พบผลลัพธ์ทั้งหมด 174 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4029/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบของกลางในความผิดฐานตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต และการพิสูจน์ความผิดเกี่ยวกับไม้แปรรูป
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยใช้เครื่องมือเพื่อทำการเลื่อยไม้ให้เปลี่ยนรูปหรือขนาดไปจากเดิม และเจ้าพนักงานยึดไม้ยางพารา แปรรูปจำนวน 50 แผ่น ปริมาตร 0.00399 ลูกบาศก์เมตรและเครื่องเลื่อยวงเดือนขนาด 3 แรงม้า 2 เครื่อง ขนาด 5 แรงม้า1 เครื่อง และมอเตอร์ ไฟฟ้า 3 ลูก เป็นของกลาง เมื่อฟ้องของโจทก์ถือไม่ได้ว่าจำเลยมีความผิดฐานมีไม้แปรรูปไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ มาตรา 48 ก็ไม่อาจถือได้ว่าไม้แปรรูปของกลางได้มาหรือมีไว้เนื่องจากการกระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้ฯอันจะพึงริบได้ตามมาตรา 74 และด้วยเหตุนี้ การกระทำผิดของจำเลยจึงเป็นเพียงการไม่ได้รับอนุญาตให้ตั้งโรงงานแปรรูปไม้เท่านั้นไม้แปรรูปของกลางจึงไม่อาจริบได้ ทั้งเครื่องมือเครื่องใช้ของกลางก็ไม่ใช่สิ่งที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิดหรือได้ใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิดฐานตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตตามมาตรา 74 ทวิ จึงริบเครื่องเลื่อยวงเดือนและมอเตอร์ ไฟฟ้าของกลางไม่ได้เช่นกัน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4029/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบของกลางในความผิดพ.ร.บ.ป่าไม้: ไม้แปรรูปต้องได้มาจากการกระทำผิดจึงริบได้, เครื่องมือต้องใช้ในการกระทำผิด
จำเลยตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยใช้เครื่องมือเพื่อทำการเลื่อยไม้ให้เปลี่ยนรูปหรือขนาดไปจากเดิมโดยไม่ได้รับอนุญาต และเจ้าพนักงานยึดไม้ยางพาราแปรรูปจำนวน 50 แผ่น ปริมาตร 0.00399 ลูกบาศก์เมตรและเครื่องเลื่อยวงเดือนขนาด 3 แรงม้า 2 เครื่อง ขนาด 5 แรงม้า1 เครื่อง และมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ลูก เป็นของกลาง โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับไม้ของกลางเพียงว่าเป็นไม้ที่ได้มาและมีไว้เนื่องจากการกระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้แปรรูปไม้ของกลาง และไม้ของกลางมีจำนวนไม่เกิน 0.20ลูกบาศก์เมตร จำเลยจึงไม่อาจมีความผิดฐานมีไม้แปรรูปไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯมาตรา 48 กรณีไม่อาจถือได้ว่าไม้แปรรูปของกลางได้มาหรือมีไว้เนื่องจากการกระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ อันจะพึงริบได้ตามมาตรา 74 การกระทำผิดของจำเลยจึงเป็นเพียงการไม่ได้รับอนุญาตให้ตั้งโรงงานแปรรูปไม้เท่านั้นไม้แปรรูปของกลางจึงไม่อาจริบได้ ทั้งเครื่องมือเครื่องใช้ของกลางก็ไม่ใช่สิ่งที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิดหรือได้ใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิดฐานตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตตาม มาตรา 74 ทวิจึงริบเครื่องเลื่อยวงเดือนและมอเตอร์ไฟฟ้าของกลางไม่ได้เช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1312/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของฟ้องอาญา: การบรรยายข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเขตควบคุมการแปรรูปไม้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยมีไม้สักแปรรูปไว้ในครอบครองภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ และจำเลยได้ทราบประกาศกำหนดเขตควบคุมการแปรรูปไม้ของทางราชการแล้ว เป็นการระบุมาในฟ้องแล้วว่าสถานที่ซึ่งจำเลยมีไม้แปรรูปไว้ในครอบครองนั้นอยู่ในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ ถือได้ว่าโจทก์ได้บรรยายข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดแล้ว ส่วนที่โจทก์มิได้แนบสำเนาประกาศเขตควบคุมการแปรรูปไม้มาพร้อมฟ้อง ก็ไม่ใช่สาระสำคัญอันจะทำให้ฟ้องโจทก์ไม่สมบูรณ์สำหรับสถานที่ซึ่งอ้างว่าจำเลยกระทำผิดอยู่ภายในเขตควบคุมหรือไม่ ก็เป็นเพียงประเด็นข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบในชั้นพิจารณาได้ ทั้งโจทก์บรรยายด้วยว่าประกาศดังกล่าวกำหนดเขตควบคุมการแปรรูปไม้ตลอดเขตท้องที่จังหวัดทุกจังหวัด คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1312/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของฟ้องอาญา: การบรรยายเขตควบคุมการแปรรูปไม้และการพิสูจน์ข้อเท็จจริงในชั้นพิจารณา
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยมีไม้สักแปรรูปไว้ในครอบครองภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ และจำเลยได้ทราบประกาศกำหนดเขตควบคุมการแปรรูปไม้ของทางราชการแล้ว ดังนี้ โจทก์ได้ระบุมาในฟ้องแล้วว่าสถานที่ซึ่งจำเลยมีไม้แปรรูปไว้ในครอบครองนั้นอยู่ในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ ถือได้ว่าโจทก์ได้บรรยายข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดแล้ว ส่วนที่โจทก์มิได้แนบสำเนาประกาศเขตควบคุมการแปรรูปไม้มาพร้อมฟ้อง ก็ไม่ใช่สาระสำคัญอันจะทำให้ฟ้องโจทก์ไม่สมบูรณ์ สำหรับสถานที่ซึ่งอ้างว่าจำเลยกระทำผิดอยู่ภายในเขตควบคุมหรือไม่ ก็เป็นเพียงประเด็นข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบในชั้นพิจารณาได้ ทั้งโจทก์บรรยายด้วยว่าประกาศดังกล่าวกำหนดเขตควบคุมการแปรรูปไม้ตลอดเขตท้องที่จังหวัดทุกจังหวัด คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่สมบูรณ์ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5).(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 577/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดหลายบท: การครอบครองไม้สักและไม้ประดู่/รัง แม้ฟ้องแยกปริมาณ ก็ถือเป็นกรรมเดียว
จำเลยทั้งสองมีไม้สักแปรรูปและไม้ประดู่กับไม้รังแปรรูปไว้ในครอบครองในคราวเดียวกัน แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องแยกจำนวนและปริมาตรของไม้ทั้งสองชนิดต่างหากจากกันก็ตาม แต่การกระทำของจำเลยทั้งสองก็เป็นความผิดตามมาตรา 48,73 แห่ง พระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 บทมาตราเดียวกัน การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 219/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำผิดฐานตัดไม้ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า: ความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทและบทหนักที่สุด
ความผิดฐานตัดฟันทำไม้ แปรรูปไม้ และมีไม้แปรรูปไว้ในครอบครองตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ มาตรา 11,48,73 แม้จำเลยจะกระทำต่อไม้จำนวนเดียวกัน แต่การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระกัน จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน การที่จำเลยเข้าไปตัดฟันทำไม้ในเขตรักษาพันธุ์ สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดสำเร็จฐานเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์ สัตว์ป่าตามมาตรา 23 แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2503 ทันทีที่จำเลยเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์ สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต และเป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระกับความผิดฐานตัดฟันทำไม้ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ มาตรา 73 วรรคสอง แต่การที่จำเลยเข้าไปตัดฟันทำไม้ในเขตรักษาพันธุ์ สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น ย่อมเป็นความผิดทั้งฐานตัดฟันทำไม้ตามมาตรา 73 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ และฐานตัดโค่นต้นไม้ในเขตรักษาพันธุ์ สัตว์ป่า ตามมาตรา24 แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าฯ กรณีทั้งสองเป็นเรื่องที่จำเลยกระทำในคราวเดียวกัน การกระทำของจำเลยจึงกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษฐานตัดฟันทำไม้ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ มาตรา 73 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 219/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานตัดไม้ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า: การพิจารณาความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรม
ความผิดฐานตัดฟันทำไม้ แปรรูปไม้ และมีไม้แปรรูปไว้ในครอบครอง ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ มาตรา 11,48,73 แม้จำเลยจะกระทำต่อไม้จำนวนเดียวกัน แต่การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระกัน จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน การที่จำเลยเข้าไปตัดฟันทำไม้ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดสำเร็จฐานเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าตามมาตรา 23 แห่งพระราชบัญญัติ สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2503 ทันทีที่จำเลยเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต และเป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระกับความผิดฐานตัดฟันทำไม้ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ มาตรา 73 วรรคสอง แต่การที่จำเลยเข้าไปตัดฟันทำไม้ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น ย่อมเป็นความผิดทั้งฐานตัดฟันทำไม้ตามมาตรา 73 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ฯและฐานตัดโค่นต้นไม้ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ตามมาตรา 24 แห่งพระราชบัญญัติ สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าฯ กรณีทั้งสองเป็นเรื่องที่จำเลยกระทำในคราวเดียวกัน การกระทำของจำเลยจึงกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษฐานตัดฟันทำไม้ตามพระราชบัญญัติ ป่าไม้ฯ มาตรา 73 วรรคสอง ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3168/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดกรรมเดียวจากการมีไม้สักและไม้แดงแปรรูป แม้บทบัญญัติกำหนดโทษต่างวรรคกัน
การที่จำเลยมีไม้สักแปรรูปและไม้แดงแปรรูปไว้ในครอบครองในคราวเดียวกัน ซึ่งบทมาตราที่บัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษก็เป็นบทมาตราเดียวกัน เพียงแต่กำหนดประเภทไม้ทั้งสองไว้ต่างวรรคกันตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 73 วรรคสอง (1) และ (2)จึงเป็นความผิดกรรมเดียว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2498/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบรถยนต์ของกลางในคดีป่าไม้: ศาลพิจารณาจากความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ และใช้ดุลพินิจตามประมวลกฎหมายอาญา
การมีถ่านไม้อันเป็นของป่าหวงห้ามไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต มิใช่การกระทำอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯมาตรา 11,48,54 และ 69 รถยนต์ของกลางซึ่งใช้เป็นยานพาหนะขนถ่านไม้ดังกล่าวจึงไม่อยู่ในข่ายอันจะพึงริบได้ตามมาตรา 74 ทวิแต่ศาลนำประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 มาใช้บังคับในการที่จะริบรถยนต์ของกลางที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิดได้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 17
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2498/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบรถยนต์ที่ใช้ขนถ่านไม้ผิดกฎหมาย: ศาลใช้ดุลพินิจตามประมวลกฎหมายอาญา แม้ พ.ร.บ.ป่าไม้ไม่ได้บัญญัติริบ
การมีถ่านไม้อันเป็นของป่าหวงห้ามไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต มิใช่การกระทำอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ มาตรา 11,48,54 และ 69 รถยนต์ของกลางซึ่งใช้เป็นยานพาหนะขนถ่านไม้ดังกล่าวจึงไม่อยู่ในข่ายอันจะพึงริบได้ตามมาตรา74 ทวิ แต่ศาลนำประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 มาใช้บังคับในการที่จะริบรถยนต์ของกลางที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิดได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 17.