พบผลลัพธ์ทั้งหมด 449 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 873/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความสะดุดหยุดเมื่อมีการรับสภาพหนี้ แม้มีหลักฐานสัญญากู้ยืม การฟ้องภายใน 10 ปีนับจากรับสภาพหนี้ไม่ขาดอายุความ
แม้วันที่จำเลยได้กู้เงินโจทก์ไป ถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกิน 10 ปีแล้วก็ตาม แต่เมื่อวันที่จำเลยรับสภาพหนี้นั้นถึงวันฟ้องยังไม่เกิน 10 ปี เช่นนี้คดีโจทก์ก็ยังไม่ขาดอายุความ
การรับสภาพหนี้นั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นหนี้ที่ไม่มีหลักฐาน แม้หนี้ที่มีหลักฐานสัญญากู้ยืมอยู่แล้วก็มีการรับสภาพหนี้กันได้
จำเลยทำสัญญากู้ให้โจทก์ไว้เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2496 และต่อมาเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2501 จำเลยได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้นั้นซึ่งเป็นฉบับท้ายฟ้องโจทก์ ดังนี้ เมื่อปราฏว่าโจทก์ฟ้องเรียกหนี้เงินกู้ซึ่งจำเลยก็ไปเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2496 ส่วนเดียวเท่านั้น ฟ้องโจทก์จึงหาใช่ฟ้องให้ชำระหนี้ส่วนอุปกรณ์ซึ่งมีหนี้ในส่วนทีเป็นประธานแต่อย่างใดไม่จะนำมาตรา 190 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาปรับแก่คดีนี้ไม่ได้
การรับสภาพหนี้นั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นหนี้ที่ไม่มีหลักฐาน แม้หนี้ที่มีหลักฐานสัญญากู้ยืมอยู่แล้วก็มีการรับสภาพหนี้กันได้
จำเลยทำสัญญากู้ให้โจทก์ไว้เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2496 และต่อมาเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2501 จำเลยได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้นั้นซึ่งเป็นฉบับท้ายฟ้องโจทก์ ดังนี้ เมื่อปราฏว่าโจทก์ฟ้องเรียกหนี้เงินกู้ซึ่งจำเลยก็ไปเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2496 ส่วนเดียวเท่านั้น ฟ้องโจทก์จึงหาใช่ฟ้องให้ชำระหนี้ส่วนอุปกรณ์ซึ่งมีหนี้ในส่วนทีเป็นประธานแต่อย่างใดไม่จะนำมาตรา 190 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาปรับแก่คดีนี้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 766/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขัดขวางการตรวจสอบภาษีอากร: การหยุดเครื่องจักรไม่ถือเป็นการขัดขวางหากเจ้าหน้าที่ไม่ได้ต้องการตรวจเครื่องจักร
เจ้าหน้าที่ ก.ต.ภ.ไปตรวจสอบการปฏิบัติเกี่ยวแก่ภาษีอากรที่โรงเลื่อยจักของจำเลยและได้สั่งให้จำเลยหยุดเดินเครื่องยนต์เพื่อความสะดวกในการตรวจการปฏิบัติงาน แต่จำเลยไม่ยอมและขัดขวางไม่ให้เจ้าหน้าที่หยุดเดินเครื่องยนต์นั้น เมื่อฟ้องของโจทก์ไม่ปรากฎว่าจำเลยได้ขัดขวางไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าไปในโรงงานหรือไม่มาให้ถ้อยคำหรือขัดขวางไม่ให้ความสะดวกในการยึด+ แต่อย่างใดเพียงแต่จำเลยไม่ยอมหยุดเดินเครื่องยนต์และขัดขวางไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่หยุดเดินเครื่องยนต์เท่านั้น เมื่อไม่ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ต้องการตรวจเครื่องยนต์หรือตรวจไม้ที่กำลังแปรรูปอยู่ เจ้าหน้าที่จึงไม่มีความจำเป็นอย่างใดที่จะให้จำเลยหยุดเดินเครื่องยนต์ หากเจ้าหน้าที่ประสงค์จะตรวจค้นหรือตรวจสอบบัญชีเอกสารหรือวัตถุใด ๆ ก็ย่อมทำได้ การกระทำของจำเลยไม่เป็นการขัดขวางหรือไม่ให้ความสะดวกแก่กรรมการหรือเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติตรวจสอบการปฏิบัติเกี่ยวแก่ภาษีอากรและรายได้อื่นของรัฐ พ.ศ.2503 มาตรา 13
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 764/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบวกโทษที่รอการลงโทษตามมาตรา 58 ต้องมีคำขอในฟ้อง แม้มิใช่บทบัญญัติที่ต้องอ้างในฟ้อง
การที่ศาลจะบอกโทษที่รอการลงโทษไว้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 58 ได้นั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามิได้บัญญัติไว้โดยตรงว่าให้กล่าวในฟ้อง และมีคำขออย่างไร ต่างกับขอให้เพิ่มโทษ แต่มาตรา 192 ก็ห้ามมิให้พิพากษาหรือสั่งเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง ฉะนั้น โจทก์ต้องกล่าวมาในฟ้องและมีคำขอมาด้วย แต่มาตรา 58 นี้มิใช่เป็นมาตราที่บัญญัติว่าเป็นการกระทำความผิดอันจำต้องอ้างมาตราในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(6) ดังนั้น เมื่อโจทก์ได้กล่าวมาในฟ้องและมีคำขอแล้ว โจทก์จะอ้างมาตรา 58 หรือไม่ ศาลก็บวกโทษที่รอการลงโทษไว้เข้ากับโทษในคดีหลังได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 764/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบวกโทษรอการลงโทษตาม ม.58 ต้องมีการขอในฟ้อง หากโจทก์ขอแล้ว ศาลบวกได้ แม้ไม่ได้อ้าง ม.58 โดยตรง
การที่ศาลจะบวกโทษที่รอการลงโทษไว้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 ได้นั้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามิได้บัญญัติไว้โดยตรงว่าให้กล่าวในฟ้องและมีคำขออย่างไร ต่างกับขอให้เพิ่มโทษแต่มาตรา 192 ก็ห้ามมิให้พิพากษาหรือสั่งเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง ฉะนั้น โจทก์ต้องกล่าวมาในฟ้องและมีคำขอมาด้วยแต่มาตรา 58 นี้มิใช่เป็นมาตราที่บัญญัติว่าเป็นการกระทำความผิดอันจำต้องอ้างมาตรามาในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(6) ดังนั้น เมื่อโจทก์ได้กล่าวมาในฟ้องและมีคำขอแล้วโจทก์จะอ้างมาตรา 58 หรือไม่ ศาลก็บวกโทษที่รอการลงโทษไว้เข้ากับโทษในคดีหลังได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 763/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือพิมพ์รายคาบยังคงสถานะตามกฎหมาย หากพิมพ์ต่อเนื่องและตรงตามวัตถุประสงค์ที่ได้รับอนุญาต
เอกสาร ล.4 เป็นสิ่งพิมพ์ซึ่งมีชื่อจ่าหน้าที่บรรทัดแรกของหน้าปกว่า "มวลชน" เช่นเดียวกับชื่อจ่าหน้าของหนังสือพิมพ์มวลชนฉบับอื่น ๆ ที่จำเลยได้พิมพ์ออกโฆษณา และเอกสาร ล.4 นี้ พิมพ์ออกจำหน่ายเพื่อเผยแพร่การศึกษาและส่งเสริมวิทยฐานะครู ถูกต้องตรงความประสงค์ที่จำเลยได้รับอนุญาต จึงถือได้ว่าเป็นหนังสือพิมพ์ตามความหมายแห่งพระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.2484 มาตรา 4
เมื่อจำเลยได้พิมพ์หนังสือพิมพ์มวลชนออกโฆษณาอยู่ตลอดมา การเป็นเจ้าของ บรรณาธิการผู้พิมพ์ ผู้โฆษณาของจำเลยซึ่งยังคงมีอยู่ ยังไม่สิ้นสุดตามาตรา 45 แห่งพระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.2484
เมื่อจำเลยได้พิมพ์หนังสือพิมพ์มวลชนออกโฆษณาอยู่ตลอดมา การเป็นเจ้าของ บรรณาธิการผู้พิมพ์ ผู้โฆษณาของจำเลยซึ่งยังคงมีอยู่ ยังไม่สิ้นสุดตามาตรา 45 แห่งพระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.2484
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 741/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีสำเร็จก่อนคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์: ผลผูกพันต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยก่อนศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยชั่วคราว และมิได้มีเจ้าหนี้อื่นยื่นคำร้องขอเฉลี่ยภายในกำหนด 14 วัน นับแต่วันขายทอดตลาด ถือว่าการบังคับคดีสำเร็จบริบูรณ์ไปแล้วใช้ยันแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 741/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีสำเร็จก่อนพิทักษ์ทรัพย์: ผลยันเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เมื่อไม่มีเจ้าหนี้อื่นยื่นคำร้อง
เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยก่อนศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยชั่วคราว และมิได้มีเจ้าหนี้อื่นยื่นคำร้องขอเฉลี่ยภายในกำหนด 14 วัน นับแต่วันขายทอดตลาด ถือว่าการบังคับคดีสำเร็จบริบูรณ์ไปแล้ว ใช้ยันแก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 710/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเช่าตึกเพื่อประกอบการค้า แม้จะให้ภริยาดำเนินการแทน ก็ถือเป็นการค้า มิใช่การอยู่อาศัย
จำเลยขายก๋วยเตี๋ยว กาแฟ น้ำแข็ง ในตึกพิพาทจดทะเบียนการค้ามีลูกจ้าง 5-6 คน มีตู้อาหาร โต๊ะเก้าอี้สำหรับนั่งกินดังนี้ หาใช่ว่าเป็นการค้าเล็กน้อยไม่
แม้จำเลยจะไม่ทำการค้าในตึกพิพาท แต่ให้ภริยาทำ ก็ถือว่าเป็นการค้าของจำเลย
จำเลยสืบพยานไปแล้ว 6 ปาก เป็นทำนองเดียวกัน ในเรื่องภริยาจำเลยทำการค้า จำเลยจะขอสืบเพิ่มเติมในข้อที่จำเลยเช่าอยู่อาศัยซึ่งไม่มีอะไรจะสืบนอกเหนือจากที่สืบไว้แล้วแม้ปล่อยให้สืบก็จะไม่ทำให้การวินิจฉัยข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไป เช่นนี้ย่อมเป็นการประวิงคดี
แม้จำเลยจะไม่ทำการค้าในตึกพิพาท แต่ให้ภริยาทำ ก็ถือว่าเป็นการค้าของจำเลย
จำเลยสืบพยานไปแล้ว 6 ปาก เป็นทำนองเดียวกัน ในเรื่องภริยาจำเลยทำการค้า จำเลยจะขอสืบเพิ่มเติมในข้อที่จำเลยเช่าอยู่อาศัยซึ่งไม่มีอะไรจะสืบนอกเหนือจากที่สืบไว้แล้วแม้ปล่อยให้สืบก็จะไม่ทำให้การวินิจฉัยข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไป เช่นนี้ย่อมเป็นการประวิงคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 710/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเช่าตึกเพื่อประกอบการค้า แม้จะให้ภริยาค้าแทน ก็ถือเป็นการใช้ตึกเพื่อการค้า ไม่ใช่เพื่ออยู่อาศัย
จำเลยขายก๋วยเตี๋ยว กาแฟ น้ำแข็ง ในตึกพิพาทจดทะเบียนการค้า มีลูกจ้าง 5- 6 คน มีตู้อาหาร โต๊ะเก้าอี้สำหรับนั่งกิน ดังนี้ หาใช่ว่าเป็นการค้าเล็กน้อยไม่
แม้จำเลยจะไม่ทำการค้าในตึกพิพาท แต่ให้ภริยาทำ ก็ถือว่าเป็นการค้าของจำเลย
จำเลยสืบพยานไปแล้ว 6 ปาก เป็นทำนองเดียวกัน ในเรื่องภริยาจำเลยทำการค้า จำเลยจะขอสืบเพิ่มเติมในข้อที่จำเลยเช่าอยู่อาศัยซึ่งไม่มีอะไรจะสืบนอกเหนือจากที่สืบไว้แล้ว แม้ปล่อยให้สืบก็จะไม่ทำให้การวินิจฉัยข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไป เช่นนี้ ย่อมเป็นการประวิงคดี
แม้จำเลยจะไม่ทำการค้าในตึกพิพาท แต่ให้ภริยาทำ ก็ถือว่าเป็นการค้าของจำเลย
จำเลยสืบพยานไปแล้ว 6 ปาก เป็นทำนองเดียวกัน ในเรื่องภริยาจำเลยทำการค้า จำเลยจะขอสืบเพิ่มเติมในข้อที่จำเลยเช่าอยู่อาศัยซึ่งไม่มีอะไรจะสืบนอกเหนือจากที่สืบไว้แล้ว แม้ปล่อยให้สืบก็จะไม่ทำให้การวินิจฉัยข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไป เช่นนี้ ย่อมเป็นการประวิงคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 697/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เบิกความเท็จต้องเกี่ยวกับข้อสำคัญในคดีอาญา การได้ยินคำพูดบุตรสาวโจทก์ไม่ใช่ข้อสำคัญ
ในคดีอาญาฐานวางเพลิงที่โจทก์ถูกฟ้องข้อสำคัญในคดีก็คือ โจทก์วางเพลิงหรือไม่จำเลยเบิกความโดยนำข้อความที่ตนได้ยินจากคำพูดบุตรสาวโจทก์ที่พูดว่าโจทก์ ("เป็นหยังตำรวจไม่มาลากคอมันไปบักเพลิงใหญ่") ซึ่งข้อความที่บุตรสาวโจทก์พูดนั้นจะเป็นความจริงหรือไม่ จำเลยไม่ได้ยืนยัน ถือไม่ได้ว่าจำเลยทำผิดฐานเบิกความเท็จ (อ้างฎีกาที่ 172/2483)