พบผลลัพธ์ทั้งหมด 424 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 49/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการวินิจฉัยพยานหลักฐานและการไม่ชี้สองสถาน
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มิได้บังคับให้ศาลจำต้องชี้สองสถานเสมอไปฉะนั้น การที่ศาลมิได้ชี้สองสถานในคดีที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้ แต่จำเลยต่อสู้ว่าสัญญากู้โจทก์ทำขึ้นเอง และลายเซ็นช่องผู้กู้ไม่ใช่ลายเซ็นของจำเลยนั้นจึงไม่เป็นการขัดต่อกฎหมาย
การวินิจฉัยพยานหลักฐานนั้น เมื่อศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงที่ยกขึ้นวินิจฉัยเพียงพอแก่การชี้ขาดแล้วก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหยิบยกข้อเท็จจริงอื่นขึ้นวินิจฉัยต่อไป
การวินิจฉัยพยานหลักฐานนั้น เมื่อศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงที่ยกขึ้นวินิจฉัยเพียงพอแก่การชี้ขาดแล้วก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหยิบยกข้อเท็จจริงอื่นขึ้นวินิจฉัยต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 49/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลไม่จำเป็นต้องชี้สองสถานหากพยานหลักฐานเพียงพอ และไม่ต้องวินิจฉัยทุกประเด็นหากข้อเท็จจริงที่ยกขึ้นเพียงพอ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมิได้บังคับให้ศาลจำต้องชี้สองสถานเสมอไป ฉะนั้น การที่ศาลมิได้ชี้สองสถานในคดีที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้ แต่จำเลยต่อสู้ว่าสัญญากู้โจทก์ทำขึ้นเอง และลายเซ็นช่องผู้กู้ไม่ใช่ลายเซ็นของจำเลยนั้น จึงไม่เป็นการขัดต่อกฎหมาย
การวินิจฉัยพยานหลักฐานนั้น เมื่อศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงที่ยกขึ้นวินิจฉัยเพียงพอแก่การชี้ขาดแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหยิบยกข้อเท็จจริงอื่นขึ้นวินิจฉัยต่อไป
การวินิจฉัยพยานหลักฐานนั้น เมื่อศาลเห็นว่าข้อเท็จจริงที่ยกขึ้นวินิจฉัยเพียงพอแก่การชี้ขาดแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหยิบยกข้อเท็จจริงอื่นขึ้นวินิจฉัยต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1226/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เคหะควบคุมตามพ.ร.บ.ควบคุมการเช่าฯ และสิทธิการเช่าหลังขายฝาก
จำเลยเช่าบ้านโจทก์อยู่อาศัยภายหลังที่ประกาศใช้พระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ.2504 แล้วบ้านพิพาทจึงไม่เป็น "เคหะควบคุม" ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว จำเลยจึงไม่ได้รับความคุ้มครอง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 ซึ่งบัญญัติว่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใด ลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ นั้น หมายถึงการต่อสู้คดีด้วย
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 ซึ่งบัญญัติว่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใด ลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ นั้น หมายถึงการต่อสู้คดีด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1214/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับ เพราะประเด็นข้อกฎหมายใหม่ ไม่เคยยกขึ้นว่ากล่าวในศาลอุทธรณ์
ข้อกฎหมายที่จะยกขึ้นอ้างอิงในฎีกานั้น ต้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1214/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกา: ประเด็นใหม่ที่ไม่ได้ยกขึ้นในศาลอุทธรณ์ ไม่อาจนำมาฎีกาได้
ข้อกฎหมายที่จะยกขึ้นอ้างอิงในฎีกานั้น ต้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1200/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดจากการสมรสหลังใช้ประมวลกฎหมายแพ่งฯ บรรพ 5 จำเลยต้องพิสูจน์การขาดจากกันตามกฎหมาย
แม้เป็นสามีภริยากันก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 ถ้าจะขาดจากการสมรสภายหลังที่ใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ก็ต้องอยู่ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ กรณีเรื่องขาดจากการสมรสไม่ใช่ความสัมพันธ์ในครอบครัวอันเกิดจากการสมรสตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติแห่งบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ.2477 แต่เป็นกรณีที่จะสิ้นความสัมพันธ์ต่อกัน
การหย่ากันโดยความยินยอม โดยมิได้ทำเป็นหนังสือตามที่กฎหมายบัญญัติไว้นั้น ไม่มีผลทำให้ขาดจากการสมรส
โจทก์เป็นสามีภริยากับผู้ตาย เมื่อจำเลยอ้างว่าโจทก์กับผู้ตายขาดจากกัน จำเลยต้องนำสืบ
การหย่ากันโดยความยินยอม โดยมิได้ทำเป็นหนังสือตามที่กฎหมายบัญญัติไว้นั้น ไม่มีผลทำให้ขาดจากการสมรส
โจทก์เป็นสามีภริยากับผู้ตาย เมื่อจำเลยอ้างว่าโจทก์กับผู้ตายขาดจากกัน จำเลยต้องนำสืบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1200/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดจากการสมรสหลังใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 และหน้าที่การนำสืบ
แม้เป็นสามีภริยากันก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ถ้าจะขาดจากการสมรสภายหลังที่ใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ก็ต้องอยู่ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ กรณีเรื่องขาดจากการสมรสไม่ใช่ความสัมพันธ์ในครอบครัวอันเกิดจากการสมรสตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติแห่งบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ.2477 แต่เป็นกรณีที่จะสิ้นความสัมพันธ์ต่อกัน
การหย่ากันโดยความยินยอม โดยมิได้ทำเป็นหนังสือตามที่กฎหมายบัญญัติไว้นั้น ไม่มีผลทำให้ขาดจากการสมรส
โจทก์เป็นสามีภริยากับผู้ตาย เมื่อจำเลยอ้างว่าโจทก์กับผู้ตายขาดจากกัน จำเลยต้องนำสืบ
การหย่ากันโดยความยินยอม โดยมิได้ทำเป็นหนังสือตามที่กฎหมายบัญญัติไว้นั้น ไม่มีผลทำให้ขาดจากการสมรส
โจทก์เป็นสามีภริยากับผู้ตาย เมื่อจำเลยอ้างว่าโจทก์กับผู้ตายขาดจากกัน จำเลยต้องนำสืบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1194/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภารจำยอมไม่เกิดเมื่อที่ดินยังเป็นของเจ้าของเดียวกัน การใช้ทางเดินก่อนขายไม่เป็นภารจำยอม
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1387 ภารจำยอมเหนือที่ดินแปลงหนึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็เพื่อประโยชน์แก่ที่ดินแปลงอื่นเท่านั้น เมื่อที่ดินทั้งหมดยังเป็นของโจทก์การที่โจทก์ใช้ที่ดินส่วนหนึ่งเป็นทางเดินเข้าออก ก็เป็นเรื่องโจทก์ใช้อำนาจกรรมสิทธิ์ในที่ดินของตนเอง แม้จะฟังว่าโจทก์ได้ใช้เป็นทางเดินมาถึง 20 ปี ก่อนขายให้จำเลย ก็ไม่ก่อให้เกิดภารจำยอมเหนือที่ดินของโจทก์เอง
โจทก์ฟ้องมุ่งประสงค์จะให้จำเลยเปิดทางเดินซึ่งเป็นภารจำยอมติดที่ดินซึ่งโจทก์แบ่งขายให้จำเลยประการหนึ่ง และจำเลยยังได้ให้สัญญากับโจทก์ว่าจะเปิดทางให้โจทก์เดินด้วยอีกประการหนึ่ง นอกจากนี้ฟ้องโจทก์บรรยายว่าจำเลยได้เว้นทางให้โจทก์เดินเพียงกว้าง 50 เซ็นติเมตร แสดงว่าบุตรโจทก์สามารถเดินเข้าออกได้ หากโจทก์ไม่พอใจจะขอให้จำเลยเปิดทางกว้าง 1.50 เมตร ตามที่อ้างว่าเป็นภารจำยอมหรือมีข้อตกลงจึงได้ฟ้องจำเลย มิใช่ที่ดินของโจทก์ตกอยู่ในที่ล้อมไม่มีทางออก เห็นได้ชัดว่าฟ้องโจทก์มิได้ประสงค์จะอ้างสิทธิในเรื่องทางจำเป็นจึงไม่จำต้องวินิจฉัยข้อฎีกาของโจทก์ต่อไปว่าเป็นทางจำเป็นหรือไม่
โจทก์ฟ้องมุ่งประสงค์จะให้จำเลยเปิดทางเดินซึ่งเป็นภารจำยอมติดที่ดินซึ่งโจทก์แบ่งขายให้จำเลยประการหนึ่ง และจำเลยยังได้ให้สัญญากับโจทก์ว่าจะเปิดทางให้โจทก์เดินด้วยอีกประการหนึ่ง นอกจากนี้ฟ้องโจทก์บรรยายว่าจำเลยได้เว้นทางให้โจทก์เดินเพียงกว้าง 50 เซ็นติเมตร แสดงว่าบุตรโจทก์สามารถเดินเข้าออกได้ หากโจทก์ไม่พอใจจะขอให้จำเลยเปิดทางกว้าง 1.50 เมตร ตามที่อ้างว่าเป็นภารจำยอมหรือมีข้อตกลงจึงได้ฟ้องจำเลย มิใช่ที่ดินของโจทก์ตกอยู่ในที่ล้อมไม่มีทางออก เห็นได้ชัดว่าฟ้องโจทก์มิได้ประสงค์จะอ้างสิทธิในเรื่องทางจำเป็นจึงไม่จำต้องวินิจฉัยข้อฎีกาของโจทก์ต่อไปว่าเป็นทางจำเป็นหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1194/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภารจำยอมไม่เกิดเมื่อเจ้าของที่ดินใช้ทางเดินเองก่อนแบ่งขาย และฟ้องไม่ใช่อ้างทางจำเป็น
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1387 ภารจำยอมเหนือที่ดินแปลงหนึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็เพื่อประโยชน์แก่ที่ดินแปลงอื่นเท่านั้น เมื่อที่ดินทั้งหมดยังเป็นของโจทก์ การที่โจทก์ใช้ที่ดินส่วนหนึ่งเป็นทางเดินเข้าออก ก็เป็นเรื่องโจทก์ให้อำนาจกรรมสิทธิ์ในที่ดินของตนเอง แม้จะฟังว่าโจทก์ได้ใช้เป็นทางเดินมาถึง 20 ปี ก่อนขายให้จำเลย ก็ไม่ก่อให้เกิดภารจำยอมเหนือที่ดินของโจทก์เอง
โจทก์ฟ้องมุ่งประสงค์จะให้จำเลยเปิดทางเดินซึ่งเป็นภารจำยอมติดที่ดินซึ่งโจทก์แบ่งขายให้จำเลยประการหนึ่ง และจำเลยยังได้ให้สัญญากับโจทก์ว่าจะเปิดทางให้โจทก์เดินด้วยอีกประการหนึ่ง นอกจากนี้ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยได้เว้นทางให้โจทก์เดินเพียงกว้าง 50 เซ็นติเมตร แสดงว่าบุตรโจทก์สามารถเดินเข้าออกได้ หากโจทก์ไม่พอใจ จะขอให้จำเลยเปิดทางกว้าง 1.5 เมตร ตามที่อ้างว่าเป็นภารจำยอมหรือมีข้อตกลง จึงได้ฟ้องจำเลย มิใช่ที่ดินของโจทก์ตกอยู่ในที่ล้อมไม่มีทางออก เห็นได้ชัดว่าฟ้องโจทก์มิได้ ประสงค์จะอ้างสิทธิในเรื่องทางจำเป็น จึงไม่จำต้องวินิจฉัยข้อฎีกาของโจทก์ต่อไปว่าเป็นทางจำเป็นหรือไม่
โจทก์ฟ้องมุ่งประสงค์จะให้จำเลยเปิดทางเดินซึ่งเป็นภารจำยอมติดที่ดินซึ่งโจทก์แบ่งขายให้จำเลยประการหนึ่ง และจำเลยยังได้ให้สัญญากับโจทก์ว่าจะเปิดทางให้โจทก์เดินด้วยอีกประการหนึ่ง นอกจากนี้ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยได้เว้นทางให้โจทก์เดินเพียงกว้าง 50 เซ็นติเมตร แสดงว่าบุตรโจทก์สามารถเดินเข้าออกได้ หากโจทก์ไม่พอใจ จะขอให้จำเลยเปิดทางกว้าง 1.5 เมตร ตามที่อ้างว่าเป็นภารจำยอมหรือมีข้อตกลง จึงได้ฟ้องจำเลย มิใช่ที่ดินของโจทก์ตกอยู่ในที่ล้อมไม่มีทางออก เห็นได้ชัดว่าฟ้องโจทก์มิได้ ประสงค์จะอ้างสิทธิในเรื่องทางจำเป็น จึงไม่จำต้องวินิจฉัยข้อฎีกาของโจทก์ต่อไปว่าเป็นทางจำเป็นหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1190/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิออกเสียงเจ้าหนี้ในที่ประชุม, มติที่ประชุมเจ้าหนี้มีผลผูกพัน, การถอนฟ้องคดีไม่ขัดต่อคำพิพากษา
คดีล้มละลาย หนี้จำพวกที่อาจขอรับชำระหนี้ได้ และได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้แล้วก่อนวันประชุมเจ้าหนี้นั้น เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิออกเสียงในที่ประชุมได้ และเมื่อไม่ปรากฏว่าเจ้าหนี้ที่มาประชุมคัดค้านการออกเสียงของเจ้าหนี้รายนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงไม่ต้องสั่งบั่นทอนในการออกเสียงของเจ้าหนี้นั้น และถือว่าเป็นการออกเสียงที่มีผลตามกฎหมายเมื่อจำนวนหนี้ของเจ้าหนี้ฝ่ายที่ลงมติฝ่ายนี้มีมากกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง ต้องถือว่ามติของเจ้าหนี้ฝ่ายที่มีจำนวนหนี้ข้างมากนี้เป็นมติของที่ประชุมด้วย
คดีที่ศาลฎีกาพิพากษาย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไปในฐานะที่โจทก์มีสิทธิดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปได้นั้น ไม่ใช่เป็นคำพิพากษาบังคับให้โจทก์จำต้องดำเนินคดีอย่างใด
คดีที่ศาลฎีกาพิพากษาย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไปในฐานะที่โจทก์มีสิทธิดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปได้นั้น ไม่ใช่เป็นคำพิพากษาบังคับให้โจทก์จำต้องดำเนินคดีอย่างใด