คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สิทธิ เกตุทัต

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 36 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 95/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแจ้งความเท็จและการช่วยเหลือผู้ต้องหาต้องมีองค์ประกอบความผิดครบถ้วนตามกฎหมาย หากฟ้องขาดองค์ประกอบ ศาลย่อมลงโทษไม่ได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 172 แต่ไม่ได้ระบุมาว่า การที่จำเลยแจ้งความเท็จนั้น อาจทำให้ผู้ใดหรือประชาชนเสียหาย แม้จะอ่านคำบรรยายฟ้องโดยทั่วไปก็ไม่อาจทราบความข้อนี้ได้ ดังนี้ ฟ้องโจทก์ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตราดังกล่าวนั้นจึงลงโทษจำเลยไม่ได้
การช่วยผู้อื่นเพื่อไม่ให้ต้องโทษอันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 189 นั้นจะต้องกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ 1.โดยให้ที่พัก หรือ 2.โดยซ่อนเร้นหรือ 3.โดยช่วยอย่างอื่นเพื่อไม่ให้ถูกจับกุม การบรรยายฟ้องมีใจความแต่เพียงว่าจำเลยกล่าวเท็จต่อเจ้าพนักงานในเรื่องทำพินัยกรรมเพื่อช่วยเหลือพวกที่ต้องหาว่าสมคบกันทำพินัยกรรมปลอมเพื่อไม่ให้ต้องโทษ และเมื่ออ่านคำฟ้องโดยตลอดแล้วก็ไม่อาจทราบได้ว่าโจทก์หาว่าจำเลยกระทำเพื่อไม่ให้ผู้ต้องหาถูกจับกุม ดังนี้ เป็นคำฟ้องที่ขาดองค์ความผิดตามมาตรา 189 จะลงโทษจำเลยย่อมไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 95/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ องค์ประกอบความผิด มาตรา 172 และ 189 อาญา: ความเสียหายและวิธีการช่วยเหลือต้องชัดเจน
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา172 แต่ไม่ได้ระบุมาว่า การที่จำเลยแจ้งความเท็จนั้นอาจทำให้ผู้ใดหรือประชาชนเสียหายแม้จะอ่านคำบรรยายฟ้องโดยทั่วไปก็ไม่อาจทราบความข้อนี้ได้ดังนี้ ฟ้องโจทก์ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตราดังกล่าวนั้น จึงลงโทษจำเลยไม่ได้
การช่วยผู้อื่นเพื่อไม่ให้ต้องโทษอันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 189 นั้น จะต้องกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งคือ 1. โดยให้ที่พัก หรือ 2. โดยซ่อนเร้น หรือ 3. โดยช่วยอย่างอื่นเพื่อไม่ให้ถูกจับกุม การบรรยายฟ้องมีใจความแต่เพียงว่า จำเลยกล่าวเท็จต่อเจ้าพนักงานในเรื่องทำพินัยกรรมเพื่อช่วยเหลือพวกที่ต้องหาว่าสมคบกันทำพินัยกรรมปลอมเพื่อไม่ให้ต้องโทษและเมื่ออ่านคำฟ้องโดยตลอดแล้วไม่อาจทราบได้ว่าโจทก์หาว่าจำเลยกระทำเพื่อไม่ให้ผู้ต้องหาถูกจับกุมดังนี้ เป็นคำฟ้องที่ขาดองค์ความผิดตามมาตรา 189 จะลงโทษจำเลยไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 94/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้เช็คโดยมีเจตนาทุจริตเป็นองค์ประกอบความผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค
กรณีห้ามธนาคารมิให้ใช้เงินตามเช็คนั้น จะต้องเป็นการกระทำไปโดยมีเจตนาทุจริตจำเลยจึงมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 45/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาบุกรุกที่ดิน: ศาลอาญาต้องฟังตามข้อเท็จจริงที่ศาลล่างวินิจฉัย และประเด็นสิทธิที่ดินเป็นเรื่องแพ่ง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกที่ดินของโจทก์ซึ่งมีราคา 6หมื่นกว่าบาท และทำลายทรัพย์สินในที่ดินนั้น ขอให้ลงโทษและขับไล่จำเลยจำเลยปฏิเสธว่ามิได้บุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ กับต่อสู้ว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยศาลชั้นต้นฟังว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยกระทำผิดจริง พิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 363 และ 358ปรับ 550 บาท และให้ขับไล่จำเลยกับให้ใช้ค่าเสียหายศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะว่าให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 363 แต่บทเดียวปรับ 500 บาท นอกจากที่แก้นี้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนี้ ข้อที่จำเลยฎีกาต่อมาว่า จำเลยโต้แย้งสิทธิที่ดินที่พิพาทในทางแพ่งมาตั้งแต่ก่อนโจทก์ฟ้องไม่เป็นการบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญาเพราะขาดเจตนานั้น ย่อมเป็นฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งศาลล่างฟังมาแล้วว่าจำเลยมีเจตนาบุกรุกจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220ส่วนข้อที่จำเลยฎีกาในทางแพ่งว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย แม้จะเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งแต่ประเด็นนี้ ในคดีส่วนอาญา ศาลล่างก็ฟังเป็นยุติแล้วว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ศาลฎีกาจึงต้องฟังข้อเท็จจริงว่าเป็นเช่นนั้นด้วย ไม่มีทางฟังเป็นอย่างอื่นไปได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 45/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบุกรุกที่ดิน: ศาลฎีกาเน้นยึดข้อเท็จจริงที่ศาลล่างฟังเป็นยุติในคดีอาญา แม้จำเลยโต้แย้งสิทธิในที่ดิน
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกที่ดินของโจทก์ ซึ่งมีราคา 6 หมืนกว่าบาท และทำลายทรัพย์สินในที่ดินนั้น ขอให้ลงโทษและขับไล่จำเลย จำเลยปฏิเสธว่ามิได้บุกรุกและทำให้เสียทรัพย์กับต่อสู้ว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลย ศาลชั้นต้นฟังว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยกระทำผิดจริง พิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 363 และ358 ปรับ 550 บาท และให้ขับไล่จำเลยกับให้ใช้ค่าเสียหาย ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะว่าให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 363 แต่บทเดียวปรับ 500 บาท นอกจากที่แก้นี้คงยืนตามคำพิพากษาศษลชั้นต้น ดังนี้ ่ข้อที่จำเลยฎีกาต่อมาว่า จำเลยโต้แย้งสิทธิที่ดินพิพาทในทางแพ่งมาตั้งแต่ก่อนโจทก์ฟ้อง ไม่เป็นการบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญาเพราะขาดเจตนานั้น ย่อมเป็นฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งศาลล่างฟังมาแล้วว่าจำเลยมีเจตนาบุกรุก จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ส่วนข้อที่จำเลยฎีกาในทางแพ่งว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย แม้จะเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แต่ประเด็นนี้ ในคดีส่วนอาญา ศาลล่างก็ฟังเป็นยุติแล้วว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ศาลฎีกาจึงต้องฟังข้อเท็จจริงว่าเป็นเช่นนั้นด้วย ไม่มีทางฟังเป็นอย่างอื่นไปได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1989/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำด่าที่มีความหมายดูหมิ่นชัดเจน ไม่จำเป็นต้องสืบอธิบายความหมาย การแก้ไขคำในฟ้องเล็กน้อยไม่ทำให้คดีเสีย
คำกล่าวดูหมิ่นว่า "กูไม่เอามึงให้เสียน้ำ อีหน้าหัวควยพรรค์นี้"เป็นถ้อยคำที่มีความหมายดูหมิ่นผู้อื่นอยู่ในตัวแล้ว เพราะเป็นถ้อยคำที่สามัญชนเข้าใจได้ชัดอยู่ในตัวเองไม่ใช่ถ้อยคำพิเศษ ส่วนถ้อยคำพิเศษนั้นเป็นถ้อยคำที่สามัญชนฟังแล้วไม่เข้าใจ หรือฟังแล้วแปลเป็น 2 แง่ได้โจทก์ไม่ต้องนำสืบอธิบาย
ฟ้องว่า จำเลยดูหมิ่นผู้เสียหายซึ่งเป็นหญิงว่า "กูไม่เอามึงให้เสียน้ำ อีหน้าหัวควยพรรค์นี้ฯลฯ" แต่ชั้นพิจารณา ผู้เสียหายให้การว่าจำเลยดูหมิ่นผู้เสียหายว่า "กูไม่เอามึงให้เสียน้ำ ไอ้หน้าควยพรรค์นี้อีเฮงซวย" เป็นการแตกต่างกันแต่เพียงพลความไม่ใช่แตกต่างกันในข้อสารสำคัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1989/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำด่าที่มีความหมายดูหมิ่นชัดเจน ไม่จำเป็นต้องสืบความหมายเพิ่มเติม แม้ข้อเท็จจริงบางส่วนต่างจากฟ้อง ก็ไม่ถึงขนาดทำให้คดีเสีย
คำกล่าวดูหมิ่นว่า "กูไม่เอามึงให้เสียน้ำ อีหน้าหัวควยพรรค์นี้" เป็นถ้อยคำที่มีความหมายดูหมิ่นผู้อื่นอยู่ในตัวแล้ว เพราะเป็นถ้อยคำที่สามัญชนเข้าใจได้ชัดอยู่ในตัวเอง ไม่ใช่ถ้อยคำพิเศษ ส่วนถ้อยคำพิเศษนั้น เป็นถ้อยคำที่สามัญชนฟังแล้วไม่เข้าใจ หรือฟังแล้วแปลเป็น 2 แง่ได้ โจทก์ไม่ต้องนำสืบอธิบาย
ฟ้องว่า จำเลยดูหมิ่นผู้เสียหายซึ่งเป็นหญิงว่า "กูไม่เอามึงให้เสียน้ำ อีหน้าหัวควยพรรค์นี้ฯลฯ" แต่ชั้นพิจารณา ผู้เสียหายให้การว่าจำเลยดูหมิ่นผู้เสียหายว่า "กูไม่เอากับมึงให้เสียน้ำ ไอ้หน้าควยพรรค์นี้ อีเฮงซวย" เป็นการแตกต่างกันแต่เพียงพอความ ไม่ใช่แตกต่างกันในข้อสารสำคัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1978/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ไม้ที่โค่นก่อนมีกฎหมายใหม่ ไม้แปรรูปในครอบครองไม่ผิด แม้ต่อมาเป็นไม้หวงห้าม
ไม้ยางที่ขึ้นในที่ดินของจำเลย จำเลยได้ตัดฟันก่อนใช้พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2503 ย่อมไม่เป็นความผิด และการมีไม้แปรรูปนั้น ต่อมาภายหลังเมื่อประกาศใช้พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4 ) พ.ศ.2503 แล้วไม้แปรรูปนั้นย่อมไม่กลายเป็นไม้หวงห้าม จำเลยมีไว้ไม่ต้องขออนุญาต

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1978/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ไม้ที่ตัดก่อนบังคับใช้ พ.ร.บ.ป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2503 ไม่เป็นความผิด และไม้แปรรูปไม่ต้องขออนุญาต
ไม้ยางที่ขึ้นในที่ดินของจำเลย จำเลยได้ตัดฟันก่อนใช้พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2503 ย่อมไม่เป็นความผิด และการมีไม้แปรรูปนั้นต่อมาภายหลังเมื่อประกาศใช้พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2503 แล้วไม้แปรรูปนั้นย่อมไม่กลายเป็นไม้หวงห้ามจำเลยมีไว้ไม่ต้องขออนุญาต

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1906/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุปกรณ์ใช้ในการกระทำผิดป่าไม้ต้องริบตามกฎหมาย
เรือยนต์และเชือกที่ใช้ลากจูงเรือฉลอมซึ่งบรรทุกไม้ของกลางเคลื่อนที่หรือนำออกจากที่ไปก็ดี เรือฉลอมนั้นเองก็ดี ถือว่าเป็นอุปกรณ์ทีได้ใช้ให้ได้รับผลในการกระทำความผิด คือได้รับผลในการนำไปไว้ในครอบครองให้บริบูรณ์ขึ้นต้องริบ ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2503 มาตรา 18 เพิ่มความเป็นมาตรา 74 ทวิแห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484
of 4