พบผลลัพธ์ทั้งหมด 615 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 209/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำเขารถยนต์ส่วนตัวและการเป็นผู้ประกอบการค้าตามประมวลรัษฎากร
ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 79 ทวิ และบัญชีอัตราภาษีการค้าประเภทการค้า 1 ชนิด 1 เท่านั้น ถ้าเป็นของใช้ส่วนตัวซึ่งใช้กันตามปกติและตามสมควร จึงจะไม่ถือว่าผู้ที่นำเข้ามาเป็นผู้ประกอบการค้า ส่วนรถยนต์นั่งอยู่ในประเภทการค้า 1 ชนิดอื่นไม่ว่าจะเป็นของใช้ส่วนตัวหรือไม่ก็ตาม เมื่อโจทก์เป็นผู้นำรถยนต์นั่งเข้ามาในราชอาณาจักร ย่อมถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าตามประมวลรัษฎากรและกรณีไม่มีข้อสงสัยอันจะต้องตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่คู่กรณีฝ่ายที่ต้องเสียในมูลหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 11
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 209/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำเขารถยนต์ส่วนตัวและการเป็นผู้ประกอบการค้าเพื่อเสียภาษีตามประมวลรัษฎากร
ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 79 ทวิ และบัญชีอัตราภาษีการค้า ประเภทการค้า 1 ชนิด 1 เท่านั้น ถ้าเป็นของใช้ส่วนตัวซึ่งใช้กันตามปกติและตามสมควร จึงจะไม่ถือว่าผู้นำเข้ามาเป็นผู้ประกอบการค้า ส่วนรถยนต์นั่งอยู่ในประเภทการค้า 1 ชนิดอื่น ไม่ว่าจะเป็นของใช้ส่วนตัวหรือไม่ก็ตาม เมื่อโจทก์เป็นผู้นำรถยนต์นั่งเข้ามาในราชอาณาจักร ย่อมถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าตามประมวลรัษฎากร และกรณีไม่มีข้อสงสัยอันจะต้องตีความไปในทางที่เป็นคุณแก่คู่กรณีฝ่ายที่ต้องเสียในมูลหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 11
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 203/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ลายเซ็นใน ส.ค.๑ ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ หากไม่กระทบต่อเขตที่ดินพิพาท
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเบิกความเท็จในคดีแพ่งว่า ลายเซ็นใน ส.ค.1 ไม่ใช่ลายเซ็นของจำเลย ครั้นเมื่อสืบพยานบุคคลของโจทก์แล้ว โจทก์ขอส่ง ส.ค.1 ไปให้ผู้ชำนาญ พิสูจน์ว่าลายเซ็นใน ส.ค.1 นั้นใช่ลายเซ็นของจำเลยหรือไม่ ศาลชั้นต้นสั่งงดไม่ให้สืบและตรวจพิสูจน์ แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียทีเดียว เช่นนี้ เป็นการไม่ชอบ แต่เมื่อปรากฏว่าในคดีแพ่งนั้น เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินโดยมิได้ทำการยึดและรังวัดเขตให้แน่นอน ประเด็นสำคัญจึงอยู่ที่ว่าเขตที่ดินที่โจทก์อ้างว่าได้จากการขายทอดตลาดนั้นแค่ไหนแน่ ตาม ส.ค.1 ไม่ปรากฏเขตแน่นอน เนื้อที่ก็เพียงประมาณ ผู้แจ้งการครอบครองจะได้ครอบครองแค่ไหนเพียงใด ก็ฟังเอาเป็นหลักฐานแน่นอนมิได้ พยานที่เซ็นใน ส.ค.1 ก็ไม่ปรากฏว่าเซ็นกันอย่างไร ไม่มีระเบียบแน่นอน ดังนี้ จึงต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานอื่นในท้องสำนวน ฉะนั้น ถึงแม้จำเลยจะเซ็นชื่อในฐานพยานใน ส.ค.1 จริง ก็มิได้เป็นหลักฐานเพิ่มพูนที่จะทำให้ฟังได้ว่าที่ดินที่โจทก์ซื้อจากการขายทอดตลาดมีเขตแค่ไหนแต่อย่างใด และถึงแม้ที่จำเลยเบิกความว่าลายเซ็นนั้นมิใช่ลายเซ็นของจำเลยอันเป็นความเท็จก็ตาม ก็ไม่ใช่ข้อสำคัญในคดีดังกล่าว จำเลยยังไม่ผิด จึงไม่ต้องส่ง ส.ค.1 ไปให้ผู้ชำนาญตรวจพิสูจน์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 203/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ลายเซ็นใน ส.ค.1 ไม่ใช่ข้อสำคัญในคดีข้อพิพาทเกี่ยวกับเขตที่ดิน
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเบิกความเท็จในคดีแพ่งว่า ลายเซ็นใน ส.ค.1 ไม่ใช่ลายเซ็นของจำเลย ครั้นเมื่อสืบพยานบุคคลของโจทก์แล้ว โจทก์ขอส่ง ส.ค.1 ไปให้ผู้ชำนาญพิสูจน์ว่าลายเซ็นใน ส.ค.1 นั้นใช่ลายเซ็นของจำเลยหรือไม่ศาลชั้นต้นสั่งงดไม่ให้สืบและตรวจพิสูจน์แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียทีเดียว เช่นนี้ เป็นการไม่ชอบแต่เมื่อปรากฏว่าในคดีแพ่งนั้น เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินโดยมิได้ทำการยึดและรังวัดเขตให้แน่นอนประเด็นสำคัญจึงอยู่ที่ว่าเขตที่ดินที่โจทก์อ้างว่าได้จากการขายทอดตลาดนั้นแค่ไหนแน่ตาม ส.ค.1ไม่ปรากฏเขตแน่นอนเนื้อที่ก็เพียงประมาณผู้แจ้งการครอบครองจะได้ครอบครองแค่ไหนเพียงใด ก็ฟังเอาเป็นหลักฐานแน่นอนมิได้พยานที่เซ็นใน ส.ค.1 ก็ไม่ปรากฏว่าเซ็นกันอย่างไรไม่มีระเบียบแน่นอน ดังนี้ จึงต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานอื่นในท้องสำนวน ฉะนั้นถึงแม้จำเลยจะเซ็นชื่อในฐานพยานใน ส.ค.1 จริงก็มิได้เป็นหลักฐานเพิ่มพูนที่จะทำให้ฟังได้ว่าที่ดินที่โจทก์ซื้อจากการขายทอดตลาด มีเขตแค่ไหน แต่อย่างใด และถึงแม้ที่จำเลยเบิกความว่าลายเซ็นนั้นมิใช่ลายเซ็นของจำเลยอันเป็นความเท็จก็ตาม ก็ไม่ใช่ข้อสำคัญในคดีดังกล่าวจำเลยยังไม่ผิด จึงไม่ต้องส่ง ส.ค.1 ไปให้ผู้ชำนาญตรวจพิสูจน์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 202/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้เสียหายในคดีจราจรและอันตรายแก่กาย: การพิจารณาความเสียหายทางกายภาพและสิทธิในการฎีกา
ความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรนั้น โจทก์ร่วมไม่ใช่เป็นผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานนี้โดยตรงจึงไม่ใช่ผู้เสียหาย
รอยบาดเจ็บเพียงโหนกแก้มถลอกโตกลมประมาณ 3 เซ็นติเมตรเข่าบวมโตกลมประมาณ 5 เซ็นติเมตร ข้อศอกหนังถลอกโตกลมประมาณ 5 เซ็นติเมตร รักษาประมาณ 4 วัน ยังไม่เป็นอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 390
รอยบาดเจ็บเพียงโหนกแก้มถลอกโตกลมประมาณ 3 เซ็นติเมตรเข่าบวมโตกลมประมาณ 5 เซ็นติเมตร ข้อศอกหนังถลอกโตกลมประมาณ 5 เซ็นติเมตร รักษาประมาณ 4 วัน ยังไม่เป็นอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 390
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 202/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความเสียหายจากการจราจร: ผู้เสียหายต้องได้รับความเสียหายโดยตรง และอันตรายแก่กายต้องร้ายแรงกว่าอาการบาดเจ็บเล็กน้อย
ความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรนั้น โจทก์ร่วมไม่ใช่เป็นผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานนี้โดยตรง จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย
รอยบาดเจ็บเพียงโหนกแก้มถลอกโตกลมประมาณ 3 เซ็นติเมตร เข่าบวมโตกลมประมาณ 5 เซ็นติเมตร ข้อศอกหนังถลอกโตกลมประมาณ 5 เซ็นติเมตร รักษาประมาณ 4 วัน ยังไม่เป็นอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 390
รอยบาดเจ็บเพียงโหนกแก้มถลอกโตกลมประมาณ 3 เซ็นติเมตร เข่าบวมโตกลมประมาณ 5 เซ็นติเมตร ข้อศอกหนังถลอกโตกลมประมาณ 5 เซ็นติเมตร รักษาประมาณ 4 วัน ยังไม่เป็นอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 390
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 195/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องด้วยวาจาต้องระบุข้อเท็จจริงชัดเจนพอให้ศาลพิจารณาลงโทษได้ หากฟ้องไม่ชัดเจนแต่มีหลักฐานอื่นประกอบก็ใช้ได้
ฟ้องด้วยวาจานั้น ผู้ว่าคดีต้องบรรยายข้อเท็จจริงให้ปรากฏครบถ้วนพอที่ศาลจะลงโทษตามบทกฎหมายที่ขอประกอบด้วยข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับเวลา สถานที่ และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องพอสมควร เท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีและมาตราซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499มาตรา 19 ด้วย และเป็นหน้าที่ของศาลต้องถามผู้ต้องหาถ้าให้การ รับสารภาพ ศาลจะบันทึกคำฟ้องให้ได้ใจความแห่งข้อหาเพื่อพิพากษาคดีต่อไป ถ้าคำฟ้องที่ศาลบันทึกไว้ไม่ปรากฏว่าที่บาดเจ็บรักษา 30 วันหายนั้นถึงสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297 ข้อใดศาลย่อมพิจารณาบันทึกคำฟ้องประกอบหลักฐานการฟ้องด้วยวาจาและรายงานชันสูตรบาดแผลท้ายฟ้องได้ เมื่อเห็นว่าปรากฏข้อเท็จจริงพอที่จะพิจารณาพิพากษาลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 ได้ก็พิพากษาลงโทษไปได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 5/2510)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 195/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องด้วยวาจาต้องระบุข้อเท็จจริงครบถ้วนพอให้ศาลพิจารณาลงโทษได้ หากฟ้องด้วยวาจาอ้างหลักฐานบาดเจ็บสาหัส ศาลพิจารณาประกอบได้
ฟ้องด้วยวาจานั้น ผู้ว่าคดีต้องบรรยายข้อเท็จจริงให้ปรากฏครบถ้วนพอที่ศาลจะลงโทษตามบทกฎหมายที่ขอประกอบด้วยข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับเวลา สถานที่และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องพอสมควร เท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี และมาตราซึ่งบัญญัติว่า การกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแขวงมาตรา 19 ด้วย และเป็นหน้าที่ของศาลต้องถามผู้ต้องหา ถ้าให้การรับสารภาพ ศาลจะบันทึกคำฟ้องให้ได้ใจความแห่งข้อหาเพื่อพิพากษาคดีต่อไป ถ้าคำฟ้องที่ศาลบันทึกไว้ไม่ปรากฏว่าที่บาดเจ็บรักษา 30 วันหายนั้นถึงสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297 ข้อใด ศาลย่อมพิจารณาบันทึกคำฟ้องประกอบหลักฐานการฟ้องด้วยวาจาและรายงานชันสูตรบาดแผลท้ายฟ้องได้ เมื่อเห็นว่าปรากฏข้อเท็จจริงพอที่จะพิจารณาพิพากษาลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 ได้ ก็พิพากษาลงโทษไปได้
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 5/2510)
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 5/2510)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 193/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีกับกองมรดกก่อนแบ่งมรดก: เจ้าหนี้มีสิทธิยึดทรัพย์ในกองมรดก แม้จะมีการโอนกรรมสิทธิ์ให้ทายาทแล้ว
ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระเงินกู้ตามฟ้องให้โจทก์ในฐานะที่จำเลยเป็นภริยาผู้รับมรดก บ. โดยทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาต้องรับผิดร่วมด้วย แต่ขณะโจทก์ฟ้องจำเลยนั้นยังไม่ได้แบ่งมรดกกันระหว่างทายาท โฉนดยังเป็นชื่อของ บ. เจ้ามรดกเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ผู้ร้องเพิ่งโอนรับมรดกในขณะคดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์ ฉะนั้น ถึงแม้ที่ดินพิพาทโอนใส่ชื่อผู้ร้องเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนนายแบนเจ้ามรดกก็ตามที่พิพาทก็ยังเป็นทรัพยในกองมรดกของ บ. ซึ่งยังมิได้แบ่งอยู่นั่นเอง โจทก์จึงชอบที่จะยึดที่ดินพิพาทมาบังคับคดีได้โดยไม่ต้องฟ้องทายาทผู้รับมรดกคนอื่น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 193/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าหนี้กองมรดกยึดทรัพย์มรดกได้ แม้โอนกรรมสิทธิ์ให้ทายาทแล้ว หากยังมิได้แบ่งมรดก
ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระเงินกู้ตามฟ้องให้โจทก์ในฐานะที่จำเลยเป็นภริยาผู้รับมรดก บ. โดยทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาต้องรับผิดร่วมด้วย แต่ขณะโจทก์ฟ้องจำเลยนั้น ยังไม่ได้แบ่งมรดกกันระหว่างทายาท โฉนดยังเป็นชื่อของ บ. เจ้ามรดกเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ผู้ร้องเพิ่งโอนรับมรดกในขณะคดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์ ฉะนั้น ถึงแม้ที่ดินพิพาทโอนใส่ชื่อผู้ร้องเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนนายแบนเจ้ามรดกก็ตาม ทีJพิพาทก็ยังเป็นทรัพย์ในกองมรดกของ บ. ซึ่งยังมิได้แบ่งอยู่นั่นเอง โจทก์จึงชอบที่จะยึดที่ดินพิพาทมาบังคับคดีได้ โดยไม่ต้องฟ้องทายาทผู้รับมรดกคนอื่น