คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สวัสดิ์ พานิชอัตรา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 509 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 39/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้าม ศาลฎีกาแก้คำสั่งให้รับอุทธรณ์เฉพาะปัญหากฎหมาย
ศาลแขวงไต่สวนข้อมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้ามไม่รับ โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์เห็นดังศาลชั้นต้น ให้ยกคำร้อง โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาสั่งให้รับอุทธรณ์โจทก์ในข้อที่ว่า โจทก์จะอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 170 วรรค 1 ได้หรือไม่ เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 39/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้าม และการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับการรับอุทธรณ์
ศาลแขวงไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้องโจทก์อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริงต้องห้ามไม่รับโจทก์อุทธรณ์คำสั่งศาลอุทธรณ์เห็นดังศาลชั้นต้นให้ยกคำร้องโจทก์ฎีกาศาลฎีกาสั่งให้รับอุทธรณ์โจทก์ในข้อที่ว่าโจทก์จะอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 170 วรรคหนึ่งได้หรือไม่เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขัดทรัพย์สินสมรส/สินเดิม และขอบเขตความรับผิดในหนี้สินของสามีภรรยา
การร้องขัดทรัพย์โดยกล่าวรวมๆ ว่าทรัพย์ที่ถูกยึดเป็นสินบริคณห์นั้นจึงอาจเป็นสินสมรสซึ่งจำเลยมีส่วนเป็นเจ้าของร่วมอยู่ด้วย จึงขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดไม่ได้(ตามฎีกาที่ 928/2503) แต่ถ้าผู้ร้อง (ภรรยา)ร้องขัดทรัพย์ว่า ทรัพย์ที่ยึดเป็นสินเดิมของผู้ร้องและมิใช่หนี้ร่วมมีฎีกาที่ 1250/2493 ว่า หนี้สินซึ่งจำเลยผู้เป็นสามีก่อขึ้นในระหว่างเป็นสามีภรรยากันเมื่อใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 แล้ว ภรรยาไม่ต้องรับผิดร่วมด้วยเว้นแต่จะเป็นหนี้ร่วมดังนี้ เมื่อคู่ความยังโต้เถียงกันอยู่ว่าทรัพย์ที่ยึดเป็นสินเดิมของฝ่ายใด และหนี้เป็นหนี้ร่วมหรือไม่เช่นนี้ การที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานศาลฎีกาจึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาคดีใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขัดทรัพย์ สินสมรส/สินเดิม และหนี้ร่วม: ศาลต้องพิจารณาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม
การร้องขัดทรัพย์โดยกล่าวรวม ๆ ว่าทรัพย์ที่ถูกยึดเป็นสินบริคณห์ นั้น จึงอาจเป็นสินสมรสซึ่งจำเลยมีส่วนเป็นเจ้าของร่วมอยู่ด้วย จึงขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดไม่ได้ (ตามฎีกาที่ 328/2503) แต่ถ้าผู้ร้อง(ภรรยา) ร้องขัดทรัพย์ว่า ทรัพย์ที่ยึดเป็นสินเดิมของผู้ร้อง และมิใช่หนี้ร่วม มีฎีกาที่ 1250/2493 ว่า หนี้สินซึ่งจำเลยผู้เป็นสามีก่อขึ้นในระหว่างเป็นสามีภรรยากันเมื่อใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 แล้ว ภรรยาไม่ต้องรับผิดร่วมด้วย เว้นแต่จะเป็นหนี้ร่วม ดังนี้ เมื่อคู่ความยังโต้เถียงกันอยู่ว่าทรัพย์ที่ยึดเป็นสินเดิมของฝ่ายใด และหนี้เป็นหนี้ร่วมหรือไม่ เช่นนี้ การที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยาน ศาลฎีกาจึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลล่าง ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาคดีใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1144/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแจ้งความเท็จเกี่ยวกับความเป็นบิดาเมื่อไม่ได้จดทะเบียนสมรส โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
โจทก์แต่งงานอยู่กินกันกับจำเลยหลังจากประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 โดยมิได้จดทะเบียนสมรสให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระหว่างอยู่ด้วยกันเกิดบุตร 1 คน จำเลยได้แจ้งความต่อนายทะเบียนท้องถิ่นว่า เด็กนั้นเป็นบุตรของจำเลยและใช้ชื่อบุคคลอื่นว่าเป็นบิดาของเด็ก ดังนี้ โจทก์ผู้เป็นสามีจะฟ้องจำเลยภริยานั้น ว่าบังอาจแจ้งความเท็จ เพื่อให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137หาได้ไม่ เพราะโจทก์มิได้อยู่ในฐานะเป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย จึงไม่มีอำนาจที่จะฟ้องคดีได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1144/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีอาญาแจ้งเท็จ: กรณีคู่สมรสไม่จดทะเบียนสมรส และการพิสูจน์ความเป็นบิดา
โจทก์สามีแต่งงานอยู่กินกันกับจำเลยหลังจากประกาศใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 โดยมิได้จดทะเบียนสมรสให้ถูกต้องตามกฎหมาย ระหว่างอยู่ด้วยกันเกิดบุตร 1 คน จำเลยได้แจ้งความต่อนายทะเบียนท้องถิ่นว่า เด็กนั้นเป็นบุตรของจำเลยและใช้ชื่อบุคคลอื่นว่าเป็นบิดาของเด็ก ดังนี้ โจทก์ผู้เป็นสามีจะฟ้องจำเลยภริยานั้น ว่าบังอาจแจ้งความเท็จเพื่อให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137 หาได้ไม่ เพราะโจทก์มิได้อยู่ในฐานะเป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย จึงไม่มีอำนาจที่จะฟ้องคดีได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1125/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทุจริตเบียดบังทรัพย์สินเช่าซื้อเป็นความผิดฐานยักยอก แม้ผิดสัญญาเช่าซื้อ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเช่าซื้อจักรเย็บผ้า 1 หลังจากบริษัทซิงเกอร์โชอิงแมชีน. จำเลยต้องส่งเงินค่าเช่าซื้อเป็นรายเดือน ได้ผ่อนชำระมาบ้างแล้ว ที่เหลือจำเลยไม่ยอมชำระ และจำเลยได้นำเอาจักรดังกล่าวไปจำนำเสียที่สถานธนานุบาล โดยจำเลยมีเจตนาทุจริตคิดยักยอกเบียดบังเอาจักร เป็นอาณาประโยชน์ส่วนตัว ดังนี้ พอแปลความหมายได้ว่าจำเลยเบียดบังเอาจักรเป็นของตนโดยทุจริต อันเป็นองค์สำคัญในความผิดทางอาญาฐานยักยอกแล้วฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ยืนยันข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้กระทำผิดทางอาญาฐานยักยอกโดยสมบูรณ์ เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตลอดข้อหาแล้ว ศาลก็ลงโทษจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1125/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทุจริตในการจำนำทรัพย์ที่ยังผ่อนชำระค้างอยู่ ถือเป็นความผิดฐานยักยอกได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเช่าซื้อจักรเย็บผ้า 1 หลัง จากบริษัทซิงเกอร์โซอิงแมชีน จำเลยต้องส่งเงินค่าเช่าซื้อเป็นรายเดือน ได้ผ่อนชำระมาบ้างแล้ว ที่เหลือจำเลยไม่ยอมชำระ และจำเลยได้นำเอาจักรดังกล่าวไปจำนำเสียที่สถานธนานุบาล โดยจำเลยมีเจตนาทุจริตคิดยักยอกเบียดบังเอาจักรเป็นอาณาประโยชน์ส่วนตัว ดังนี้ พอแปลความหมายได้ว่าจำเลยเบียดบังเอาจักรเป็นของตนโดยทุจริต อันเป็นองค์สำคัญในความผิดทางอาญาฐานยักยอกแล้ว ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ยืนยันข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้กระทำผิดทางอาญาฐานยักยอกโดยสมบูรณ์ เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตลอดข้อหาแล้ว ศาลก็ลงโทษจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1116/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแสดงความคิดเห็นติชมเจ้าหน้าที่รัฐโดยสุจริต และการแจกจ่ายความช่วยเหลือที่ไม่เป็นธรรม เข้าข้อยกเว้นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329
จำเลยได้กล่าวว่า "ไม่ยุติธรรม" และนำความไปบอกเล่าบุคคลที่ 3 ว่า "พวกผมได้รับผ้าเก่าๆ ขาดๆ ทั้งนั้น ส่วนผ้าดีๆ ใหม่ๆ ปลัดกับกำนันเอาไปหมด ฯลฯ" นั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเจ้าหน้าที่แจกผ้าให้แก่ราษฎรผู้ประสบวาตภัยไม่รัดกุมขาดความเป็นระเบียบเรียบร้อย เป็นพฤติการณ์ที่มีช่องทางให้ราษฎรทั่วๆ ไปคิดเห็นไปได้โดยสุจริตใจว่า การกระทำของเจ้าหน้าที่ในการแจกเสื้อผ้านั้นไม่ได้ทำไปโดยเที่ยงธรรม การกระทำของจำเลยเป็นการแสดงความคิดเห็นของตนโดยสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรมซึ่งบุคคลอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ กรณีต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329(3) จำเลยไม่มีความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1116/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแสดงความคิดเห็นติชมเจ้าหน้าที่รัฐโดยสุจริตและเป็นธรรม ถือเป็นการกระทำที่กฎหมายคุ้มครอง
จำเลยได้กล่าวว่า "ไม่ยุติธรรม" และนำความไปบอกเล่าบุคคลที่ 3 ว่า "พวกผมได้รับผ้าเก่า ๆ ขาด ๆ ทั้งนั้น ส่วนผ้าดี ๆ ใหม่ ๆ ปลัดกับกำนันเอาไปหมด ฯลฯ" นั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเจ้าหน้าที่แจกผ้าให้แก่ราษฎรผู้ประสบวาตภัยไม่รัดกุมขาดความเป็นระเบียบเรียบร้อย เป็นพฤติการณ์ทีมีช่องทางให้ราษฎรทั่ว ๆไปคิดเห็นไปได้โดยสุจริตใจว่า การกระทำของเจ้าหน้าที่ในการแจกเสื้อผ้านั้นไม่ได้ทำไปโดยเที่ยงธรรม การกระทำของจำเลยเป็นการแสดงความคิดเห็นของตนโดยสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรมซึ่งบุคคลอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ กรณีต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 324(3) จำเลยไม่มีความผิด
of 51