คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
มณี ชุติวงศ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 615 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1162/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำแนกความผิดฐานฆ่าผู้อื่น: ไตร่ตรองไว้ก่อน (289) vs. ไม่ไตร่ตรองไว้ก่อน (288) ต้องมีหลักฐานแสดงเจตนา
ได้ความตามที่โจทก์นำสืบเพียงว่า จำเลยผลัดกันเข้ายิงผู้ตาย เท่านั้น ยังไม่มีหลักฐานพอฟังว่าจำเลยรับจ้างผู้อื่นมายิงผู้ตาย อันจะเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามมาตรา 288 ไม่ใช่มาตรา 289

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1158/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้ดุลพินิจของเจ้าพนักงานการพิมพ์ในการไม่อนุญาตเปิดดำเนินการหนังสือพิมพ์ ไม่ถือเป็นการขัดขวางตามกฎหมาย
โจทก์เป็นเจ้าของ ผู้จัดการ บรรณาธิการ ผู้พิมพ์ ผู้โฆษณาหนังสือพิมพ์ จำเลยเป็นเจ้าพนักงานการพิมพ์ ได้สั่งถอนใบอนุญาตมิให้โจทก์ดำเนินการเกี่ยวกับหนังสือพิมพ์มานานเกือบครึ่งปี ปลัดกระทรวงมหาดไทยมีหนังสือขอให้จำเลยพิจารณาเรื่องที่โจทก์ขอให้สั่งให้เปิดดำเนินการต่อไป จำเลยได้ใช้ดุลพินิจพิจารณาโดยอาศัยเหตุผลต่าง ๆ แล้ว ยังไม่อนุญาตให้โจทก์ดำเนินการ ดังนี้ ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ป้องกันหรือขัดขวางมิให้การเป็นไปตามกฎหมายหรือคำสั่งแต่อย่างใด เพราะจำเลยได้ปฏิบัติการไปตามอำนาจหน้าที่ของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1158/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้อำนาจเจ้าพนักงานการพิมพ์สั่งระงับหนังสือพิมพ์ การพิจารณาคำร้อง และการใช้ดุลพินิจตามกฎหมาย
โจทก์เป็นเจ้าของ ผู้จัดการ บรรณาธิการ ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา หนังสือพิมพ์ จำเลยเป็นเจ้าพนักงานการพิมพ์ ได้สั่งถอนใบอนุญาตมิให้โจทก์ดำเนินการเกี่ยวกับหนังสือพิมพ์มานานเกือบครึ่งปี ปลัดกระทรวงมหาดไทยมีหนังสือขอให้จำเลยพิจารณาเรื่องที่โจทก์ขอให้สั่งให้เปิดดำเนินการต่อไป จำเลยได้ใช้ดุลพินิจพิจารณาโดยอาศัยเหตุผลต่างๆ แล้วยังไม่อนุญาตให้โจทก์ดำเนินการดังนี้ ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ป้องกันหรือขัดขวางมิให้การเป็นไปตามกฎหมายหรือคำสั่งแต่อย่างใด เพราะจำเลยได้ปฏิบัติการไปตามอำนาจหน้าที่ของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1145/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ นิติกรรมอำพราง: การพิสูจน์เจตนาลวงและผลกระทบต่อความสมบูรณ์ของนิติกรรม
โจทก์ฟ้องขอให้แสดงว่านิติกรรมขายฝากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นโมฆะ โดยอ้างว่านิติกรรมการขายฝากและสัญญาเช่าเป็นิติกรรมอำพราง ให้จำเลยรับเงินไถ่ถอนและแก้ทะเบียนที่ดินคืนเป็นของโจทก์ จำเลยให้การว่า นิติกรรมขายฝากและสัญญาเช่าเป็นนิติกรรมแท้จริงไม่อำพราง สัญญาเช่าสิ้นอายุแล้ว ขอให้ขับไล่นั้น เป็นกรณีเกี่ยวกับฟ้องเดิมซึ่งจำเลยฟ้องแย้งมาในคำให้การได้
เมื่อนิติกรรมอันหนึ่งทำขึ้นเพื่ออำพรางนิติกรรมอีกอันหนึ่ง นิติกรรมอันแรกย่อมเป็นการแสดงเจตนาลวงด้วยสมรู้กันระหว่างคู่กรณีที่จะไม่ผูกพันตามเจตาที่แสดงออกมานั้นย่อมตกเป็นโมฆะ ส่วนนิติกรรมอันหลังที่ถูกอำพรางไว้โดยนิติกรรมอันแรกต้องบังคับตามบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยนิติกรรรมอันที่ถูกอำพรางไว้ ซึ่งจะสมบูรณ์หรือไม่เพียงใด ก็แล้วแต่บทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยนิติกรรมอันหลังนี้
เจตนาลวงที่แสดงออกมาด้วยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งย่อมตกเป็นโมฆะ ไม่ว่านิติกรรมอีกอันหนึ่งถูกปกปิดไว้หรือไม่ก็ตาม เหตุนี้ การนำสืบพยานตามข้ออ้างของโจทก์จึงเป็นการนำสืบทำลายข้อความในเอกสารว่า สัญญาที่ระบุไว้ในเอกสารนั้นไม่สมบูรณ์ตามความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรค 2 ซึ่งไม่ห้ามในการที่โจทก์จะนำสืบพยานบุคคลตามฟ้องโจทก์นั้น (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 295/2508)(ประชุมใหญ่)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1145/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ นิติกรรมอำพราง: โมฆะของนิติกรรมที่ปรากฏ และผลบังคับใช้ของนิติกรรมที่ถูกซ่อน
โจทก์ฟ้องขอให้แสดงว่านิติกรรมขายฝากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นโมฆะ โดยอ้างว่านิติกรรมการขายฝากและสัญญาเช่าเป็นนิติกรรมอำพราง ให้จำเลยรับเงินไถ่ถอนและแก้ทะเบียนที่ดินคืนเป็นของโจทก์ จำเลยให้การว่านิติกรรมขายฝากและสัญญาเช่าเป็นนิติกรรมแท้จริงไม่อำพราง สัญญาเช่าสิ้นอายุแล้วขอให้ขับไล่นั้น เป็นกรณีเกี่ยวกับฟ้องเดิมซึ่งจำเลยฟ้องแย้งมาในคำให้การได้
เมื่อนิติกรรมอันหนึ่งทำขึ้นเพื่ออำพรางนิติกรรมอีกอันหนึ่ง นิติกรรมอันแรกย่อมเป็นการแสดงเจตนาลวงด้วยสมรู้กันระหว่างคู่กรณีที่จะไม่ผูกพันตามเจตนาที่แสดงออกมานั้น นิติกรรมอันแรกที่ปรากฏออกมานั้นย่อมตกเป็นโมฆะ ส่วนนิติกรรมอันหลังที่ถูกอำพรางไว้โดยนิติกรรมอันแรกต้องบังคับตามบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยนิติกรรมอันที่ถูกอำพรางไว้ ซึ่งจะสมบูรณ์หรือไม่เพียงใด ก็แล้วแต่บทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยนิติกรรมอันหลังนี้
เจตนาลวงที่แสดงออกมาด้วยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งย่อมตกเป็นโมฆะ ไม่ว่านิติกรรมอีกอันหนึ่งถูกปกปิดไว้หรือไม่ก็ตาม เหตุนี้ การนำสืบพยานตามข้ออ้างของโจทก์จึงเป็นการนำสืบทำลายข้อความในเอกสารว่า สัญญาที่ระบุไว้ในเอกสารนั้นไม่สมบูรณ์ตามความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคสอง ซึ่งไม่ห้ามในการที่โจทก์จะนำสืบพยานบุคคลตามฟ้องโจทก์นั้น (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 295/2508 ประชุมใหญ่)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1144/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงซื้อขายที่ดินเฉพาะส่วนไม่ผูกพันบุคคลภายนอกที่สุจริต สิทธิเจ้าของร่วมเป็นไปตามส่วน
โจทก์ซื้อที่ดินมีโฉนดบางส่วนจากเจ้าของเดิมโดยยังมิได้เข้าครอบครอง แม้โจทก์จะได้ตกลงกับเจ้าของเดิมว่าซื้อขายกันทางฝั่งด้านตะวันตกของถนนก็ตาม เมื่อหลักฐานทางทะเบียบปรากฏว่าโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมจำนวน 8,000 ส่วน ในจำนวน 18,278 ส่วนเท่านั้น โจทก์ย่อมไม่อาจยกข้อตกลงนี้ใช้ยันจำเลยผู้ซื้อที่ดินคนหลังจากเจ้าของเดิมซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและกระทำโดยสุจริตได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1144/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงซื้อขายที่ดินก่อนการจดทะเบียน ไม่ผูกพันบุคคลภายนอกสุจริต สิทธิกรรมสิทธิ์รวมต้องเป็นไปตามส่วนที่ดินเหลือ
โจทก์ซื้อที่ดินมีโฉนดบางส่วนจากเจ้าของเดิมโดยยังมิได้เข้าครอบครอง แม้โจทก์จะได้ตกลงกับเจ้าของเดิมว่าซื้อขายกันทางฝั่งด้านตะวันตกของถนนก็ตาม เมื่อหลักฐานทางทะเบียนปรากฏว่าโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมจำนวน 8,000 ส่วน ในจำนวน 18,278 ส่วนเท่านั้น โจทก์ย่อมไม่อาจยกข้อตกลงนี้ใช้ยันจำเลยผู้ซื้อที่ดินคนหลังจากเจ้าของเดิมซึ่งเป็นบุคคลภายนอกและกระทำโดยสุจริตได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1136/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาออกเช็คเพื่อชำระหนี้ แม้เป็นเช็คค้ำประกัน หากขึ้นเงินไม่ได้ ถือมีความผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค
จำเลยออกเช็คให้ผู้เสียหาย ถึงแม้ว่าจะเป็นการออกเช็คเพื่อค้ำประกันหนี้ของบุคคลที่สามก็ตาม แต่ก็เป็นเช็คที่ออกโดยมีเจตนาจะให้ผูกพันและชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย เพราะบุคคลที่สามมีมูลหนี้ต่อผู้เสียหายจริง เมื่อเป็นเช็คที่ออกเพื่อจะให้มีการใช้เงินตามเช็คแต่เช็คนั้นขึ้นเงินไม่ได้เพราะเงินในบัญชีมีไม่พอจ่าย จำเลยจึงต้องมีความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1136/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาออกเช็คค้ำประกันหนี้บุคคลที่สาม ทำให้เช็คมีผลผูกพัน แม้จะขึ้นเงินไม่ได้
จำเลยออกเช็คให้ผู้เสียหาย ถึงแม้ว่าจะเป็นการออกเช็คเพื่อค้ำประกันหนี้ของบุคคลที่สามก็ตาม แต่ก็เป็นเช็คที่ออกโดยมีเจตนาจะให้ผูกพันและชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย เพราะบุคคลที่สามมีมูลหนี้ต่อผู้เสียหายจริง เมื่อเป็นเช็คที่ออกเพื่อจะให้มีการใช้เงินตามเช็ค แต่เช็คนั้นขึ้นเงินไม่ได้ เพราะเงินในบัญชีมีไม่พอจ่าย จำเลยจึงต้องมีความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1135/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและการยกเว้นความรับผิดตามมาตรา 70
ผู้บังคับกองตำรวจสั่งให้จำเลยซึ่งเป็นตำรวจใต้บังคับบัญชาไปจับกุมผู้ต้องหาโดยไม่ได้ออกหมายจับจำเลยไปจับผู้ต้องหาโดยเข้าใจว่าคำสั่งนั้นเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะได้ถือเป็นหลักปฏิบัติกันตลอดมาว่าไปจับได้ แม้การกระทำของจำเลยจะเป็นการมิชอบ จำเลยทั้งสองก็ไม่ต้องรับโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 70
of 62