พบผลลัพธ์ทั้งหมด 615 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 283/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์และการเพิกถอนการโอนที่ดินที่ขัดแย้งกับกรรมสิทธิ์เดิม คดีไม่ขาดอายุความ
คดีที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการที่จำเลยจัดการโอนที่พิพาทใส่ชื่อจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโฉนดซึ่งที่ดินนั้นตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์แล้วนั้นมิใช่เป็นเรื่องโจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลฉะนั้น ถึงแม้โจทก์จะฟ้องเกิน 1 ปีนับจากวันที่โจทก์รู้เรื่องการโอนใส่ชื่อจำเลยลงในโฉนด คดีก็หาขาดอายุความไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 272/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งครอบครอง ส.ค.1 ไม่ถือเป็นการสละสิทธิครอบครอง ต้องพิสูจน์เจตนาสละสิทธิ
การแจ้งการครอบครองตามแบบ ส.ค.1 เป็นเพียงหลักฐานแสดงว่าผู้แจ้งได้อ้างว่าผู้แจ้งเป็นเจ้าของครอบครองที่นั้นเท่านั้น จะฟังเลยไปว่าได้มีการสละสิทธิครอบครองที่นั้นให้ผู้แจ้งยังไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 272/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้ง ส.ค.1 ไม่ถือเป็นการสละสิทธิครอบครอง ต้องพิสูจน์การสละสิทธิโดยชัดแจ้ง
การแจ้งการครอบครองตามแบบ ส.ค.1 เป็นเพียงหลักฐานแสดงว่าผู้แจ้งได้อ้างว่าผู้แจ้งเป็นเจ้าของครอบครองที่นั้นเท่านั้นจะฟังเลยไปว่าได้มีการสละสิทธิครอบครองที่นั้นให้ผู้แจ้งยังไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 269/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิบังคับคดีจำกัดเฉพาะคู่ความหรือเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา ผู้รับประโยชน์จากสัญญาประนีประนอมยอมความไม่มีสิทธิบังคับคดี
ผู้ที่มีอำนาจร้องขอให้บังคับคดีได้ คือ คู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะคือเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา
เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอาจเป็นโจทก์หรือจำเลยหรืออาจเป็นบุคคลภายนอกซึ่งร้องสอดเข้ามาในคดีก็ได้ฉะนั้น ผู้ที่เป็นแต่เพียงผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความเท่านั้นจึงหาใช่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาที่จะมีสิทธิบังคับคดีไม่
เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอาจเป็นโจทก์หรือจำเลยหรืออาจเป็นบุคคลภายนอกซึ่งร้องสอดเข้ามาในคดีก็ได้ฉะนั้น ผู้ที่เป็นแต่เพียงผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความเท่านั้นจึงหาใช่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาที่จะมีสิทธิบังคับคดีไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 269/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิบังคับคดีสงวนสำหรับเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงในคดีเท่านั้น ผู้รับประโยชน์จากสัญญาประนีประนอมยอมความไม่มีสิทธิบังคับคดี
ผู้ที่มีอำนาจร้องขอให้บังคับคดีได้ คือ คู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะคือ เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา
เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอาจเป็นโจทก์หรือจำเลย หรืออาจเป็นบุคคลภายนอกซึ่งร้องสอดเข้ามาในคดีก็ได้ ฉะนั้น ผู้ที่เป็นแต่เพียงผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความเท่านั้น จึงหาใช่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาที่จะมีสิทธิบังคับคดีไม่
เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอาจเป็นโจทก์หรือจำเลย หรืออาจเป็นบุคคลภายนอกซึ่งร้องสอดเข้ามาในคดีก็ได้ ฉะนั้น ผู้ที่เป็นแต่เพียงผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความเท่านั้น จึงหาใช่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาที่จะมีสิทธิบังคับคดีไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 265/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามตามมาตรา 249 และสิทธิสัญญาเช่าไม่มีหลักฐาน
การที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์นั้นในชั้นฎีกาต้องถือว่าเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้มีการยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในชั้นศาลอุทธรณ์ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
จำเลยฎีกาว่า ตึกพิพาทเป็นเคหะอยู่ในความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ.2504 แต่มิได้ยกปัญหานี้ขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามตามมาตรา 249 และเมื่อศาลฎีกาเห็นว่าไม่มีเหตุอันสมควรจะยกปัญหาดังกล่าวนี้ขึ้นวินิจฉัย มาตรา 142(5) ก็ไม่ยกขึ้นวินิจฉัยให้
เมื่อการเช่าอสังหาริมทรัพย์มิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือผู้เช่าก็ไม่อาจยกสิทธิเกี่ยวกับสัญญาเช่าขึ้นเป็นข้อต่อสู้ผู้ให้เช่าได้
จำเลยฎีกาว่า ตึกพิพาทเป็นเคหะอยู่ในความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ.2504 แต่มิได้ยกปัญหานี้ขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามตามมาตรา 249 และเมื่อศาลฎีกาเห็นว่าไม่มีเหตุอันสมควรจะยกปัญหาดังกล่าวนี้ขึ้นวินิจฉัย มาตรา 142(5) ก็ไม่ยกขึ้นวินิจฉัยให้
เมื่อการเช่าอสังหาริมทรัพย์มิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือผู้เช่าก็ไม่อาจยกสิทธิเกี่ยวกับสัญญาเช่าขึ้นเป็นข้อต่อสู้ผู้ให้เช่าได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 265/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดในการฎีกาประเด็นใหม่ และผลของการไม่มีหลักฐานสัญญาเช่าต่อการต่อสู้คดี
การที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์นั้น ในชั้นฎีกาต้องถือว่าเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้มีการยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในชั้นศาลอุทธรณ์ จึงต้อห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
จำเลยฎีกาตึกพิพาทเป็นเคหะอยู่ในความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ.2504 แต่มิได้ยกปัญหานี้ขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามตามมาตรา 249 และเมื่อศาลฎีกาเห็นว่าไม่มีเหตุอันสมควรจะยกปัญหาดังกล่าวนี้ขึ้นวินิจฉัยตามมาตรา 142(5) ก็ไม่ยกขึ้นวินิจฉัยให้
เมื่อการเช่าอสังหาริมทรัพย์มิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือ ผู้เช่าก็ไม่อาจยกสิทธิเกี่ยวกับสัญญาเช่าขึ้นเป็นข้อต่อสู้ผู้ให้เช่าได้
จำเลยฎีกาตึกพิพาทเป็นเคหะอยู่ในความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ.2504 แต่มิได้ยกปัญหานี้ขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามตามมาตรา 249 และเมื่อศาลฎีกาเห็นว่าไม่มีเหตุอันสมควรจะยกปัญหาดังกล่าวนี้ขึ้นวินิจฉัยตามมาตรา 142(5) ก็ไม่ยกขึ้นวินิจฉัยให้
เมื่อการเช่าอสังหาริมทรัพย์มิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือ ผู้เช่าก็ไม่อาจยกสิทธิเกี่ยวกับสัญญาเช่าขึ้นเป็นข้อต่อสู้ผู้ให้เช่าได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 263-264/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกู้ยืมเงินตามหลักฐานหนังสือ การใช้เงินต้องพิสูจน์ตามที่กฎหมายกำหนด
การกู้ยืมเงินที่มีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น มีบทบัญญัติกฎหมายบังคับไว้เป็นพิเศษ ว่าผู้กู้จะนำสืบการใช้เงินได้เฉพาะเท่าที่บัญญัติไว้ในมาตรา 653 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เท่านั้นจำเลยจะสืบพยานบุคคลว่าได้ชำระต้นเงินกู้แล้วแต่โจทก์ไม่คืนสัญญากู้ให้ไม่ได้ดังนี้ เมื่อจำเลยไม่มีหลักฐานการใช้ต้นเงินตามที่กฎหมายบัญญัติไว้มาแสดงต่อศาลจำเลยก็ต้องแพ้คดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 263-264/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกู้ยืมเงินที่มีหลักฐานเป็นหนังสือ การพิสูจน์การใช้เงินต้องเป็นไปตามกฎหมาย
การกู้ยืมเงินที่มีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น มีบทบัญญัติกฎหมายบังคับไว้เป็นพิเศษว่า ผู้กู้จะนำสืบการใช้เงินได้เฉพาะเท่าที่บัญญัติไว้ในมาตรา 653 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เท่านั้น จำเลยจะสืบพยานบุคคล ได้ชำระต้นเงินกู้แล้ว แต่โจทก์ไม่คืนสัญญากู้ให้ไม่ได้ ดังนี้ เมื่อจำเลยไม่มีหลักฐานการใช้ต้นเงินตามที่กฎหมายบัญญัติไว้มาแสดงต่อศาล จำเลยก็ต้องแพ้คดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 200/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยอมความที่ไม่สมบูรณ์ และความผิดฐานพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร
จำเลยหลอกลวงผู้เยาว์อายุ 16 ปีว่า คู่รักต้องการพบ ผู้เยาว์หลงเชื่อตามจำเลยไปแล้วถูกจำเลยข่มขืนกระทำชำเรากับหน่วงเหนี่ยวกักขังโจทก์และภริยาเป็นบิดามารดาของผู้เยาว์รับขมาด้วยเงิน 2,000 บาท โดยยังไม่ได้ตกลงกันเกี่ยวกับความผิดในทางอาญาและยอมรับขมาเพื่อให้ได้ตัวผู้เสียหายกลับคืนมา และเพื่อล้างอายกับเข้าใจว่าบุตรของตนตามเขาไป ดังนี้ เป็นเรื่องตกลงกันในทางแพ่ง ไม่เกี่ยวกับความผิดในทางอาญา จึงถือไม่ได้ว่ามีการยอมความกันถูกต้องตามกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39((2)
จำเลยหลอกลวงผู้เยาว์ว่า คู่รักของผู้เยาว์มาคอยพบ จะถือว่าผู้เยาว์เต็มใจไปกับจำเลยหาได้ไม่
จำเลยหลอกลวงพาผู้เยาว์ไปบังคับขู่เข็ญกระทำชำเรา มิใช่พาไปในฐานชู้สาว จึงเป็นการพรากไปเพื่อการอนาจาร
พรากผู้เยาว์ไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจ ผิดตามมาตรา 318 วรรคท้าย เป็นบทหนักกว่ามาตรา 319 ซึ่งศาลอุทธรณ์ปรับมา แต่โจทก์มิได้ฎีกาขึ้นมา ศาลฏีกาจะพิพากษาให้เป็นผลร้ายแก่จำเลยมิได้
จำเลยหลอกลวงผู้เยาว์ว่า คู่รักของผู้เยาว์มาคอยพบ จะถือว่าผู้เยาว์เต็มใจไปกับจำเลยหาได้ไม่
จำเลยหลอกลวงพาผู้เยาว์ไปบังคับขู่เข็ญกระทำชำเรา มิใช่พาไปในฐานชู้สาว จึงเป็นการพรากไปเพื่อการอนาจาร
พรากผู้เยาว์ไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจ ผิดตามมาตรา 318 วรรคท้าย เป็นบทหนักกว่ามาตรา 319 ซึ่งศาลอุทธรณ์ปรับมา แต่โจทก์มิได้ฎีกาขึ้นมา ศาลฏีกาจะพิพากษาให้เป็นผลร้ายแก่จำเลยมิได้