คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ยุ้ย อาตมียะนันทน์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 172 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1114-1115/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสันนิษฐานตามกฎหมายศุลกากร: พยานแวดล้อมต้องแสดงเค้ามูลการนำเข้าโดยมิชอบ
มาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 12) พ.ศ.2497 กฎหมายมิได้ตั้งข้อสันนิษฐานไว้ว่า เมื่อปรากฎว่าผู้ใดมีสิ่งต้องห้าม หรือสิ่งมีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นสิ่งต้องกำกักหรือเป็นลักลอบหนีศุลกากรไว้ในครอบครอง ก็ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นได้นำสิ่งนั้นเข้ามาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย หรือนำเข้ามาโดยการลักลอบหนีศุลกากร หากแต่ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นความจริงตามข้อเท็จจริงที่จดแจ้งไว้ในบันทึกของพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้พบเห็น ข้อนี้เป็นข้อสันนิษฐานข้อแรกส่วนข้อสันนิษฐานว่าผู้ที่มีสิ่งนั้นไว้ในครอบครอง เป็นผู้นำสิ่งนั้นเข้ามาโดยมิชอบด้วยกฎหมายหรือนำเข้ามาเป็นการลักลอบหนีศุลกากรนั้น เป็นเพียงผลที่สืบเนื่องจากข้อสันนิษฐานข้อแรกนั้น เมื่อแปลความหมายดังนี้ จึงเห็นว่าข้อเท็จจริงที่จะจดแจ้งลงในบันทึกนั้น อย่างน้อยจะต้องเป็นข้อเท็จจริงที่ประกอบกันเป็นพยานประพฤติเหตุแวดล้อมพอจะแสดงเค้ามูลว่า ผู้มีไว้ในครอบครองนั้นเป็นผู้นำสิ่งนั้นเข้ามาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย หรือนำเข้ามาโดยการลักลอบหนีศุลกากร
บันทึกการดูของกลางว่าได้มีการขายของกลางไปจากร้าน จึงมีลักษณะเป็นเพียงบันทึกดูของกลางอย่างในคดีอื่น ๆ ทั่วไป หาได้มีลักษณะเป็นบันทึกอันจะก่อนให้เกิดข้อสันนิษฐานของกฎหมาย ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2497 (ฉบับที่ 12)ไม่ ฉะนั้น เรื่องหน้าที่นำสืบ การวินิจฉัยพยานหลักฐานย่อมเป็นไปตามหลักที่ใช้ทั่วไปแก่คดีอาญาทั้งปวง คือ โจทก์ต้องมีหน้าที่นำสืบพิสูจน์ความผิดของจำเลยและจะลงโทษจำเลยก็ต่อเมื่อพยานหลักฐานพอให้ฟังว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1114-1115/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อสันนิษฐานตามกฎหมายศุลกากร: พยานหลักฐานเชื่อมโยงผู้ครอบครองกับผู้นำเข้า
มาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 12) พ.ศ.2497 กฎหมายมิได้ตั้งข้อสันนิษฐานไว้ว่า เมื่อปรากฏว่าผู้ใดมีสิ่งต้องห้าม หรือสิ่งมีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นสิ่งต้องกำกัดหรือเป็นสิ่งลักลอบหนีศุลกากรไว้ในครอบครองก็ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้นั้นได้นำสิ่งนั้นเข้ามาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย หรือนำเข้ามาโดยการลักลอบหนีศุลกากรหากแต่ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า เป็นความจริงตามข้อเท็จจริงที่จดแจ้งไว้ในบันทึกของพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้พบเห็น ข้อนี้เป็นข้อสันนิษฐานข้อแรกส่วนข้อสันนิษฐานว่าผู้ที่มีสิ่งนั้นไว้ในครอบครอง เป็นผู้นำสิ่งนั้นเข้ามาโดยมิชอบด้วยกฎหมายหรือนำเข้ามาเป็นการลักลอบหนีศุลกากรนั้นเป็นเพียงผลที่สืบเนื่องจากข้อสันนิษฐานข้อแรกนั้น เมื่อแปลความหมายดังนี้ จึงเห็นว่าข้อเท็จจริงที่จะจดแจ้งลงในบันทึกนั้น อย่างน้อยจะต้องเป็นข้อเท็จจริงที่ประกอบกันเป็นพยานพฤติเหตุแวดล้อมพอจะแสดงเค้ามูลว่า ผู้มีไว้ในครอบครองนั้นเป็นผู้นำสิ่งนั้นเข้ามาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย หรือนำเข้ามาโดยการลักลอบหนีศุลกากร
บันทึกการดูของกลางว่าได้มีการขายของกลางไปจากร้านจึงมีลักษณะเป็นเพียงบันทึกดูของกลางในคดีอื่นๆทั่วไปหาได้มีลักษณะเป็นบันทึกอันจะก่อให้เกิดข้อสันนิษฐานของกฎหมาย ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2497(ฉบับที่ 12) ไม่ ฉะนั้น เรื่องหน้าที่นำสืบ การวินิจฉัยพยานหลักฐานย่อมเป็นไปตามหลักที่ใช้ทั่วไปแก่คดีอาญาทั้งปวง คือ โจทก์ต้องมีหน้าที่นำสืบพิสูจน์ความผิดของจำเลย และจะลงโทษจำเลยก็ต่อเมื่อพยานหลักฐานพอให้ฟังว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1082/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การค้นตัวโดยไม่มีหมายค้นเมื่อมีเหตุสงสัยอันควร และความถูกต้องของฟ้องที่อ้างผิดฐาน
ค้นจำเลยกับพวกขณะยืนซุบซิบกันที่หลังสถานีรถไฟ โดยผู้ค้นเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ ได้ติดตามคนร้ายปล้นทรัพย์หนีข้ามท้องที่มา และได้ร่วมกับตำรวจในท้องที่ทำการติดตามและมีเหตุสงสัยอันควรที่จะทำการค้น คือสงสัยว่าจะมีอาวุธปืนและของผิดกฎหมาย เช่นนี้ ทำการค้นจำเลยได้โดยไม่จำต้องมีหมายค้น
การที่โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องอ้างมาตราที่ลงโทษผู้ที่กระทำผิดต่อบุคคลที่ไม่ใช่เจ้าพนักงานมาด้วยนั้น หาทำให้ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1082/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การค้นตัวโดยไม่มีหมายค้นชอบด้วยกฎหมายเมื่อมีเหตุสงสัยอันควร และฟ้องไม่เคลือบคลุมเมื่ออ้างโทษทั้งเจ้าพนักงานและบุคคลทั่วไป
ค้นจำเลยกับพวกขณะยืนซุบซิบกันที่หลังสถานีรถไฟ โดยผู้ค้นเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ ได้ติดตามคนร้ายปล้นทรัพย์หนีข้ามท้องที่มา และได้ร่วมกับตำรวจในท้องที่ทำการติดตามและมีเหตุสงสัยอันควรที่จะทำการค้น คือสงสัยว่าจะมีอาวุธปืนและของผิดกฎหมาย เช่นนี้ ทำการค้นจำเลยได้โดยไม่จำต้องมีหมายค้น
การที่โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องอ้างมาตราที่ลงโทษผู้ที่กระทำผิดต่อบุคคลที่ไม่ใช่เจ้าพนักงานมาด้วยนั้น หาทำให้ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1060/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ในที่ดินจากการครอบครอง: ที่ดินต้องมีโฉนดหรือมีผู้มีกรรมสิทธิ์เดิม จึงจะขอแสดงกรรมสิทธิ์ได้
การได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ย่อมหมายถึงการครอบครองที่ดินที่ผู้อื่นมีกรรมสิทธิ์ เมื่อที่ดินที่ผู้ร้องครอบครองเป็นที่ดินไม่มีโฉนด หรือยังไม่เคยมีผู้ใดมีกรรมสิทธิ์ ผู้ร้องก็จะใช้สิทธิทางศาลเสนอคดีไม่มีข้อพิพาท ขอให้ศาลแสดงว่าผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นหาได้ไม่
กรณีที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลแสดงว่าที่นามีใบไต่สวนเป็นกรรมสิทธิ์ ของผู้ร้องโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 นั้น ไม่มีกฎหมายสนับสนุนให้ร้องขอให้ศาลแสดงกรรมสิทธิ์ได้ ศาลย่อมยกคำร้องขอของผู้ร้อง
แม้เจ้าของที่นาจะไปขอออกโฉนดที่นา แต่ตราบใดที่เจ้าของที่นายังไม่ได้ขอรับโฉนดมา ที่นานั้นก็ยังไม่เป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของที่นา ผู้ยึดถือที่นานั้นมีแต่สิทธิครอบครองเท่านั้น หากมีผู้ใดมาแย่งสิทธิ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ก็ให้ใช้อายุความ 1 ปี ไม่ใช้อายุความ 10 ปี ตามมาตรา 1382

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1060/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ในที่ดินจากการครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 ต้องเป็นการครอบครองที่ดินของผู้อื่นที่มีกรรมสิทธิ์อยู่แล้ว
การได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ย่อมหมายถึงการครอบครองที่ดินที่ผู้อื่นมีกรรมสิทธิ์ เมื่อที่ดินที่ผู้ร้องครอบครองเป็นที่ดินไม่มีโฉนดหรือยังไม่เคยมีผู้ใดมีกรรมสิทธิ์ ผู้ร้องก็จะใช้สิทธิทางศาลเสนอคดีไม่มีข้อพิพาทขอให้ศาลแสดงว่าผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นหาได้ไม่ (อ้างฎีกาที่ 995/2497)
กรณีที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลแสดงว่าที่นามีใบไต่สวนเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 นั้น ไม่มีกฎหมายสนับสนุนให้ร้องขอให้ศาลแสดงกรรมสิทธิ์ได้ ศาลย่อมยกคำร้องขอของผู้ร้อง
แม้เจ้าของที่นาจะไปขอออกโฉนดที่นา แต่ตราบใดที่เจ้าของที่นายังไม่ได้ขอรับโฉนดมา ที่นานั้นก็ยังไม่เป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของที่นา ผู้ยึดถือที่นานั้นมีแต่สิทธิครอบครองเท่านั้นหากมีผู้ใดมาแย่งสิทธิประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ก็ให้ใช้อายุความ 1 ปี ไม่ใช้อายุความ 10 ปี ตามมาตรา 1382

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1031/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิด พ.ร.บ.ควบคุมกิจการค้าฯ นายหน้าหาลูกค้าไม่ใช่ผู้ประกอบกิจการประกันภัย
ตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมกิจการค้าอันกระทบถึงความปลอดภัยหรือผาสุกแห่งสาธารณชน พ.ศ.2471(แก้ไขโดยพระราชบัญญัติควบคุมกิจการค้าอันกระทบถึงความปลอดภัยฯ (ฉบับที่3) พ.ศ.2489 มาตรา 3) นั้น ผู้กระทำผิดจะต้องเป็นผู้ประกอบกิจการประกันภัยเอง หาใช่เป็นแต่เพียงตัวแทนหรือนายหน้าเท่านั้นไม่ โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลย(ซึ่งเป็นเพียงนายหน้า)ตามบทกฎหมายดังกล่าวนั้นไม่ได้
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 21/2507)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1031/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้ประกอบการประกันภัยต้องเป็นผู้กระทำผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมกิจการค้า การฟ้องนายหน้าประกันภัยจึงไม่ชอบ
ตามมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมกิจการค้าอันกระทบถึงความปลอดภัยหรือผาสุกแห่งสาธารณชน พ.ศ.2471 (แก้ไขโดยพระราชบัญญัติควบคุมกิจการค้าอันกระทบถึงความปลอดภัยฯ(ฉบับที่ 3)พ.ศ.2499 มาตรา 3) นั้น ผู้กระทำผิดจะต้องเป็นผู้ประกอบกิจการประกันภัยเอง หาใช่เป็นแต่เพียงตัวแทนหรือนายหน้าเท่านั้นไม่ โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยซึ่งเป็นเพียงนายหน้า ตามบทกฎหมายดังกล่าวนั้นไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 964/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลผูกพันคำพิพากษาคดีอาญาในคดีแพ่ง และหน้าที่การนำสืบของโจทก์เมื่อจำเลยปฏิเสธความประมาท
ล.กับศ.ขับรถกระแทกกันเป็นเหตุให้ ม.ตกจากรถถึงแก่ความตาย อัยการได้ฟ้อง ล.เป็นคดีอาญาฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้คนตาย โดยระบุในฟ้องและนำสืบว่า ล.กับศ.ต่างขับรถสวนกันด้วยความประมาทจึงเกิดเหตุและศาลก็ได้อาศัยข้อเท็จจริงนั้นพิพากษาว่า ล.มีความผิด ดังนี้ย่อมเห็นได้ว่า ศาลมิได้ชี้ขาดว่า ล.กระทำการโดยประมาทแต่ฝ่ายเดียวและเมื่ออัยการโจทก์เป็นผู้ดำเนินคดีอาญานั้นแทนบิดาของม.ผู้ตาย ต่อมาเมื่อบิดาของผู้ตายมาฟ้อง ล.กับนายจ้างเป็นคดีแพ่งเรียกร้องให้ใช้ค่าปลงศพและค่าขาดไร้อุปการะ ข้อเท็จจริงที่ว่า ล.มิได้กระทำการโดยประมาทแต่ฝ่ายเดียวนั้น ย่อมมีผลผูกพันโจทก์ในคดีแพ่งนี้ด้วย ส่วนนายจ้างของ ล.นั้น ถ้าให้การปฏิเสธว่า ล.จำเลยมิได้ประมาท โจทก์จะต้องนำสืบด้วยว่า ล.ได้ขับรถโดยประมาท เพราะข้อเท็จจริงในคดีอาญาไม่มีผลผูกพันบุคคลภายนอก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 964/2507

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดในคดีแพ่งจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ผลผูกพันจากคำพิพากษาคดีอาญา และหน้าที่การนำสืบของโจทก์
ล. กับ ศ. ขับรถกระแทกกันเป็นเหตุให้ ม. ตกจากรถถึงแก่ความตายอัยการได้ฟ้อง ล. เป็นคดีอาญาฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้คนตาย โดยระบุในฟ้องและนำสืบว่า ล. กับ ศ. ต่างขับรถสวนกันด้วยความประมาทจึงเกิดเหตุ และศาลก็ได้อาศัยข้อเท็จจริงนั้นพิพากษาว่า ล.มีความผิด ดังนี้ ย่อมเห็นได้ว่า ศาลมิได้ชี้ขาดว่าล. กระทำการโดยประมาทแต่ฝ่ายเดียว และเมื่ออัยการโจทก์เป็นผู้ดำเนินคดีอาญานั้นแทนบิดาของ ม. ผู้ตาย ต่อมาเมื่อบิดาของผู้ตายมาฟ้อง ล. กับนายจ้างเป็นคดีแพ่งเรียกร้องให้ใช้ค่าปลงศพและค่าขาดไร้อุปการะ ข้อเท็จจริงที่ว่า ล. มิได้กระทำการโดยประมาทแต่ฝ่ายเดียวนั้น ย่อมมีผลผูกพันโจทก์ในคดีแพ่งนี้ด้วย ส่วนนายจ้างของ ล. นั้น ถ้าให้การปฏิเสธว่า ล. จำเลยมิได้ประมาท โจทก์จะต้องนำสืบด้วยว่า ล. ได้ขับรถโดยประมาท เพราะข้อเท็จจริงในคดีอาญาไม่มีผลผูกพันบุคคลภายนอก
of 18