พบผลลัพธ์ทั้งหมด 509 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 115/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาความรับผิดของจำเลยที่ 3 ในคดีร่วมกันยักยอกทรัพย์: การวินิจฉัยข้อเท็จจริงและความเชื่อมโยงกับจำเลยอื่น
ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานนำสืบพาดพิงว่าจำเลยที่ 3 ได้เกี่ยวข้องกับการยักยอกตั๋วสัญญาใช้เงินที่โจทก์ฟ้องดังนี้ เท่ากับฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 3 ไม่ได้กระทำการตามที่โจทก์ฟ้อง มิได้ฟังว่าจำเลยที่3 กระทำการตามที่โจทก์ฟ้องแล้วแต่เห็นว่าการกระทำนั้นไม่เป็นผิดกฎหมายดังนั้น อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าศาลชั้นต้นก็ได้สั่งว่าคดีมีมูลสำหรับจำเลยที่ 1-2 ฉะนั้นมูลคดีที่โจทก์กล่าวหาในฟ้องเป็นฐานความผิดเดียวกันการกระทำของจำเลยทั้ง 3 เป็นกรณีเดียวกันซึ่งเข้าข้อกฎหมายเข้าในเหตุลักษณะคดีคดีของโจทก์ต้องมีมูลทั้ง 3 คนนั้น จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
ข้อที่ว่าตั๋วสัญญาใช้เงินไม่ใช่ตั๋วใช้เงินธรรมดาแต่เป็นตั๋วมีเงื่อนไขให้หักเงินค่าจ้างจากผลงานชดใช้เงินตามตั๋วได้ซึ่งจำเลยก็ทราบดี เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
ข้อที่ว่า เท่าที่โจทก์นำพยานบุคคลและพยานเอกสารเข้าสืบต่อศาล พอฟังได้ว่าในชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่าคดีโจทก์มีมูล ก็เป็นการเถียงข้อเท็จจริง
ข้อที่ว่าตั๋วสัญญาใช้เงินไม่ใช่ตั๋วใช้เงินธรรมดาแต่เป็นตั๋วมีเงื่อนไขให้หักเงินค่าจ้างจากผลงานชดใช้เงินตามตั๋วได้ซึ่งจำเลยก็ทราบดี เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
ข้อที่ว่า เท่าที่โจทก์นำพยานบุคคลและพยานเอกสารเข้าสืบต่อศาล พอฟังได้ว่าในชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่าคดีโจทก์มีมูล ก็เป็นการเถียงข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 115/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คดีอาญา: ศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงเป็นหลัก การพิจารณาว่ามีมูลคดีหรือไม่เป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานนำสืบพาดพิงว่าจำเลยที่ 3 ได้เกี่ยวข้องกับการยักยอกตั๋วสัญญาใช้เงินที่โจทก์ฟ้อง ดังนี้ เท่ากับฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 3 ไม่ได้กระทำการตามที่โจทก์ฟ้อง มิได้ฟังว่าจำเลยที่ 3 กระทำการตามที่โจทก์ฟ้องแล้ว แต่เห็นว่าการกระทำนั้นไม่เป็นผิดกฎหมาย ดังนั้น อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าศาลชั้นต้นก็ได้สั่งว่าคดีมีมูลสำหรับจำเลยที่ 1 - 2 ฉะนั้นมูลคดีที่โจทก์กล่าวหาในฟ้องเป็นฐานความผิดเดียวกัน การกระทำของจำเลยทั้ง 3 เป็นกรณีเดียวกันซึ่งเข้าข้อกฎหมายเข้าในเหตุลักษณะคดี คดีของโจทก์ต้องมีมูลทั้ง 3 คนนั้น จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
ข้อที่ว่าตั๋วสัญญาใช้เงินไม่ใช่ตั๋วใช้เงินธรรมดาแต่เป็นตั๋วมีเงื่อนไขให้หักเงินค่าจ้างจากผลงานชดใช้เงินตามตั๋วได้ ซึ่งจำเลยก็ทราบดี เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
ข้อที่ว่า เท่าที่โจทก์นำพยานบุคคลและพยานเอกสารเข้าสืบต่อศาล พอฟังได้ว่าในชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่าคดีโจทก์มีมูล ก็เป็นการเถียงข้อเท็จจริง
ข้อที่ว่าตั๋วสัญญาใช้เงินไม่ใช่ตั๋วใช้เงินธรรมดาแต่เป็นตั๋วมีเงื่อนไขให้หักเงินค่าจ้างจากผลงานชดใช้เงินตามตั๋วได้ ซึ่งจำเลยก็ทราบดี เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
ข้อที่ว่า เท่าที่โจทก์นำพยานบุคคลและพยานเอกสารเข้าสืบต่อศาล พอฟังได้ว่าในชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่าคดีโจทก์มีมูล ก็เป็นการเถียงข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 79/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตีความคำว่า 'ผ่าน' ในความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ มาตรา 41 ต้องพิจารณาความหมายตามพจนานุกรม
พระราชบัญญัติป่าไม้ฯ มาตรา 41 บัญญัติห้ามมิให้ผู้ใดนำไม้หรือของป่าผ่านด่านป่าไม้ในระหว่างเวลาตั้งแต่พระอาทิตย์ตกถึงเวลาพระอาทิตย์ขึ้นเว้นแต่จะได้รับอนุญาตฯลฯแต่พระราชบัญญัติป่าไม้ไม่มีวิเคราะห์ศัพท์คำว่า 'ผ่าน' ก็ต้องตีความหมายธรรมดา (ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน) หมายถึงกิริยาที่ล่วงพ้นไป ตัดไปลัดไป หรือข้ามไปฉะนั้นเมื่อคดีได้ความว่าจำเลยเพียงแต่นำไม้เข้ามาในเขตด่านป่าไม้ จะแปลว่าจำเลยได้นำไม้ผ่านด่านป่าไม้ไม่ได้จำเลยไม่มีความผิดตามมาตรา 41
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 79/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตีความคำว่า 'ผ่าน' ใน พ.ร.บ.ป่าไม้ฯ จำเลยเพียงนำไม้เข้าเขตด่านป่าไม้ ไม่ถือว่า 'ผ่าน' ด่าน
พ.ร.บ.ป่าไม้ ฯ มาตรา 41 บัญญัติห้ามมิให้ผู้ใดนำไม้หรือของป่าผ่านด่านป่าไม้ในระหว่างเวลาตั้งแต่พระอาทิตย์ตกถึงเวลาพระอาทิตย์ขึ้น เว้นแต่จะได้รับอนุญาต ฯลฯ แต่พระราชบัญญัติป่าไม้ไม่มีวิเคราะห์ศัพท์คำว่า "ผ่าน" ก็ต้องตีความหมายธรรมดา (ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน) หมายถึงกิริยาที่ล่วงพ้นไป ตัดไป ลัดไป หรือข้ามไป ฉะนั้น เมื่อคดีได้ความว่าจำเลยเพียงแต่นำไม้เข้ามาในเขตด่านป่าไม้จะแปลว่าจำเลยได้นำไม้ผ่านด่านป่าไม้ไม่ได้ จำเลยไม่มีความผิดตามมาตรา 41.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1631-1634/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเล่นแชร์เปียหวยเป็นสัญญาที่ใช้บังคับได้ แม้ไม่ใช่การกู้ยืมและไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ
การเล่นแชร์เปียหวยไม่เป็นการกู้ยืม แม้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือก็ฟ้องร้องกันได้ การประมูลให้ดอกเบี้ยกัน ถือไม่ได้ว่าเป็นการให้ดอกเบี้ยในการกู้ยืม เป็นลักษณะการประมูลว่าใครจะให้ประโยชน์สูงกว่ากันเท่านั้น มิได้กำหนดอัตราให้เรียกร้องกันได้อย่างใด จึงไม่อยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654
การเล่นแชร์เปียหวยเกิดขึ้นจากความตกลงกันในระหว่างผู้เล่น จึงเป็นสัญญาชนิดหนึ่ง เมื่อไม่มีกฎหมายห้ามก็ใช้บังคับได้ แม้จะไม่เป็นการกู้ยืม จำเลยก็ไม่มีเหตุที่จะอ้างได้ว่าจำเลยได้ทรัพย์ไปโดยไม่มีมูลที่จะอ้างได้ตามกฎหมาย กรณีไม่เป็นลาภมิควรได้ (อ้างฎีกาที่ 629/2486)
การเล่นแชร์เปียหวยเกิดขึ้นจากความตกลงกันในระหว่างผู้เล่น จึงเป็นสัญญาชนิดหนึ่ง เมื่อไม่มีกฎหมายห้ามก็ใช้บังคับได้ แม้จะไม่เป็นการกู้ยืม จำเลยก็ไม่มีเหตุที่จะอ้างได้ว่าจำเลยได้ทรัพย์ไปโดยไม่มีมูลที่จะอ้างได้ตามกฎหมาย กรณีไม่เป็นลาภมิควรได้ (อ้างฎีกาที่ 629/2486)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1631-1634/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเล่นแชร์เปียหวยไม่เป็นการกู้ยืม สัญญาใช้บังคับได้ ไม่ขาดอายุความ
การเล่นแชร์เปียหวยไม่เป็นการกู้ยืม แม้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือก็ฟ้องร้องกันได้ การประมูลให้ดอกเบี้ยกัน ถือไม่ได้ว่าเป็นการให้ดอกเบี้ยในการกู้ยืม เป็นลักษณะการประมูลว่าใครจะให้ประโยชน์สูงกว่ากันเท่านั้น มิได้กำหนดอัตราให้เรียกร้องกันได้อย่างไร จึงไม่อยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654
การเล่นแชร์เปียหวยเกิดขึ้นจากความตกลงกันในระหว่างผู้เล่น จึงเป็นสัญญาชนิดหนึ่ง เมื่อไม่มีกฎหมายห้ามก็ใช้บังคับได้ แม้จะไม่เป็นการกู้ยืม จำเลยก็ไม่มีเหตุที่จะอ้างได้ว่าจำเลยได้ทรัพย์ไปโดยไม่มีมูลที่จะอ้างได้ตามกฎหมาย กรณีไม่เป็นลาภมิควรได้ (อ้างฎีกาที่ 629/2486)
การเล่นแชร์เปียหวยเกิดขึ้นจากความตกลงกันในระหว่างผู้เล่น จึงเป็นสัญญาชนิดหนึ่ง เมื่อไม่มีกฎหมายห้ามก็ใช้บังคับได้ แม้จะไม่เป็นการกู้ยืม จำเลยก็ไม่มีเหตุที่จะอ้างได้ว่าจำเลยได้ทรัพย์ไปโดยไม่มีมูลที่จะอ้างได้ตามกฎหมาย กรณีไม่เป็นลาภมิควรได้ (อ้างฎีกาที่ 629/2486)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1620/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้แทนของนิติบุคคลในความผิดอาญา: กรรมการผู้จัดการต้องรับผิดเมื่อบริษัทกระทำผิด
จำเลยที่ 1 เป็นบริษัทจำกัด เป็นนิติบุคคล จึงเป็นเพียงบุคคลสมมุติโดยอำนาจของกฎหมาย ดำเนินหรือปฏิบัติงานตามวัตถุประสงค์ของบริษัทด้วยตนเองไม่ได้ ต้องดำเนินหรือปฏิบัติงานโดยผู้แทน จำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้จัดการ จึงเป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินหรือปฏิบัติงานของบริษัทจำเลยที่ 1 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าบริษัทจำเลยที่ 1 กระทำผิด ก็ได้ชื่อว่าเป็นการกระทำของจำเลยที่ 2 ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1617/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความมีขอบเขตจำกัดเฉพาะเงินมัดจำ การผิดสัญญาซื้อขายสุราหลังสัญญาประนีประนอมไม่ถือเป็นการผิดสัญญายอมความ
สัญญาประนีประนอมยอมความมีข้อความว่า จำเลยยอมให้เงินโจทก์ 9,600 บาท ถ้าโจทก์กับจำเลยตกลงทำสัญญาค้าสุราขายส่งตำบลภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้แล้วถือว่าเงินจำนวนนี้เป็นเงินมัดจำของสัญญา ซึ่งโจทก์กับจำเลยจะได้กระทำกันต่อไป ถ้าพ้นกำหนดไปแล้วถือว่าโจทก์ไม่ติดใจจะทำสัญญาค้าสุรากับจำเลยต่อไป ดังนี้แม้ต่อมาจำเลยจะไม่ยอมขายสุราให้โจทก์ โจทก์ก็จะมาขอให้ศาลบังคับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเพราะถือว่าจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความมิได้เพราะมิใช่เป็นการขอให้บังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1617/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตสัญญาประนีประนอมยอมความ: การเจรจาทำสัญญาเพิ่มเติมไม่ถือเป็นผิดสัญญาเดิม
สัญญาประนีประนอมยอมความมีข้อความว่าจำเลยยอมให้เงินโจทก์ 9,600 บาท ถ้าโจทก์กับจำเลยตกลงทำสัญญาค้าสุราขายส่งตำบลภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้แล้วถือว่าเงินจำนวนนี้เป็นเงินมัดจำของสัญญา ซึ่งโจทก์กับจำเลยจะได้กระทำกันต่อไป ถ้าพ้นกำหนดไปแล้วถือว่าโจทก์ไม่ติดใจจะทำสัญญาค้าสุรากับจำเลยต่อไป ดังนี้ แม้ต่อมาจำเลยจะไม่ยอมขายสุราให้โจทก์ โจทก์ก็จะมาขอให้ศาลบังคับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเพราะถือว่าจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความมิได้เพราะมิใช่เป็นการขอให้บังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1610/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้อง, การแก้ฟ้อง, และการรับรองนิติบุคคล: ข้อจำกัดในการยกข้อต่อสู้ในชั้นฎีกาและการเปลี่ยนแปลงผู้รับมอบอำนาจ
ประเด็นที่ว่า โจทก์ไม่เป็นนิติบุคคลและใบมอบอำนาจไม่ปิดอากรแสตมป์ จำเลยมิได้ยกขึ้นเป็นข้อโต้เถียงคัดค้านในชั้นศาลอุทธรณ์ เพิ่งมายกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกา เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 และในชั้นอุทธรณ์ จำเลยก็ได้กล่าวรับรองว่าโจทก์เป็นนิติบุคคล จำเลยเถียงข้อนี้ไม่ขึ้น
สำเนาใบมอบอำนาจให้ดำเนินคดีมิใช่ต้นฉบับหรือคู่ฉบับหรือคู่ฉีก ไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร
เมื่อผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์คนเดิมพ้นหน้าที่ไป ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์อีกคนหนึ่งดำเนินกิจการแทนโจทก์ ทนายความผู้รับแต่งตั้งจากผู้รับมอบอำนาจคนเดิมทำคำร้องขอแก้ฟ้อง โดยขอเปลี่ยนตัวผู้รับมอบอำนาจเสียใหม่ถือว่าโจทก์ได้ดำเนินการตั้งแต่งทนายความฟ้องคดีโดยถูกต้องสมบูรณ์มาแต่แรก ทนายความของโจทก์จึงมีอำนาจดำเนินคดีแทนโจทก์ตลอดไปจนกว่าจะถูกสั่งถอน การพ้นหน้าที่ของผู้รับมอบอำนาจคนเดิมไม่ทำให้ทนายความหมดอำนาจดำเนินคดีแทนโจทก์ การแก้ฟ้องของโจทก์มีผลเพียงเพื่อให้ทราบว่าบัดนี้โจทก์ได้เปลี่ยนตัวผู้รับมอบอำนาจดำเนินกิจการหรือดำเนินคดีในนามของโจทก์ในกาลต่อไปเท่านั้น การที่ผู้รับมอบอำนาจคนใหม่เข้าดำเนินกระบวนพิจารณาคดีซึ่งค้างพิจารณาอยู่ในศาลในนามของบริษัทโจทก์สืบแทนต่อไปมิใช่เป็นการเริ่มต้นฟ้องคดีใหม่
สำเนาใบมอบอำนาจให้ดำเนินคดีมิใช่ต้นฉบับหรือคู่ฉบับหรือคู่ฉีก ไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร
เมื่อผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์คนเดิมพ้นหน้าที่ไป ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์อีกคนหนึ่งดำเนินกิจการแทนโจทก์ ทนายความผู้รับแต่งตั้งจากผู้รับมอบอำนาจคนเดิมทำคำร้องขอแก้ฟ้อง โดยขอเปลี่ยนตัวผู้รับมอบอำนาจเสียใหม่ถือว่าโจทก์ได้ดำเนินการตั้งแต่งทนายความฟ้องคดีโดยถูกต้องสมบูรณ์มาแต่แรก ทนายความของโจทก์จึงมีอำนาจดำเนินคดีแทนโจทก์ตลอดไปจนกว่าจะถูกสั่งถอน การพ้นหน้าที่ของผู้รับมอบอำนาจคนเดิมไม่ทำให้ทนายความหมดอำนาจดำเนินคดีแทนโจทก์ การแก้ฟ้องของโจทก์มีผลเพียงเพื่อให้ทราบว่าบัดนี้โจทก์ได้เปลี่ยนตัวผู้รับมอบอำนาจดำเนินกิจการหรือดำเนินคดีในนามของโจทก์ในกาลต่อไปเท่านั้น การที่ผู้รับมอบอำนาจคนใหม่เข้าดำเนินกระบวนพิจารณาคดีซึ่งค้างพิจารณาอยู่ในศาลในนามของบริษัทโจทก์สืบแทนต่อไปมิใช่เป็นการเริ่มต้นฟ้องคดีใหม่