสร็จสิ้นแล้วทำให้โจทก์เสียเปรียบด้วยกรณีก็ปราศจากเหตุผลอันสมควรที่จะอนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีพยานและรับฟังพยานหลักฐานนั้นๆ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 655/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานหลักฐานที่ยื่นหลังกำหนด และการไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนวิธีพิจารณาความแพ่ง
การที่จะรับฟังพยานหลักฐานซึ่งคู่ความระบุหรือยื่นฝ่าฝืนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 และ 90 หรือไม่เพียงไรนั้น ต้องพิจารณาตามพฤติการณ์และเหตุผลเป็นเรื่อง ๆ ไป คดีที่ศาลให้โจทก์นำสืบก่อนนับแต่วันชี้สองสถานถึงวันสืบพยานโจทก์เป็นระยะเวลาถึง 1 เดือน จำเลยก็ไม่ยื่นบัญชีพยานหรือหาทนายแก้ต่าง และจะอ้างว่าไม่ได้ระบุและส่งสำเนาเอกสารเนื่องจากไม่มีทนายความ ตนเองไม่ค่อยเข้าใจ ไม่รู้กฎหมาย ดังนี้หาได้ไม่ และที่เพิ่งมายื่นบัญชีพยานและส่งเอกสารที่ตนจะอ้างภายหลังที่โจทก์สืบพยานเสร็จสิ้นแล้ว ทำให้โจทก์เสียเปรียบด้วย กรณีก็ปราศจากเหตุผลอันสมควรที่จะอนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีพยานและรับฟังพยานหลักฐานนั้น ๆ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 648/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ในโรงเรือนที่ปลูกสร้างบนที่ดินของผู้อื่น: การเป็นส่วนควบและข้อยกเว้น
ตามธรรมดาโรงเรือนซึ่งปลูกสร้างลงในที่ดินย่อมเป็นส่วนควบของที่ดิน ใครเป็นเจ้าของที่ดินย่อมมีกรรมสิทธิ์ในโรงเรือนนั้น เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 109 หรือ 1312
จำเลยมาได้บุตรสาวของผู้ร้องเป็นภรรยาและได้เข้าอยู่ร่วมในเรือนของผู้ร้องซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินของผู้ร้อง ต่อมาเรือนเก่าทรุดโทรม จึงรื้อลงสร้างหลังใหม่แทน หากจะฟังว่าจำเลยเป็นผู้ออกเงินค่าก่อสร้างเรือนหลังใหม่นี้ แต่เมื่อเรือนนี้มีลักษณะถาวรติดที่ดิน และไม่ปรากฏเลยว่าจำเลยได้รับสิทธิหรืออำนาจที่จะปลูกเรือนนี้ลงในที่ดินของผู้ร้องแต่ประการใด กรณีจึงไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 109 และไม่ใช่เรื่องที่จำเลยปลูกเรือนรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของผู้ร้องตามมาตรา 1312 ด้วย จึงต้องถือว่าเรือนนี้เป็นส่วนควบของที่ดินที่ปลูกเรือน และตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องตามมาตรา 107 เจ้าหนี้ผู้ชนะคดีจำเลยจะยึดเรือนนี้เพื่อขายเอาชำระหนี้ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 648/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์โรงเรือนสร้างบนที่ดินของผู้อื่น: หลักส่วนควบ, ข้อยกเว้นสิทธิ
ตามธรรมดาโรงเรือนซึ่งปลูกสร้างลงในที่ดิน ย่อมเป็นเป็นส่วนควบของที่ดิน ใครเป็นเจ้าของที่ดินย่อมมีกรรมสิทธิ์ในโรงเรือนนั้นเว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 109หรือ 1312
จำเลยมาได้บุตรสาวของผู้ร้องเป็นภรรยาและได้เข้าอยู่ร่วมในเรือนของผู้ร้องซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินของผู้ร้องต่อมาเรือนเก่าทรุดโทรม จึงรื้อลงสร้างหลังใหม่แทนหากจะฟังว่าจำเลยเป็นผู้ออกเงินค่าก่อสร้างเรือนหลังใหม่นี้ แต่เมื่อเรือนนี้มีลักษณะถาวรติดที่ดินและไม่ปรากฏเลยว่าจำเลยได้รับสิทธิหรืออำนาจที่จะปลูกเรือนนี้ลงในที่ดินของผู้ร้องแต่ประการใดกรณีจึงไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 109 และไม่ใช่เรื่องที่จำเลยปลูกเรือนรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของผู้ร้องตามมาตรา 1312 ด้วย จึงต้องถือว่าเรือนนี้เป็นส่วนควบของที่ดินที่ปลูกเรือนและตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง ตามมาตรา 107 เจ้าหนี้ผู้ชนะคดีจำเลยจะยึดเรือนนี้เพื่อขายเอาชำระหนี้ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 639/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำกัดขอบเขตการสืบพยานและค่าเสียหาย: เมื่อโจทก์พอใจค่าเสียหายที่ศาลชั้นต้นพิพากษา ศาลไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ฎีกาเพิ่มเติม
ถ้าเดิมโจทก์ฟ้องว่าหมิ่นประมาทเรียกค่าเสียหาย 200,000 บาท แต่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ค่าเสียหายเพียง 10,000 บาท แม้โจทก์จะอุทธรณ์ฎีกาให้ย้อนสำนวนไปสืบเรื่องความเสียหายเกี่ยวกับเกียรติคุณของโจทก์ ส่วนค่าเสียหายโจทก์ไม่เรียกร้องเกินกว่าที่ศาลชั้นต้กำหนดให้และไม่เสียค่าขึ้นศษลในทุนทรัพย์เกินกว่านี้ นั้น ศาลจึงไม่สมควรวินิจฉัยอุทธรณ์และฎีกาของโจทก์ในกรณีเช่นนี้ เพราะถึงอย่างไรเสียก็ไม่ได้ค่าเสียหายเกินกว่าจำนวนนั้น
of 67