พบผลลัพธ์ทั้งหมด 12 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1906/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญากู้ที่ทำขึ้นโดยถูกข่มขู่เป็นโมฆียะ หากบอกล้างสัญญาก็เป็นโมฆะ
โจทก์กับพวกประมาณ 8 คน ไปที่บ้านจำเลยซึ่งมีเพียงจำเลยอาศัยอยู่กับบุตร 2 คน อายุ 10 ปี และ 12 ปี แล้วโจทก์ข่มขู่จำเลยว่าหากไม่ลงชื่อในสัญญากู้จะรื้อหรือเผาบ้านจำเลยนั้น ถือได้ว่าเป็นภัยถึงขนาดที่จะจูงใจจำเลยให้มีมูลต้องกลัวว่าจะเกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของตนเองอันใกล้จะถึงและร้ายแรงเท่ากับที่จะพึงกลัวต่อการอันเขากรรโชกเอานั้น สัญญากู้ที่จำเลยทำให้แก่โจทก์จึงเป็นโมฆียะ เมื่อโจทก์ฟ้องบังคับตามสัญญากู้ จำเลยให้การปฏิเสธโดยอ้างเหตุดังกล่าว ถือได้ว่าจำเลยบอกล้างสัญญากู้อันเป็นโมฆียะกรรมนั้นแล้วสัญญากู้จึงเป็นโมฆะ โจทก์จึงไม่อาจฟ้องบังคับให้จำเลยรับผิดตามสัญญากู้ดังกล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5334/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือรับสภาพหนี้มีผลบังคับใช้ได้ หากเกิดจากความเข้าใจผิดเรื่องที่ดิน และการข่มขู่เป็นเพียงการใช้สิทธิตามปกติ
การซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์จำเลยตกลงซื้อขายโดยยึดถือจำนวนเนื้อที่เป็นสำคัญปรากฏภายหลังว่าที่ดินที่โจทก์ซื้อจากจำเลยได้รวมเอาที่ดินสาธารณะไว้ด้วยบางส่วน ทำให้เนื้อที่ดินขาดหายไป เมื่อโจทก์ไปขอเงินค่าที่ดินคืนจากจำเลย จำเลยไม่ยอมคืนเงินให้ เช่นนี้ย่อมมีเหตุที่จะทำให้โจทก์เข้าใจได้ว่าจำเลยหลอกลวงโจทก์โดยเอาที่สาธารณะมาขายให้ แม้พฤติการณ์จะยังไม่ปรากฏชัดแจ้งก็ตาม การที่โจทก์พูดขู่จำเลยว่าหากไม่คืนเงินจะฟ้องให้จำเลยติดคุกติดตะราง จำเลยจึงยอมลงลายพิมพ์นิ้วมือในหนังสือรับสภาพหนี้ยอมรับจะใช้เงินที่ขาดคืนแก่โจทก์ เป็นกรณีที่โจทก์ทำไปโดยเชื่อว่าตนมีสิทธิทำได้ตามกฎหมาย ถือได้ว่าเป็นการใช้สิทธิตามปกตินิยม หาใช่การข่มขู่อันจะทำให้นิติกรรมเป็นโมฆียะไม่ หนังสือรับสภาพหนี้จึงมีผลใช้บังคับได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3527/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนอมหนี้ที่ทำภายหลังถูกทวงหนี้และขู่ฟ้อง ไม่ถือเป็นการข่มขู่ทำให้สัญญาเป็นโมฆียะ
จำเลยทำสัญญาประนอมหนี้กับโจทก์ที่สถานีตำรวจโดยโจทก์พูดว่า "ให้เอาเงินมาใช้เสีย ถ้าไม่ใช้จะฟ้องและติดตะราง" พวกของโจทก์พูดว่า "ใช้เสียน้องเอ๋ย ถึงคราวจำเป็นแล้ว ถ้าไม่ใช้จะถูกฟ้องให้ติดตะราง" และพนักงานสอบสวนพูดว่า "ผู้ใหญ่ใช้เสียเรา มีวินัยอยู่มิฉะนั้นจะเป็นโทษอาญานะ" เป็นเรื่องที่โจทก์กับพวกขู่ว่าถ้าจำเลยไม่ใช้เงินโจทก์จะฟ้องเอาผิดกับจำเลยทางอาญา อันเป็นการใช้สิทธิทางศาลโดยสุจริต เป็นการขู่ว่าจะใช้สิทธิตามปกตินิยม ไม่เป็นการข่มขู่อันจะทำให้นิติกรรมเป็นโมฆียะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 126 สัญญาประนอมหนี้จึงสมบูรณ์ใช้บังคับได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3527/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนอมหนี้ที่ทำไปโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้มีการขู่ว่าจะฟ้อง ไม่ทำให้สัญญาเป็นโมฆียะ
จำเลยทำสัญญาประนอมหนี้กับโจทก์ที่สถานีตำรวจโดยโจทก์พูดว่า "ให้เอาเงินมาใช้เสีย ถ้าไม่ใช้จะฟ้องและติดตะราง" พวกของโจทก์พูดว่า "ใช้เสียน้องเอ๋ย ถึงคราวจำเป็นแล้ว ถ้าไม่ใช้จะถูกฟ้องให้ติดตะราง" และพนักงานสอบสวนพูดว่า "ผู้ใหญ่ใช้เสียเรา มีวินัยอยู่มิฉะนั้นจะเป็นโทษอาญานะ" เป็นเรื่องที่โจทก์กับพวกขู่ว่าถ้าจำเลยไม่ใช้เงินโจทก์จะฟ้องเอาผิดกับจำเลยทางอาญา อันเป็นการใช้สิทธิทางศาลโดยสุจริต เป็นการขู่ว่าจะใช้สิทธิตามปกตินิยม ไม่เป็นการข่มขู่อันจะทำให้นิติกรรมเป็นโมฆียะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 126 สัญญาประนอมหนี้จึงสมบูรณ์ใช้บังคับได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1334/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การข่มขู่โดยการแจ้งความดำเนินคดีอาญาไม่ถือว่าเป็นการข่มขู่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 127 สัญญาประนีประนอมยังใช้บังคับได้
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยจะผ่อนชำระหนี้ค่าซื้อที่ดินที่ค้างอยู่ให้แก่โจทก์ ต่อมาจำเลยแก้ตัวเลขปีกำหนดระยะเวลาการชำระหนี้ในสัญญาประนีประนอมยอมความจาก 2521 เป็น 2520 และลงลายมือชื่อกำกับไว้ด้วย เพราะโจทก์กับพวกขู่ว่า หากจำเลยไม่แก้ โจทก์จะเอาเช็คที่จำเลยออกให้แก่ ผู้อื่น ซึ่งมาตกอยู่ในครอบครองของโจทก์ฟ้องคดีอาญาแก่จำเลยฐานออกเช็คไม่มีเงิน ดังนี้ การขู่ของโจทก์เป็นการขู่ว่าจะใช้สิทธิตามปกตินิยม ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 127 ไม่ถือว่าเป็นการข่มขู่ การที่จำเลยแก้กำหนดระยะเวลาการชำระหนี้ในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวจึงไม่เป็นโมฆียะ และมีผลใช้บังคับได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1056/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือรับสภาพหนี้สมบูรณ์หรือไม่? การข่มขู่เป็นเหตุให้โมฆียะ/โมฆะได้หรือไม่? อำนาจฟ้องและฟ้องเคลือบคลุม
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้ค่าน้ำมันปิโตรเลี่ยมตามหนังสือรับสภาพหนี้ที่จำเลยทำให้บริษัทโจทก์ไว้ โดยบรรยายฟ้องว่า จำเลยเป็นหนี้ค่าน้ำมันปิโตรเลียมอยู่แก่บริษัทโจทก์ จำเลยได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้บริษัทโจทก์ไว้รับว่าเป็นหนี้บริษัทโจทก์อยู่ตามจำนวนในหนังสือรับสภาพหนี้นั้นนั้นจริง แต่จำเลยบิดพลิ้วไม่ชำระ จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยให้ชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้แก่โจทก์ ดังนี้ เป็นฟ้องที่ได้กล่าวระบุความอันเป็นมูลกรณีที่ทำให้เปิดอำนาจฟ้องร้องของโจทก์ และเหตุที่จำเลยจะต้องรับผิดชอบต่อโจทก์ เป็นฟ้องที่ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหานั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรค 2 แล้ว แม้จะมิได้ระบุว่าหนี้นั้นเป็นหนี้ค่าน้ำมันปิโตรเลี่ยม เมื่อเดือนไหน ปีไหน กี่ครั้ง ก็หาเป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่
จำเลยอ้างว่า ที่จำเลยยอมทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้บริษัทโจทก์ เพราะบริษัทโจทก์ข่มขู่ว่าจะไม่ส่งน้ำมันที่จำเลยสั่งซื้อให้ จำเลยมีความต้องการที่จะขายน้ำมันของบริษัทโจทก์ต่อไป ทั้งมีลูกค้าสั่งซื้อน้ำมันจากจำเลยรอรับน้ำมันจากจำเลยอยู่เป็นจำนวนมากหากไม่ได้น้ำมันไปจะถูกต่อว่าและเสียลูกค้าจำนวนมากไป ทั้งจะต้องเสียซื่อเสียงในการค้า ตกอยู่ภายใต้บังคับจิตใจไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ จึงต้องทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้บริษัทโจทก์ไว้ ดังนี้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยเป็นหนี้บริษัทโจทก์อยู่ จึงย่อมเป็นการถูกต้องชอบธรรมที่บริษัทโจทก์จะเรียกให้จำเลยชำระ หรือให้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้ การกระทำของบริษัทโจทก์เป็นเพียงการหาทางตกลงในการคิดบัญชีหนี้สิน หรือการเร่งรัดเอาชำระหนี้จากจำเลยตามสิทธิที่มีอยู่ของบริษัทโจทก์เท่านั้น หาเป็นการข่มขู่ถึงขนาดที่จะทำให้หนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวตกเป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 126 ไม่
จำเลยอ้างว่า ที่จำเลยยอมทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้บริษัทโจทก์ เพราะบริษัทโจทก์ข่มขู่ว่าจะไม่ส่งน้ำมันที่จำเลยสั่งซื้อให้ จำเลยมีความต้องการที่จะขายน้ำมันของบริษัทโจทก์ต่อไป ทั้งมีลูกค้าสั่งซื้อน้ำมันจากจำเลยรอรับน้ำมันจากจำเลยอยู่เป็นจำนวนมากหากไม่ได้น้ำมันไปจะถูกต่อว่าและเสียลูกค้าจำนวนมากไป ทั้งจะต้องเสียซื่อเสียงในการค้า ตกอยู่ภายใต้บังคับจิตใจไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ จึงต้องทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้บริษัทโจทก์ไว้ ดังนี้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยเป็นหนี้บริษัทโจทก์อยู่ จึงย่อมเป็นการถูกต้องชอบธรรมที่บริษัทโจทก์จะเรียกให้จำเลยชำระ หรือให้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้ การกระทำของบริษัทโจทก์เป็นเพียงการหาทางตกลงในการคิดบัญชีหนี้สิน หรือการเร่งรัดเอาชำระหนี้จากจำเลยตามสิทธิที่มีอยู่ของบริษัทโจทก์เท่านั้น หาเป็นการข่มขู่ถึงขนาดที่จะทำให้หนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวตกเป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 126 ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1056/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือรับสภาพหนี้สมบูรณ์ แม้มีการโต้แย้งเรื่องการข่มขู่ การฟ้องร้องต้องระบุรายละเอียดหนี้ชัดเจน
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้ค่าน้ำมันปิโตรเลียมตามหนังสือรับสภาพหนี้ที่จำเลยทำให้บริษัทโจทก์ไว้ โดยบรรยายฟ้องว่า จำเลยเป็นหนี้ค่าน้ำมันปิโตรเลียมอยู่แก่บริษัทโจทก์ จำเลยได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้บริษัทโจทก์ไว้รับว่าเป็นหนี้บริษัทโจทก์อยู่ตามจำนวนในหนังสือรับสภาพหนี้นั้นจริง แต่จำเลยบิดพลิ้วไม่ชำระจึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยให้ชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้แก่โจทก์ ดังนี้เป็นฟ้องที่ได้กล่าวระบุความอันเป็นมูลกรณีที่ทำให้เกิดอำนาจฟ้องร้องของโจทก์ และเหตุที่จำเลยจะต้องรับผิดชอบต่อโจทก์ เป็นฟ้องที่ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหานั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรค 2 แล้วแม้จะมิได้ระบุว่าหนี้นั้นเป็นหนี้ค่าน้ำมันปิโตรเลียมเมื่อเดือนไหน ปีไหน กี่ครั้งก็หาเป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่
จำเลยอ้างว่า ที่จำเลยยอมทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้บริษัทโจทก์เพราะบริษัทโจทก์ข่มขู่ว่าจะไม่ส่งน้ำมันที่จำเลยสั่งซื้อให้ จำเลยมีความต้องการที่จะขายน้ำมันของบริษัทโจทก์ต่อไป ทั้งมีลูกค้าสั่งซื้อน้ำมันจากจำเลยรอรับน้ำมันจากจำเลยอยู่เป็นจำนวนมาก หากไม่ได้น้ำมันไปจะต้องถูกต่อว่าและเสียลูกค้าจำนวนมากไป ทั้งจะต้องเสียชื่อเสียงอีกด้วยการข่มขู่ดังกล่าวเป็นภัยที่ถูกคุกคามทำให้หวั่นเกรงต่อเกียรติยศชื่อเสียงในการค้าตกอยู่ภายใต้บังคับจิตใจไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ จึงต้องทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้บริษัทโจทก์ไว้ ดังนี้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยเป็นหนี้บริษัทโจทก์อยู่ จึงย่อมเป็นการถูกต้องชอบธรรมที่บริษัทโจทก์จะเรียกให้จำเลยชำระ หรือให้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้ การกระทำของบริษัทโจทก์เป็นเพียงการหาทางตกลงในการคิดบัญชีหนี้สิน หรือการเร่งรัดเอาชำระหนี้จากจำเลยตามสิทธิที่มีอยู่ของบริษัทโจทก์เท่านั้น หาเป็นการข่มขู่อันถึงขนาดที่จะทำให้หนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวตกเป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 126 ไม่
จำเลยอ้างว่า ที่จำเลยยอมทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้บริษัทโจทก์เพราะบริษัทโจทก์ข่มขู่ว่าจะไม่ส่งน้ำมันที่จำเลยสั่งซื้อให้ จำเลยมีความต้องการที่จะขายน้ำมันของบริษัทโจทก์ต่อไป ทั้งมีลูกค้าสั่งซื้อน้ำมันจากจำเลยรอรับน้ำมันจากจำเลยอยู่เป็นจำนวนมาก หากไม่ได้น้ำมันไปจะต้องถูกต่อว่าและเสียลูกค้าจำนวนมากไป ทั้งจะต้องเสียชื่อเสียงอีกด้วยการข่มขู่ดังกล่าวเป็นภัยที่ถูกคุกคามทำให้หวั่นเกรงต่อเกียรติยศชื่อเสียงในการค้าตกอยู่ภายใต้บังคับจิตใจไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ จึงต้องทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้บริษัทโจทก์ไว้ ดังนี้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยเป็นหนี้บริษัทโจทก์อยู่ จึงย่อมเป็นการถูกต้องชอบธรรมที่บริษัทโจทก์จะเรียกให้จำเลยชำระ หรือให้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้ การกระทำของบริษัทโจทก์เป็นเพียงการหาทางตกลงในการคิดบัญชีหนี้สิน หรือการเร่งรัดเอาชำระหนี้จากจำเลยตามสิทธิที่มีอยู่ของบริษัทโจทก์เท่านั้น หาเป็นการข่มขู่อันถึงขนาดที่จะทำให้หนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวตกเป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 126 ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 707-708/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิไถ่ฝากหลังกำหนด-ข่มขู่-ดอกเบี้ยสัญญาขายฝาก: ศาลฎีกาชี้ขาดสิทธิไถ่แม้หลังกำหนด, การข่มขู่ไม่ทำให้สิทธิสูญ, ดอกเบี้ยสัญญาขายฝากชอบด้วยกฎหมาย
สัญญาขายฝากทำเมื่อ 30 กันยายน 2498 กำหนดไถ่ใน 15 เดือน วันสุดท้ายที่จะไถ่ได้คือวันที่ 31 ธันวาคม 2499 แต่วันนั้นและวันที่ 1 - 2 มกราคม 2500 เป็นวันหยุดราชการ ผู้ขายฝากจึงมีสิทธิขอไถ่ได้ในวันที่ 3 มกราคม 2500 ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 161
ผู้ขายฝากพร้อมที่จะไถ่ได้ในกำหนดแล้ว ผู้ซื้อฝากบิดพลิ้วและข่มขู่ให้ผู้ขายฝากทำหนังสือขึ้นว่าสัญญาขายฝากหมดกำหนดไถ่ถอนแล้ว และทรัพย์หลุดเป็นสิทธิแล้ว ซึ่งไม่ตรงกับความจริง นั้น หนังสือนั้นไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความว่าผู้ขายฝากสละสิทธิไถ่ถอน และไม่ทำให้ผู้ขายฝากหมดสิทธิไถ่ถอน
ขายฝากกัน 7 แสนบาท แต่ระบุในสัญญาเป็น 868,000 บาท โดยผู้ซื้อฝากคิดเอาผลประโยชน์อีกร้อยละ 2 ต่อเดือน ใน 1 ปี นั้น ย่อมทำได้ และเป็นสินไถ่ตามมาตรา 499 ที่ผู้ขายฝากต้องไถ่ในราคานี้ ไม่ฝ่าฝืนความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี
ผู้ขายฝากพร้อมที่จะไถ่ได้ในกำหนดแล้ว ผู้ซื้อฝากบิดพลิ้วและข่มขู่ให้ผู้ขายฝากทำหนังสือขึ้นว่าสัญญาขายฝากหมดกำหนดไถ่ถอนแล้ว และทรัพย์หลุดเป็นสิทธิแล้ว ซึ่งไม่ตรงกับความจริง นั้น หนังสือนั้นไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความว่าผู้ขายฝากสละสิทธิไถ่ถอน และไม่ทำให้ผู้ขายฝากหมดสิทธิไถ่ถอน
ขายฝากกัน 7 แสนบาท แต่ระบุในสัญญาเป็น 868,000 บาท โดยผู้ซื้อฝากคิดเอาผลประโยชน์อีกร้อยละ 2 ต่อเดือน ใน 1 ปี นั้น ย่อมทำได้ และเป็นสินไถ่ตามมาตรา 499 ที่ผู้ขายฝากต้องไถ่ในราคานี้ ไม่ฝ่าฝืนความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 866/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาแบ่งที่ดินที่ทำขึ้นจากการข่มขู่ และผลกระทบต่อการเพิกถอนการโอนขายที่ดิน
ข่มขู่ให้เจ้าของที่ดินทำสัญญาแบ่งที่ดินให้ ภายหลังเจ้าของที่ดินทำสัญญาโอนขายที่ดินนั้นให้ผู้อื่น จึงฟ้องขอให้เพิกถอนการโอน เจ้าของที่ดินต่อสู้กรรมสิทธิ์ และขอบอกล้างโมฆียะกรรมนั้น เสียในชั้นให้การต่อสู้คดี ดังนี้ ศาลจะบังคับให้แบ่งที่ตามสัญญาไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 866/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาแบ่งที่ดินที่ทำขึ้นจากการข่มขู่ และการบอกล้างโมฆียะกรรม การเพิกถอนนิติกรรม
ข่มขู่ให้เจ้าของที่ดินทำสัญญาแบ่งที่ดินให้ ภายหลังเจ้าของที่ดินทำสัญญาโอนขายที่ดินนั้นให้ผู้อื่น จึงฟ้องขอให้เพิกถอนการโอน เจ้าของที่ดินต่อสู้กรรมสิทธิ์ และขอบอกล้างโมฆียะกรรมนั้นเสียในชั้นให้การต่อสู้คดีดังนี้ศาลจะบังคับให้แบ่งที่ตามสัญญาไม่ได้