พบผลลัพธ์ทั้งหมด 172 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 255/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขีดฆ่าเอกสารหนี้โดยไม่แก้ไขข้อความ ไม่เข้าข่ายความผิดฐานปลอมเอกสาร
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขีดฆ่าตัดทอนข้อความในเอกสารที่แท้จริง เพื่อให้คนอื่นหลงเชื่อว่าจำเลยได้ชำระหนี้แล้ว ขอให้ลงโทษจำเลยฐานปลอมเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 264 ทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยเขียนกากบาทบนข้อความของเอกสารนั้นทั้งฉบับ โดยจำเลยมิได้ตัดทอนข้อความหรือแก้ไขในเอกสารที่แท้จริงนั้นให้ผิดไปจากข้อความเดิมแต่ประการใด การกระทำของจำเลยไม่มีอะไรที่จะว่าปลอมให้ผิดไปจากความจริง ฉะนั้น แม้จะเข้าใจดังที่โจทก์อ้างว่าจำเลยกระทำไปเพื่อให้คนอื่นหลงเชื่อว่าจำเลยได้ชำระหนี้แล้ว ก็ไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 264
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 248/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งสินสมรสตามกฎหมายเดิมก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ศาลอุทธรณ์พิพากษาผิดพลาด
เป็นสามีภริยากันก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5เมื่อแบ่งสินสมรสกันต่างมีสินเดิมด้วยกัน ต้องแบ่งตามกฎหมายเก่าฝ่ายชายควรได้ 2 ใน 3 ส่วนฝ่ายหญิงได้ 1 ใน 3 ส่วน
ถ้าศาลอุทธรณ์พิพากษาแบ่งสินสมรสที่สวนและที่นา(เฉพาะหมายสีแดง) ให้คนละครึ่ง ซึ่งเป็นผลให้จำเลยได้รับส่วนแบ่งน้อยกว่าที่จำเลยฟ้องแย้งและน้อยกว่าส่วนที่จำเลยมีสิทธิได้รับหนึ่งในสามของสินสมรสที่สวนและที่นาทั้งหมด (หมายสีเขียวซึ่งรวมทั้งสีแดง) เมื่อจำเลยมิได้ฎีกาในประเด็นข้อนี้ ศาลฎีกาไม่อาจแก้ไขส่วนแบ่งนี้ได้
ถ้าศาลอุทธรณ์พิพากษาแบ่งสินสมรสที่สวนและที่นา(เฉพาะหมายสีแดง) ให้คนละครึ่ง ซึ่งเป็นผลให้จำเลยได้รับส่วนแบ่งน้อยกว่าที่จำเลยฟ้องแย้งและน้อยกว่าส่วนที่จำเลยมีสิทธิได้รับหนึ่งในสามของสินสมรสที่สวนและที่นาทั้งหมด (หมายสีเขียวซึ่งรวมทั้งสีแดง) เมื่อจำเลยมิได้ฎีกาในประเด็นข้อนี้ ศาลฎีกาไม่อาจแก้ไขส่วนแบ่งนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 244/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แจ้งความเท็จและหมิ่นประมาท: ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขคำพิพากษาที่อ้างอิงบทกฎหมายผิดพลาดได้
คำพิพากษาของศาลชั้นต้นใส่ชื่อกฎหมายที่ใช้ลงโทษจำเลยผิดพลาดไป โดยใช้ประมวลกฎหมายอาญาแทนที่จะเป็นกฎหมายลักษณะอาญาการที่ศาลฎีกาจะแก้ให้ถูกต้องย่อมไม่เป็นผลร้ายแก่จำเลย แม้โจทก์จะไม่ได้อุทธรณ์และฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาตามที่ถูกต้องได้
การที่เอาความที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นความเท็จไปให้การต่อเจ้าพนักงาน ก็เท่ากับแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงานนั่นเอง จะอ้างว่าเป็นเรื่องผู้บังคับบัญชาเรียกตนไปสอบถามเอง จึงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จหาได้ไม่
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 7/2507)
การที่เอาความที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นความเท็จไปให้การต่อเจ้าพนักงาน ก็เท่ากับแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงานนั่นเอง จะอ้างว่าเป็นเรื่องผู้บังคับบัญชาเรียกตนไปสอบถามเอง จึงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จหาได้ไม่
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 7/2507)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 244/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งความเท็จและหมิ่นประมาท: ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขคำพิพากษาศาลล่างให้ถูกต้องได้ แม้โจทก์มิได้ฎีกา
คำพิพากษาของศาลชั้นต้นใส่ชื่อกฎหมายที่ใช้ลงโทษจำเลยผิดพลาดไป โดยใช้ประมวลกฎหมายอาญาแทนที่จะเป็นกฎหมายลักษณะอาญา การที่ศาลฎีกาจะแก้ให้ถูกต้องย่อมไม่เป็นผลร้ายแก่จำเลย แม้โจทก์จะมิได้อุทธรณ์และฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาตามที่ถูกต้องได้
การที่เอาความที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นความเท็จไปให้การต่อเจ้าพนักงาน ก็เท่ากับแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงานนั่นเอง จะอ้างว่าเป็นเรื่องผู้บังคับบัญชาเรียกคนไปสอบถามเอง จึงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จนั้นหาได้ไม่
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 7/2507)
การที่เอาความที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นความเท็จไปให้การต่อเจ้าพนักงาน ก็เท่ากับแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงานนั่นเอง จะอ้างว่าเป็นเรื่องผู้บังคับบัญชาเรียกคนไปสอบถามเอง จึงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จนั้นหาได้ไม่
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 7/2507)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 208/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีไม่มีทุนทรัพย์: ประเด็นค่าเสียหายจากสัญญาเช่าและการฟ้องขับไล่
คดีฟ้องขับไล่ซึ่งจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ ถือว่าเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ถึงแม้โจทก์จะมีคำขอเรียกค่าเช่าและค่าเสียหายมาด้วยก็จะชี้ขาดว่าเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 ไม่ได้ คดีเช่นว่านี้ แม้ประเด็นเรื่องขับไล่ได้ยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว คงมีปัญหาขึ้นมาสู่ศาลฎีกา เฉพาะประเด็นเรื่องค่าเสียหายเท่านั้นก็ตาม จำเลยก็ยังฎีกาในข้อเท็จจริงในฐานที่เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ได้
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 5/2507)
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 5/2507)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 208/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีไม่มีทุนทรัพย์: คดีขับไล่ที่ประเด็นหลักเป็นภาระผูกพันที่ไม่สามารถประเมินราคาได้ แม้มีเรียกค่าเสียหาย
คดีฟ้องขับไล่ซึ่งจำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ถือว่า เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ถึงแม้โจทก์จะมีคำขอเรียกค่าเช่าและค่าเสียหายมาด้วยก็จะชี้ขาดว่าเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 ไม่ได้ คดีเช่นว่านี้ แม้ประเด็นเรื่องขับไล่ได้ยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วคงมีปัญหาขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะประเด็นเรื่องค่าเสียหายเท่านั้นก็ตามจำเลยก็ยังฎีกาในข้อเท็จจริงในฐานที่เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ได้ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 5/2507)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 119-120/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายและการถอนคืนการให้เนื่องจากกลฉ้อฉล ประพฤติเนรคุณ และหลอกลวง
โจทก์มีที่ดินอยู่แปลงเดียวปรารภว่าจะแบ่งให้บุตรทั้ง 4 คนอ. ซึ่งเป็นบุตรีคนหนึ่งกับ ช.สามีรบเร้าให้แบ่งที่ดินยกให้อ. ก่อนโดยรับรองจะส่งเสียเลี้ยงดูโจทก์เดือนละ 200 บาท ครั้นโจทก์แบ่งแยกที่ดินแล้ว อ. กับ ช.ก็แนะนำให้โอนที่ดินแปลงที่ยกให้แก่ อ. นั้น โดยทำนิติกรรมเป็นขายให้แก่ ช.โดยโจทก์ไม่ได้รับเงินเลยเมื่อได้ที่ดินแล้วอ. กับ ช.ก็ส่งเสียเงินแก่โจทก์ตามที่รับรองไว้ต่อมาช. เกิดผิดใจกับโจทก์ ช. กับ อ. ก็ถือโกรธไม่ยอมส่งเสียเลี้ยงดูโจทก์ทำให้โจทก์ประสบความแร้นแค้นและ ช. ยังด่าว่าโจทก์ว่า 'คนแก่หัวหงอก พูดจากลับกลอก ไม่มีสัตย์' ต่อหน้าบุคคลหลายคนซึ่งเป็นญาติก็มี ไม่ใช่ญาติก็มีดังนี้ โจทก์ย่อมฟ้อง ช. เรียกถอนคืนการให้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 531(2)(3)
โจทก์โอนที่ดินให้จำเลยโดยทำนิติกรรมเป็นขายให้ แล้วนำพยานบุคคลมาสืบหักล้างพยานเอกสารว่าโจทก์ถูกจำเลยหลอกลวงให้โอนให้ โดยโจทก์มิได้สมัครใจและมิได้รับเงินราคาที่ดินนั้น ดังนี้ โจทก์มีสิทธินำสืบได้เพราะเป็นการสืบทำลายล้างเอกสารนั้นว่ามีขึ้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยซึ่งเป็นบุตรีโจทก์ หลอกโจทก์ว่า ย. ผู้เคยมีกรณีขัดแย้งอยู่กับโจทก์จะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ขอให้โจทก์โอนที่ดินให้เป็นของจำเลยเสียหากแพ้คดีจะได้ไม่ถูกยึดทั้งรับรองว่าภายหลังจะโอนกลับคืนให้แล้วจำเลยก็ให้โจทก์ทำนิติกรรมเป็นโอนขายแก่จำเลยโดยโจทก์มิได้สมัครใจและมิได้รับเงินเลย ดังนี้ ต่อมาโจทก์รู้ตัวว่าถูกหลอกลวง ได้เตือนให้จำเลยโอนคืนแล้วจำเลยขัดขืน โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายนั้นเสียได้
โจทก์ฎีกาโดยรับอนุญาตให้ฟ้องฎีกาได้อย่างคนอนาถา เมื่อจำเลยแพ้คดีในชั้นศาลฎีกา และศาลเห็นว่าจำเลยจะต้องเป็นผู้รับผิดเสียค่าฤชาธรรมเนียมของคู่ความทั้งสองฝ่ายศาลฎีกาย่อมสั่งให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมโดยเฉพาะค่าธรรมเนียมศาลในชั้นฎีกานั้นให้จำเลยชำระต่อศาลในนามของโจทก์ผู้ฎีกาอย่างคนอนาถาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 158
โจทก์โอนที่ดินให้จำเลยโดยทำนิติกรรมเป็นขายให้ แล้วนำพยานบุคคลมาสืบหักล้างพยานเอกสารว่าโจทก์ถูกจำเลยหลอกลวงให้โอนให้ โดยโจทก์มิได้สมัครใจและมิได้รับเงินราคาที่ดินนั้น ดังนี้ โจทก์มีสิทธินำสืบได้เพราะเป็นการสืบทำลายล้างเอกสารนั้นว่ามีขึ้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยซึ่งเป็นบุตรีโจทก์ หลอกโจทก์ว่า ย. ผู้เคยมีกรณีขัดแย้งอยู่กับโจทก์จะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ขอให้โจทก์โอนที่ดินให้เป็นของจำเลยเสียหากแพ้คดีจะได้ไม่ถูกยึดทั้งรับรองว่าภายหลังจะโอนกลับคืนให้แล้วจำเลยก็ให้โจทก์ทำนิติกรรมเป็นโอนขายแก่จำเลยโดยโจทก์มิได้สมัครใจและมิได้รับเงินเลย ดังนี้ ต่อมาโจทก์รู้ตัวว่าถูกหลอกลวง ได้เตือนให้จำเลยโอนคืนแล้วจำเลยขัดขืน โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายนั้นเสียได้
โจทก์ฎีกาโดยรับอนุญาตให้ฟ้องฎีกาได้อย่างคนอนาถา เมื่อจำเลยแพ้คดีในชั้นศาลฎีกา และศาลเห็นว่าจำเลยจะต้องเป็นผู้รับผิดเสียค่าฤชาธรรมเนียมของคู่ความทั้งสองฝ่ายศาลฎีกาย่อมสั่งให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมโดยเฉพาะค่าธรรมเนียมศาลในชั้นฎีกานั้นให้จำเลยชำระต่อศาลในนามของโจทก์ผู้ฎีกาอย่างคนอนาถาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 158
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 96/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดของข้าราชการ: การประมาทเลินเล่อต้องเชื่อมโยงโดยตรงกับความเสียหาย
การไม่ปฏิบัติราชการหรือปฏิบัติราชการฝ่าฝืน ระเบียบข้อบังคับและคำสั่งของทางราชการนั้น อาจทำให้ข้าราชการต้องรับผิดในทางระเบียบวินัยก็จริง แต่เหตุเพียงเท่านี้หาอาจทำให้ข้าราชการผู้นั้นต้องรับผิดเพราะละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 420 เสมอไปไม่ เมื่อทางราชการฟ้องให้ข้าราชการผู้นั้นร่วมรับผิดในความเสียหายซึ่งเกิดจากการละเมิด โจทก์จะต้องสืบแสดงให้ปรากฎว่า การที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามระเบียบวินัยนั้น เป็นผลโดยตรงที่ทำให้โจทก์ต้องเสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 96/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิดจากความประมาทเลินเล่อในการปฏิบัติหน้าที่: ต้องพิสูจน์ความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างความบกพร่องกับความเสียหาย
การไม่ปฏิบัติราชการหรือปฏิบัติราชการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับและคำสั่งของทางราชการนั้น อาจทำให้ข้าราชการต้องรับผิดในทางระเบียบวินัยก็จริง แต่เหตุเพียงเท่านี้หาอาจทำให้ข้าราชการผู้นั้นต้องรับผิดเพราะละเมิด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 420 เสมอไปไม่ เมื่อทางราชการฟ้องให้ข้าราชการผู้นั้นร่วมรับผิดในความเสียหายซึ่งเกิดจากการละเมิด โจทก์จะต้องสืบแสดงให้ปรากฏว่าการที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามระเบียบวินัยนั้น เป็นผลโดยตรงที่ทำให้โจทก์ต้องเสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 53/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเช่าทรัพย์สิน: สิทธิของเจ้าของทรัพย์สินในการให้เช่า และอายุความค่าเช่า
จำเลยขอเช่ารถเกรดเดอร์ของโจทก์เพื่อเกลี่ยดินทำถนนโจทก์ตกลงให้จำเลยได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ในทรัพย์สินของโจทก์ และจำเลยตกลงจะให้ค่าเช่าโจทก์เพื่อการนั้นรูปคดีเป็นการเช่าทรัพย์สินจำเลยไม่มีสิทธิคัดค้านในภายหลังว่า โจทก์ไม่มีอำนาจให้จำเลยเช่าและกรณีนี้ไม่อยู่นอกวัตถุประสงค์ของกรมทางหลวงแผ่นดินผู้เป็นโจทก์แต่อย่างใด
อายุความเรียกค่าเช่าทรัพย์สินที่ค้างส่งมีกำหนด 5 ปีมิใช่ 6 เดือน
อายุความเรียกค่าเช่าทรัพย์สินที่ค้างส่งมีกำหนด 5 ปีมิใช่ 6 เดือน