คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สวิง ลัดพลี

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,124 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 717/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กลฉ้อฉลในการเช่าที่ดินและสิทธิของผู้รับมรดก
ซ.เช่าที่ดินจากการรถไฟฯ แล้วปลูกห้องลงบนที่ดินที่เช่า ซ.ตาย ทายาททำสัญญาแบ่งปันทรัพย์มรดกโจทก์ที่ 1 รับมรดก และโจทก์ที่ 2,3 รับโอนทรัพย์มรดกมาจากทายาทโจทก์ไม่ได้ทำสัญญาเช่าที่ดินจากการรถไฟฯ จำเลยยื่นหนังสือขอโอนสิทธิการเช่าที่ดินต่อการรถไฟฯในนาม ซ. ให้จำเลย และจำเลยก็ยื่นหนังสือขอรับโอนสิทธิการเช่าที่ดินต่อจาก ซ. ดังนี้ เป็นเรื่องจำเลยใช้อุบายหลอกลวงการรถไฟฯ ให้ทำสัญญาเช่ากับจำเลยซึ่งเป็นการแสดงเจตนาอันได้มาเพราะกลฉ้อฉลซึ่งเป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 121 บุคคลที่จะบอกล้างนิติกรรมอันเป็นโมฆียะก็คือการรถไฟฯ ซึ่งเป็นผู้ได้ทำการแสดงเจตนาโดยวิปริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 137 ตราบใดที่การรถไฟฯ ยังมิได้บอกล้างนิติกรรมที่ได้ทำขึ้นก็ยังถือว่าเป็นนิติกรรมที่สมบูรณ์โจทก์ในคดีนี้แม้จะฟังว่าเป็นผู้รับมรดกนายซิวก็ตามแต่เมื่อปรากฏว่าสัญญาเช่าระหว่างการรถไฟฯ กับนายซิวมีอายุการเช่าเพียง 1 ปีและต้องทำสัญญาเช่าใหม่ทุกปีหลังจากนายซิวตายแล้วสัญญาเช่าระหว่างการรถไฟฯกับนายซิวจึงเป็นอันระงับเพราะการตายของนายซิว และสิ้นกำหนดเวลาที่ตกลงกันไว้โจทก์มิได้ทำสัญญาเช่าที่ดินต่อการรถไฟฯ จึงไม่ใช่ผู้มีสิทธิในการเช่าที่ดินโจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะขอให้ศาลสั่งบังคับให้จำเลยโอนสิทธิการเช่าที่ดินให้โจทก์ และไม่มีสิทธิจะขอให้ศาลสั่งทำลายเอกสารต่าง ๆ อันเกี่ยวกับการเช่าที่ดิน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 717/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กลฉ้อฉลในการเช่าที่ดิน: สิทธิของผู้รับมรดกและความสมบูรณ์ของสัญญา
ซ. เช่าที่ดินจากการรถไฟฯ แล้วปลูกห้องลงบนที่ดินที่เช่า ซ. ตาย ทายาททำสัญญาแบ่งปันทรัพย์มรดก โจทก์ที่ 1 รับมรดก และโจทก์ที่ 2, 3 รับโอนทรัพย์มรดกมาจากทายาท โจทก์ไม่ได้ทำสัญญาเช่าที่ดินจากการรถไฟฯ จำเลยยื่นหนังสือขอโอนสิทธิการเช่าที่ดินต่อการรถไฟ ฯ ในนาม ซ. ให้จำเลย และจำเลยก็ยื่นหนังสือขอรับโอนสิทธิการเช่าที่ดินต่อจาก ซ. ดังนี้ เป็นเรื่องจำเลยใช้อุบายหลอกลวงการรถไฟ ฯ ให้ทำสัญญาเช่ากับจำเลยซึ่งเป็นการแสดงเจตนาอันได้มาเพราะกลฉ้อฉล ซึ่งเป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 121 บุคคลที่จะบอกล้างนิติกรรมอันเป็นโมฆียะก็คือการรถไฟ ฯ ซึ่งเป็นผู้ได้ทำการแสดงเจตนาโดยวิปริต ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 137 ตราบใดที่การรถไฟ ฯ ยังมิได้บอกล้างนิติกรรมที่ได้ทำขึ้น ก็ยังถือว่าเป็นนิติกรรมที่สมบูรณ์ โจทก์ในคดีนี้แม้จะฟังว่าเป็นผู้รับมรดกนายซิวก็ตาม แต่เมื่อปรากฏว่าสัญญาเช่าระหว่างการรถไฟฯ กับนายซิวมีอายุการเช่าเพียง 1 ปี และต้องทำสัญญาเช่าใหม่ทุกปี หลังจากนายซิวตายแล้วสัญญาเช่าระหว่างการรถไฟ ฯ กับนายซิวจึงเป็นอันระงับ เพราะการตายของนายซิว และสิ้นกำหนดเวลาที่ตกลงกันไว้ โจทก์มิได้ทำสัญญาเช่าที่ดินต่อการรถไฟ ฯ จึงไม่ใช่ผู้มีสิทธิในการเช่าที่ดิน โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะขอให้ศาลสั่งบังคับให้จำเลยโอนสิทธิการเช่าที่ดินให้โจทก์ และไม่มีสิทธิจะขอให้ศาลสั่งทำลายเอกสารต่าง ๆ อันเกี่ยวกับการเช่าที่ดิน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 533/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การออกประกาศห้ามค้ากำไรเกินควรต้องระบุเขตท้องที่ชัดเจนตามลำดับขั้นตอนของกฎหมาย มิฉะนั้นประกาศนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เมื่อคณะกรรมการส่วนจังหวัดป้องกันการค้ากำไรเกินควรได้ระบุชื่อหรือประเภทสิ่งของและสั่งห้ามมิให้ค้ากำไรเกินควรแล้ว.คณะกรรมการจะต้องระบุเขตท้องที่ใดท้องที่หนึ่งหรือทั้งหมดเป็นท้องที่สั่งห้ามมิให้ค้ากำไรเกินควร. เมื่อคณะกรรมการยังมิได้กำหนดให้ปรากฏชัดแล้วประกาศห้ามเคลื่อนย้ายโคกระบือมีชีวิตเข้าไปในเขตท้องที่ ที่จะสั่งห้าม. จึงแสดงว่ามิได้ปฏิบัติการตามลำดับก่อนหลังดังกฎหมายกำหนดไว้. ประกาศของคณะกรรมการในกรณีนี้จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 533/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การออกประกาศห้ามค้ากำไรเกินควรต้องระบุเขตท้องที่ชัดเจน การไม่ปฏิบัติตามลำดับขั้นตอนตามกฎหมายทำให้ประกาศไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เมื่อคณะกรรมการส่วนจังหวัดป้องกันการค้ากำไรเกินควรได้ระบุชื่อหรือประเภทสิ่งของและสั่งห้ามมิให้ค้ากำไรเกินควรแล้วคณะกรรมการจะต้องระบุเขตท้องที่ใดท้องที่หนึ่งหรือทั้งหมดเป็นท้องที่สั่งห้ามมิให้ค้ากำไรเกินควร เมื่อคณะกรรมการยังมิได้กำหนดให้ปรากฏชัดแล้วประกาศห้ามเคลื่อนย้ายโคกระบือมีชีวิตเข้าไปในเขตท้องที่ ที่จะสั่งห้ามจึงแสดงว่ามิได้ปฏิบัติการตามลำดับก่อนหลังดังกฎหมายกำหนดไว้ประกาศของคณะกรรมการในกรณีนี้จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 533/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การออกประกาศห้ามค้ากำไรเกินควรต้องระบุเขตท้องที่ชัดเจน การมิได้ปฏิบัติตามลำดับขั้นตอนตามกฎหมายทำให้ประกาศไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เมื่อคณะกรรมการส่วนจังหวัดป้องกันการค้ากำไรเกินควรได้ระบุชื่อหรือประเภทสิ่งของและสั่งห้ามมิให้ค้ากำไรเกินควรแล้ว คณะกรรมการจะต้องระบุเขตท้องที่ใดท้องที่หนึ่งหรือทั้งหมดเป็นท้องที่สั่งห้ามมิให้ค้ากำไรเกินควร เมื่อคณะกรรมการยังมิได้กำหนดให้ปรากฏชัดแล้วประกาศห้ามเคลื่อนย้ายโคกระบือมีชีวิตเข้าไปเขตท้องที่ที่จะสั่งห้าม จึงแสดงว่ามิได้ปฏิบัติการตามลำดับก่อนหลังดังกฎหมายกำหนดไว้ ประกาศของคณะกรรมการในกรณีนี้จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 426/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทนายความไม่ต้องรับผิดชอบต่อข้อความเท็จในคำฟ้อง หากได้จากการบอกเล่าของลูกความ
จำเลยที่ 2 เรียงคำฟ้องและรับว่าความในหน้าที่ของทนายความ.ข้อความที่ปรากฏในคำฟ้องเป็นข้อความที่ได้จากคำบอกเล่าของจำเลยที่ 1(ซึ่งเป็นลูกความ) และจะเป็นความเท็จหรือความจริง จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นทนายความย่อมไม่มีโอกาสจะทราบได้นอกจากจะปรากฏตามหลักฐานที่นำสืบ. หากในเวลาภายหน้าความปรากฏขึ้นว่า คำฟ้องมีข้อความอันเป็นเท็จ. ผู้ที่จะต้องรับผิดชอบก็คือจำเลยที่ 1 หาใช่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นแต่ผู้เรียงคำฟ้องตามคำบอกเล่าในหน้าที่ของทนายความไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 426/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทนายความไม่ต้องรับผิดชอบความเท็จในคำฟ้อง หากเป็นข้อมูลที่จำเลย (ลูกความ) บอกเล่า
จำเลยที่ 2 เรียงคำฟ้องและรับว่าความในหน้าที่ของทนายความข้อความที่ปรากฏในคำฟ้องเป็นข้อความที่ได้จากคำบอกเล่าของจำเลยที่ 1(ซึ่งเป็นลูกความ) และจะเป็นความเท็จหรือความจริง จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นทนายความย่อมไม่มีโอกาสจะทราบได้นอกจากจะปรากฏตามหลักฐานที่นำสืบ หากในเวลาภายหน้าความปรากฏขึ้นว่า คำฟ้องมีข้อความอันเป็นเท็จผู้ที่จะต้องรับผิดชอบก็คือจำเลยที่ 1 หาใช่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นแต่ผู้เรียงคำฟ้องตามคำบอกเล่าในหน้าที่ของทนายความไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 426/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทนายความไม่ต้องรับผิดชอบความเท็จในคำฟ้อง หากได้รับข้อมูลจากลูกความ
จำเลยที่ 2 เรียงคำฟ้องและรับว่าความในหน้าที่ของทนายความ ข้อความที่ปรากฏในคำฟ้องเป็นข้อความที่ได้จากคำบอกเล่าของจำเลยที่ 1 (ซึ่งเป็นลูกความ) และจะเป็นความเท็จหรือความจริง จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นทนายความย่อมไม่มีโอกาสจะทราบได้นอกจากจะปรากฏตามหลักฐานที่นำสืบ หากในเวลาภายหน้าความปรากฏขึ้นว่า คำฟ้องมีข้อความอันเป็นเท็จ ผู้ที่จะต้องรับผิดชอบก็คือจำเลยที่ 1 หาใช่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นแต่ผู้เรียงคำฟ้องตามคำบอกเล่าในหน้าที่ของทนายความไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 424/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เบิกความเท็จในคดีแพ่ง เป็นข้อสำคัญในคดี ทำให้คู่ความเสียหาย ถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177
จำเลยเป็นผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัด ฟ้องขอให้โจทก์ชำระหนี้ค่าวัสดุก่อสร้างพร้อมทั้งดอกเบี้ย โจทก์ให้การต่อสู้ว่า ได้จ่ายเช็คเงินสดชำระหนี้ค่าสิ่งของให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้นแล้ว แต่เช็คของโจทก์หลายฉบับรับเงินไม่ได้ จำเลยจึงมอบให้นายวินัยนำเช็คไปแจ้งความ ร้อยตำรวจโทชัยชาญพนักงานสอบสวนได้ให้โจทก์ชำระหนี้จำเลย โดยจำเลยและผู้แทนจำเลยมอบให้ร้อยตำรวจโทชัยชาญเป็นคนกลางรับชำระหนี้แทน โจทก์ได้ชำระหนี้ให้จำเลยเป็นเงินสด และนางสาวพยุงบุตรสาวโจทก์ได้จ่ายเช็คให้อีก 6 ฉบับ จำเลยหรือผู้แทนจำเลยได้รับเงินไปตามเช็คที่ถึงกำหนดแล้วบางฉบับ จำเลยได้เข้าเบิกความเป็นพยานต่อศาลว่า โจทก์ไม่เคยออกเช็คชำระหนี้ให้จำเลย จำเลยไม่เคยรู้จักนายวินัย ไม่เคยมอบให้นายวินัยไปแจ้งความเรื่องโจทก์ออกเช็ค โจทก์ไม่เคยเอาเช็คของนางสาวพยุงชำระหนี้ จำเลยไม่เคยรับเช็คจากร้อยตำรวจโทชัยชาญ ไม่รู้จักร้อยตำรวจโทชัยชาญ และไม่เคยพิพาทเรื่องเช็คกับโจทก์ ซึ่งข้อความที่จำเลยเบิกความเป็นพยานนี้เป็นความเท็จ หากศาลหลงเชื่อตามคำเบิกความของจำเลย ก็อาจทำให้ศาลไม่เชื่อข้อต่อสู้ของโจทก์ว่าได้ชำระหนี้บางส่วนให้จำเลยแล้วย่อมจะตัดสินให้โจทก์แพ้คดี ฉะนั้นคำเบิกความเท็จของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นข้อสำคัญในคดี จำเลยต้องมีความผิดฐานเบิกความเท็จ
การฟ้องคดีฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177นั้น กฎหมายมิได้บัญญัติว่าพยานจะต้องสาบานตัวก่อนเบิกความ จึงจะเป็นความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 424/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เบิกความเท็จในคดีแพ่งมีผลให้ศาลตัดสินคดีแพ้ได้ ถือเป็นข้อสำคัญในคดีฐานเบิกความเท็จ
จำเลยเป็นผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัด. ฟ้องขอให้โจทก์ชำระหนี้ค่าวัสดุก่อสร้างพร้อมทั้งดอกเบี้ย. โจทก์ให้การต่อสู้ว่า ได้จ่ายเช็คเงินสดชำระหนี้ค่าสิ่งของให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้นแล้ว. แต่เช็คของโจทก์หลายฉบับรับเงินไม่ได้. จำเลยจึงมอบให้นายวินัยนำเช็คไปแจ้งความ.ร้อยตำรวจโทชัยชาญพนักงานสอบสวนได้ให้โจทก์ชำระหนี้จำเลย.โดยจำเลยและผู้แทนจำเลยมอบให้ร้อยตำรวจโทชัยชาญเป็นคนกลางรับชำระหนี้แทน. โจทก์ได้ชำระหนี้ให้จำเลยเป็นเงินสด.และนางสาวพยุงบุตรสาวโจทก์ได้จ่ายเช็คให้อีก 6 ฉบับ.จำเลยหรือผู้แทนจำเลยได้รับเงินไปตามเช็คที่ถึงกำหนดแล้วบางฉบับ. จำเลยได้เข้าเบิกความเป็นพยานต่อศาลว่า.โจทก์ไม่เคยออกเช็คชำระหนี้ให้จำเลย. จำเลยไม่เคยรู้จักนายวินัย ไม่เคยมอบให้นายวินัยไปแจ้งความเรื่องโจทก์ออกเช็ค. โจทก์ไม่เคยเอาเช็คของนางสาวพยุงชำระหนี้. จำเลยไม่เคยรับเช็คจากร้อยตำรวจโทชัยชาญ ไม่รู้จักร้อยตำรวจโทชัยชาญ และไม่เคยพิพาทเรื่องเช็คกับโจทก์. ซึ่งข้อความที่จำเลยเบิกความเป็นพยานนี้เป็นความเท็จ. หากศาลหลงเชื่อตามคำเบิกความของจำเลย. ก็อาจทำให้ศาลไม่เชื่อข้อต่อสู้ของโจทก์ว่าได้ชำระหนี้บางส่วนให้จำเลยแล้วย่อมจะตัดสินให้โจทก์แพ้คดี. ฉะนั้นคำเบิกความเท็จของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นข้อสำคัญในคดี. จำเลยต้องมีความผิดฐานเบิกความเท็จ.
การฟ้องคดีฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177นั้น. กฎหมายมิได้บัญญัติว่าพยานจะต้องสาบานตัวก่อนเบิกความ จึงจะเป็นความผิด.
of 113