คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สวัสดิ์ พานิชอัตรา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 509 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 439/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนสิทธิการเช่าที่ดินและการบังคับสัญญาซื้อขายฝากที่สมบูรณ์ สิทธิของผู้เช่าเดิมและผู้ซื้อฝาก
การที่ผู้เช่าที่ดินทำสัญญาขายฝากห้องแถวและโอนสิทธิการเช่าที่ดินให้ผู้ซื้อฝากด้วยนั้น ถือว่าเป็นการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่ต้องการให้ผู้ซื้อฝากต้องซื้อโรงเรือนนั้นไป และเป็นบุคคลสิทธิที่ใช้บังคับกันได้ระหว่างคู่สัญญา ฉะนั้นแม้ต่อมาผู้เช่าที่ดินนั้นจะไปทำสัญญาเช่าใหม่กับเจ้าของที่ดินก็ตาม ก็ไม่เป็นเหตุให้สิ้นความผูกพันตามสัญญาที่ทำไว้ ผู้เช่าที่ดินจึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่ผู้รับซื้อฝากนั้นได้
ในทำนองเดียวกัน ผู้ซื้อฝากห้องแถวซึ่งแม้จะได้รับโอนสิทธิการเช่าที่ดินที่โรงเรือนนั้นปลูกอยู่ไว้แล้วก็ตาม แต่เมื่อยังไม่ได้ไปทำสัญญาเช่ากับเจ้าของที่ดิน ก็ยังไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่ผู้เช่าที่ดินนั้นเช่นกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 436/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หลักฐานกู้ยืมสูญหาย โจทก์พิสูจน์ได้จากการที่จำเลยยืมหลักฐานไปและไม่คืน ถือใช้แทนหลักฐานได้
จำเลยยืมเงินโจทก์ไปโดยทำหลักฐานการยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยให้โจทก์ยึดถือไว้ แต่เมื่อโจทก์มาฟ้องให้จำเลยใช้คืนเงินยืมนั้น โจทก์ไม่มีหลักฐานการกู้ยืมมาแสดงต่อศาล แต่โจทก์ก็นำสืบได้ว่าจำเลยได้ยืมหลักฐานดังกล่าวไปแล้วไม่ส่งคืน ดังนี้ ย่อมรับฟังแทนหนังสือกู้ยืมดังกล่าวนั้นได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยยืมเงินโจทก์ไปโดยทำหนังสือยืมให้ไว้เป็นหลักฐาน จำเลยให้การว่าไม่เคยยืมเงินโจทก์และไม่เคยทำหลักฐานการยืมเงินให้โจทก์ โจทก์ไม่มีหลักฐานแห่งหนี้ ดังนี้ ศาลจะวินิจฉัยว่ากรณีเป็นเรื่องเข้าหุ้นส่วนกันประกอบการค้าไม่ใช่กู้ยืมนั้น หาชอบไม่เพราะไม่มีประเด็นในเรื่องนี้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 436/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หลักฐานการกู้ยืมสูญหาย โจทก์พิสูจน์ได้จากการที่จำเลยยืมเอกสารไปและไม่คืน ถือใช้แทนหลักฐานได้
จำเลยยืมเงินโจทก์ไปโดยทำหลักฐานการยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยให้โจทก์ยึดถือไว้ แต่เมื่อโจทก์มาฟ้องให้จำเลยใช้คืนเงินยืมนั้น โจทก์ไม่มีหลักฐานการกู้ยืมมาแสดงต่อศาล แต่โจทก์ก็นำสืบได้ว่าจำเลยได้ยืมหลักฐานดังกล่าวไปแล้วไม่ส่งคืน ดังนี้ย่อมรับฟังแทนหนังสือกู้ยืมดังกล่าวนั้นได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยยืมเงินโจทก์ไปโดยทำหนังสือยืมให้ไว้เป็นหลักฐาน จำเลยให้การว่าไม่เคยยืมเงินโจทก์และไม่เคยทำหลักฐานการยืมเงินให้โจทก์โจทก์ไม่มีหลักฐานแห่งหนี้ ดังนี้ศาลจะวินิจฉัยว่ากรณีเป็นเรื่องเข้าหุ้นส่วนกันประกอบการค้า ไม่ใช่กู้ยืมนั้น หาชอบไม่ เพราะคดีไม่มีประเด็นในเรื่องนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 405/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวผิดหลายบท: การบุกรุกเพื่อทำร้ายร่างกาย ทำให้สิทธิฟ้องฐานบุกรุกระงับ
จำเลยบุกรุกเข้าไปในร้านของ จ.แล้วทำร้าย ย.ในที่นั้นทันที เห็นได้ชัดว่าจำเลยมีเจตนาประสงค์ต่อผลโดยตรงต่อการที่จะทำร้าย ย. และการกระทำก็ไม่ขาดตอน ทั้งการที่ทำร้าย ย.ก็เป็นเหตุหนึ่งที่แสดงถึงความที่ไม่มีเหตุอันสมควรที่จะเข้าไปในเคหสถานของ จ.อันเป็นองค์สำคัญของความผิดฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 364 ด้วย การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท เมื่อต้องคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดฐานทำร้ายร่างกายไปแล้ว สิทธิที่จะฟ้องจำเลยฐานบุกรุกย่อมระงับไป
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 4/2507)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 315/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญชาติไทยโดยกำเนิด: การแปลงสัญชาติและการพิสูจน์สัญชาติเดิม
บุคคลที่มีสัญชาติไทยโดยกำเนิด เดินทางไปประเทศจีนเพื่อการศึกษา แต่มิได้ทำหนังสือเดินทางให้ถูกต้องตามกฎหมายต่อมามีความประสงค์จะกลับประเทศไทย ได้ขอหนังสือเดินทางจากกงสุลไทยไม่ได้จึงแปลงสัญชาติเป็นคนปอร์ตุเกตก่อน ครั้นเมื่อกลับเข้ามาถึงประเทศไทยแล้วได้ขอพิสูจน์สัญชาติเป็นคนไทยทันที เช่นนี้ แสดงว่าบุคคลผู้นั้นมิได้สมัครใจสละสัญชาติไทยโดยกำเนิด จึงยังไม่ขาดสัญชาติไทย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 293/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาหลบหนีเป็นสำคัญ: ผู้ป่วยจิตเวชได้รับอนุญาตไปรักษา ไม่ถือหลบหนี
ความผิดฐานหลบหนีระหว่างที่ถูกคุมขังตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 190 นั้นจะต้องมีเจตนาหลบหนีด้วย ฉะนั้น เมื่อจำเลยซึ่งเป็นนักโทษต้องคุมขังตามอำนาจของศาลป่วยเป็นโรคประสาท ได้รับอนุญาตจากพัศดีให้ไปรักษาตัว ณ โรงพยาบาลนอกเรือนจำโดยมีผู้คุมไปด้วย แม้ขณะกลับเรือนจำจะไม่มีผู้คุมควบคุมตัวจำเลยก็ตาม จำเลยก็ยังหามีความผิดฐานหลบหนีที่คุมขังไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 293/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาหลบหนีเป็นสำคัญ: แม้ไม่มีผู้คุม แต่หากไม่มีเจตนาหลบหนีก็ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 190
ความผิดฐานหลบหนีระหว่างที่ถูกคุมขัง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 190 นั้น จะต้องมีเจตนาหลบหนีด้วยฉะนั้น เมื่อจำเลยซึ่งเป็นนักโทษต้องคุมขังตามอำนาจของศาลป่วยเป็นโรคประสาทได้รับอนุญาตจากพัสดีให้ไปรักษาตัว ณ โรงพยาบาลนอกเรือนจำ โดยมีผู้คุมไปด้วยแม้ขณะกลับเรือนจำจะไม่มีผู้คุมควบคุมตัวจำเลยก็ตามจำเลยก็ยังหามีความผิดฐานหลบหนีที่คุมขังไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 261/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าเช่าค้างชำระ, การริบเงินประกัน, และค่าต่อเติมอาคารเช่า
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยเท่ากับอัตราค่าเช่านับแต่วันที่จำเลยได้รับหนังสือบอกเลิกการเช่า แม้ทางพิจารณาจะปรากฏว่าระยะเวลานั้น จำเลยจะอยู่โดยอาศัยสิทธิการเช่า ไม่ใช่การละเมิดศาลก็พิพากษาบังคับให้จำเลยชดใช้ค่าเช่าซึ่งมีอัตราเท่ากันให้โจทก์ได้
ผู้เช่าวางเงินไว้เป็นประกันการเช่า โดยมีข้อสัญญาว่าถ้าผู้เช่าผิดสัญญาเช่า ผู้ให้เช่ามีสิทธิริบเงินประกันนี้ได้ เงินประกันนี้จึงเป็นเบี้ยปรับเมื่อปรากฏว่า ผู้เช่าผิดสัญญาเช่าโดยไม่ชำระค่าเช่าตามกำหนดเวลาผู้ให้เช่าย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้ผู้เช่าชำระค่าเช่าที่ค้าง ทั้งมีสิทธิเรียกเอาเบี้ยปรับอันพึงริบนั้นด้วยก็ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 381 คดีนี้แม้ผู้ให้เช่าซึ่งเป็นโจทก์จะมิได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเสียหายยิ่งไปกว่าค่าดอกเบี้ยตามกฎหมายแต่เมื่อศาลคำนวณค่าดอกเบี้ยของเงินค่าเช่านับแต่วันค้างชำระจนบัดนี้ไล่เลี่ยกับเงินประกันผู้ให้เช่าย่อมริบเงินประกันได้ทั้งหมด
ผู้เช่าต่อเติมและซ่อมแซมห้องเช่าเพื่อประโยชน์ในกิจการของผู้เช่าเองไม่ใช่เป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นเพื่อรักษาทรัพย์สินที่เช่าผู้ให้เช่าไม่ต้องรับผิดต่อผู้เช่า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 235/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ดอกเบี้ยตามกฎหมายในสัญญากู้ยืม หากไม่ได้ระบุอัตรา ต้องคิดร้อยละ 7.5 ต่อปี และห้ามเปลี่ยนแปลงใจความเอกสาร
สัญญากู้ยืมเงินที่ระบุว่าให้คิดดอกเบี้ยกันตามกฎหมาย แต่ไม่ได้กำหนดอัตราว่าเท่าใดนั้น ต้องคิดดอกเบี้ยกันร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีและถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของสัญญากู้ ซึ่งผู้ให้กู้จะนำสืบเป็นว่าได้ตกลงดอกเบี้ยกันในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีไม่ได้
เอกสารซึ่งมีข้อความระบุว่าเป็นการชำระค่าดอกเบี้ยอย่างเดียวชัดแจ้งแล้ว ย่อมจะนำสืบตีความว่าเป็นการชำระต้นเงินด้วยไม่ได้เช่นกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 235/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ดอกเบี้ยตามกฎหมายในสัญญากู้ยืม: อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นที่ 7.5% ต่อปี และการตีความหลักฐานการชำระหนี้
สัญญากู้ยืมเงินที่ระบุว่าให้คิดดอกเบี้ยกันตามกฎหมาย แต่ไม่ได้กำหนดอัตราว่าเท่าใดนั้น ต้องคิดดอกเบี้ยกันร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีและถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของสัญญากู้ ซึ่งผู้ให้กู้จะนำสืบเป็นว่าได้ตกลงดอกเบี้ยกันในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีไม่ได้
เอกสารซึ่งมีข้อความระบุว่าเป็นการชำระค่าดอกเบี้ยอย่างเดียวชัดแจ้งแล้ว ย่อมจะนำสืบตีความว่า เป็นการชำระต้นเงินด้วยไม่ได้เช่นกัน
of 51