คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.อ. ม. 296

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 84 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1752/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายด้วยการใช้มีดเผาไฟนาบ ถือเป็นการกระทำโดยทารุณโหดร้าย แม้ไม่ปรากฏระยะเวลาเผาไฟ
การที่จำเลยใช้มีดปลายแหลมยาว10นิ้วเผาไฟแล้วนาบที่บริเวณแก้มแขนไหล่หลังและโคนขาของโจทก์แม้จะไม่ปรากฏว่ามีดที่เผาไฟนั้นเผาไฟมานานเท่าใดและมีความร้อนเพียงใดแต่จากลักษณะบาดแผลที่โจทก์ได้รับแสดงให้เห็นว่ามีดถูกเผาไฟจนร้อนมากเพราะเมื่อนำไปนาบโจทก์แล้วทำให้เกิดไหม้พองผิวหนังหลุดแพทย์ลงความเห็นว่าหากรักษาตามวิธีการที่ถูกต้องแผลจะหายภายใน10วันแต่จะเป็นรอยแผลเป็นการกระทำของจำเลยเป็นการทำร้ายโดยมุ่งประสงค์ให้โจทก์ได้รับความเจ็บปวดทรมานยิ่งกว่าการทำร้ายโดยทั่วไปถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยทารุณโหดร้ายส่วนแผลเป็นที่ใบหน้าโจทก์จะมีความกว้างยาวขนาดไหนและยืนห่างแค่ไหนจึงจะสามารถมองเห็นได้นั้นเป็นปัญหาที่จะต้องพิจารณาว่าโจทก์ได้รับอันตรายสาหัสเพราะหน้าเสียโฉมอย่างติดตัวหรือไม่ซึ่งไม่เกี่ยวกับปัญหาว่าเป็นการกระทำโดยทารุณโหดร้ายแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5251/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปรับบทลงโทษความผิดต่อเจ้าพนักงาน: มาตรา 296 ไม่ต้องปรับตาม 295, มาตรา 140 ต้องปรับตาม 138
การปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 296ไม่จำต้องปรับบทลงโทษตาม มาตรา 295 อีก ส่วนการปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 140 วรรคแรก นั้น ต้องปรับบทลงโทษตามมาตรา 138 วรรคสองด้วย เพราะมาตรา 140 วรรคแรก มิได้บัญญัติความผิดไว้ชัดแจ้งในตัว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 501/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน-ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่-ทำร้ายร่างกาย: ศาลฎีกาพิพากษากลับให้ลงโทษ
เมื่อผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลย จำเลยกล่าวกับผู้เสียหายว่า เป็นนายจับอย่างไรก็ได้และเรียกทำเย็ดแม่ดังนี้ที่จำเลยกล่าวว่าเป็นนายจับอย่างไรก็ได้ เป็นเพียงคำกล่าวในทำนองตัดพ้อต่อว่า ไม่ได้กล่าวหาว่า ผู้เสียหายกลั่นแกล้งจึงไม่เป็นการดูหมิ่นผู้เสียหาย แต่ที่จำเลยกล่าวว่า เรียกทำเย็ดแม่เป็นคำด่าอันเป็นการดูหมิ่นผู้เสียหายแล้ว จำเลยจึงมีความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 136 เมื่อผู้เสียหายจับกุมจำเลยในข้อหาดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ จำเลยดิ้นรนขัดขืนและชกหน้าผู้เสียหาย1 ครั้ง จนฟันผู้เสียหายหักและมีโลหิตไหลออกจากปาก จำเลยจึงมีความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสองและทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 296 อีกกระทงหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 134/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน การกระทำที่แสดงเจตนาและความร่วมมือ
การที่จำเลยทั้งสองชวนและพาผู้เสียหายออกไปจากเวทีรำวงครั้นถึงที่เกิดเหตุจำเลยที่ 1 ร้องบอกให้คนร้ายตีผู้เสียหายจนล้มลง แล้วจำเลยทั้งสองจับมือของผู้เสียหายไว้เพื่อให้คนร้ายทำร้ายผู้เสียหาย เห็นได้ชัดว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาร่วมกับพวกทำร้ายผู้เสียหาย และแสดงว่าจำเลยทั้งสองกับพวกต้องคบคิดวางแผนนัดหมายกันไว้ก่อน การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289,80,83 แม้ทางพิจารณาได้ความว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 296,83 ก็เป็นความผิดที่รวมอยู่ในลักษณะเดียวกัน แม้มิใช่ความผิดที่โจทก์ฟ้องโดยตรงและมิใช่มาตราที่โจทก์ขอให้ลงโทษ ศาลก็ลงโทษจำเลยทั้งสองตามที่พิจารณาได้ความได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคท้าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 134/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร่วมกันทำร้ายร่างกายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน แม้ไม่ใช่ความผิดตามฟ้อง ศาลลงโทษได้ตามความผิดที่พิจารณาได้
การที่จำเลยทั้งสองชวนและพาผู้เสียหายออกไปจากเวทีรำวงเมื่อถึงที่เกิดเหตุจำเลยที่ 1 ร้องบอกให้พวกของจำเลยทั้งสองที่รอคอยอยู่ก่อนเข้าทำร้ายผู้เสียหาย แสดงว่าจำเลยทั้งสองกับพวกคบคิดวางแผนนัดหมายกันไว้ก่อน การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน แม้ทางพิจารณาปรากฏว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดเพียงฐานทำร้ายผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยไม่มีเจตนาฆ่าผู้เสียหายตามฟ้อง แต่ก็ถือว่าเป็นความผิดที่รวมอยู่ในลักษณะเดียวกัน แม้มิใช่ความผิดตามที่โจทก์ฟ้องโดยตรง และมิใช่มาตราที่โจทก์ขอให้ลงโทษ ศาลก็ลงโทษจำเลยทั้งสองตามที่พิจารณาได้ความได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3999/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินเจตนาการกระทำ: จากพยายามฆ่าเป็นทำร้ายร่างกาย เนื่องจากพฤติการณ์แสดงเจตนาให้หยุดการกระทำมากกว่ามุ่งหวังเอาชีวิต
บันทึกการจับกุมที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจลงชื่อ 16 คนแม้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ลงชื่อในบันทึกการจับกุมทั้งหมดจะไปร่วมจับกุมด้วยหรือไม่ แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 คนร่วมทำการจับคนร้ายจริง แม้บันทึกบางส่วนจะไม่เป็นจริงก็ไม่ทำให้พยานหลักฐานโจทก์เสียไป จำเลยเข้าแย่งกระเป๋าจากผู้เสียหาย นาย อ.ซึ่งนั่งติดกับผู้เสียหายได้ช่วยเหลือผู้เสียหาย ในขณะที่มีการแย่งกระเป๋ากันอยู่ จำเลยก็อยู่ใกล้นาย อ.ทั้งมือจำเลยก็ไม่มีอะไรขัดขวางไม่ให้เคลื่อนไหว จำเลยย่อมมีโอกาสยิง นาย อ. ตรงส่วนใดของร่างกายก็ได้การที่จำเลยยิงที่มือนาย อ. เป็นพฤติการณ์ที่แสดงว่าประสงค์จะให้นาย อ. ปล่อยกระเป๋า มิใช่ประสงค์จะฆ่านาย อ. จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 296 เท่านั้น โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289,339,340 ตรี ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 296 ซึ่งเป็นความผิดตามที่รวมอยู่ในการกระทำข้อหาพยายามฆ่า ศาลมีอำนาจลงโทษตามความผิดฐานทำร้ายร่างกายได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3999/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดพยายามฆ่า vs. ทำร้ายร่างกาย: ศาลลงโทษตามความผิดที่รวมอยู่ด้วยได้
บันทึกการจับกุมที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจลงชื่อ 16 คน แม้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ลงชื่อในบันทึกการจับกุมทั้งหมดจะไปร่วมจับกุมด้วยหรือไม่แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 คน ร่วมทำการจับคนร้ายจริง แม้บันทึกบางส่วนจะไม่เป็นจริง ก็ไม่ทำให้พยานหลักฐานโจทก์เสียไป
จำเลยเข้าแย่งกระเป๋าจากผู้เสียหาย นาย อ.ซึ่งนั่งติดกับผู้เสียหายได้ช่วยเหลือผู้เสียหาย ในขณะที่มีการแย่งกระเป๋ากันอยู่ จำเลยก็อยู่ใกล้นาย อ.ทั้งมือจำเลยก็ไม่มีอะไรขัดขวางไม่ให้เคลื่อนไหว จำเลยย่อมมีโอกาสยิง นาย อ.ตรงส่วนใดของร่างกายก็ได้ การที่จำเลยยิงที่มือนาย อ.เป็นพฤติการณ์ที่แสดงว่าประสงค์จะให้นาย อ.ปล่อยกระเป๋า มิใช่ประสงค์จะฆ่านาย อ. จำเลยจึงมีความผิดตาม ป.อ.มาตรา 296 เท่านั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 289, 339, 340 ตรีทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายตาม ป.อ.มาตรา 296ซึ่งเป็นความผิดที่รวมอยู่ในการกระทำข้อหาพยายามฆ่า ศาลมีอำนาจลงโทษตามความผิดฐานทำร้ายร่างกายได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 825/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขัดขวางการตรวจค้นของเจ้าพนักงานสรรพสามิตและการทำร้ายร่างกาย ถือเป็นกรรมเดียว
เจ้าพนักงานสรรพสามิตมีอำนาจเข้าไปตรวจค้นในสถานที่ของผู้ได้รับอนุญาตให้ขายสุราในเวลาทำการได้ตามพระราชบัญญัติสุราพ.ศ. 2493 มาตรา 28 โดยไม่ต้องมีหมายค้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 92 จำเลยใช้ขวดตีผู้เสียหายที่ 1 ที่ 2 และใช้ขวานเงื้อจะฟันผู้เสียหายที่ 3 ในขณะที่ผู้เสียหายทั้งสามทำการตรวจค้น แสดงว่าจำเลยมีเจตนาเพื่อการขัดขวางในครั้งนี้เท่านั้น จึงเป็นการกระทำกรรมเดียว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5847/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามในข้อเท็จจริง: พยายามฆ่าเจ้าพนักงาน และข้อหาทำร้ายร่างกาย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 288, 289 ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า กรณีมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่สมควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าพิพากษาแก้เป็นให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ดังนี้ ข้อหาฐานพยายามฆ่าต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 โจทก์ฎีกาว่า จำเลยได้กระทำผิดต่อผู้เสียหายในขณะที่ผู้เสียหายเป็นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่นั้น เมื่อฎีกาโจทก์ต้องห้ามเสียแล้วคดีไม่อาจขึ้นสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกาได้ จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหาฐานทำร้ายร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 296 ด้วยศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้ยกฎีกาโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5847/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามในปัญหาข้อเท็จจริง: พยายามฆ่าเจ้าพนักงาน และทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงาน
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80,288,289ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า กรณีมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่สมควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าพิพากษาแก้เป็นให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295ดังนี้ ข้อหาฐานพยายามฆ่าต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 โจทก์ฎีกาว่า จำเลยได้กระทำผิดต่อผู้เสียหายในขณะที่ผู้เสียหายเป็นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่นั้น เมื่อฎีกาโจทก์ต้องห้ามเสียแล้วคดีไม่อาจขึ้นสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกาได้ จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหาฐานทำร้ายร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 296 ด้วย ศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้ยกฎีกาโจทก์
of 9