คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
เพรียง โรจนรัส

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 449 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1366/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประกันภัยไม่มีผลผูกพันเมื่อผู้เอาประกันภัยไม่มีส่วนได้เสียในเหตุการณ์ที่ประกันภัย
โจทก์จัดให้นายโอ่งประกันชีวิตโดยโจทก์เป็นผู้เสียเบี้ยประกันและเป็นผู้รับประโยชน์ โจทก์จึงเป็นผู้เอาประกัน เมื่อโจทก์ไม่มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้น สัญญาประกันภัยย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 863 โจทก์ย่อมไม่ได้รับประโยชน์จากกรมธรรม์สัญญานั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1366/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประกันภัย: ผู้ไม่มีส่วนได้เสียในเหตุประกันภัย สัญญาไม่ผูกพัน
โจทก์จัดให้นายโอ่งประกันชีวิตโดยโจทก์เป็นผู้เสียเบี้ยประกันและเป็นผู้รับประโยชน์ โจทก์จึงเป็นผู้เอาประกัน เมื่อโจทก์ไม่มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้นั้น สัญญาประกันภัยย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญา ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 863 โจทก์ย่อมไม่ได้รับประโยชน์จากกรมธรรม์สัญญานั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1360/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องอาญาต้องระบุรายละเอียดทรัพย์ที่ถูกปล้นให้ชัดเจน เพื่อให้จำเลยเข้าใจข้อหาตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกสมคบกันปล้นทรัพย์ของนายชายและนางแอ๋ไปรวมราคา 3,344 บาท ตามบัญชีท้ายฟ้อง และบัญชีท้ายฟ้องระบุเพียงว่าทรัพย์ของนายชายราคา 1,344 บาททรัพย์ของนางแอ๋ราคา 2,000 บาท เมื่อโจทก์ไม่ได้ระบุว่าจำเลยปล้นทรัพย์อะไรไปบ้าง ฟ้องโจทก์จึงไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีตามมาตรา 158(5) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาจึงเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 25/2509)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1360/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องอาญาต้องระบุรายละเอียดทรัพย์สินที่ถูกปล้น เพื่อให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ชัดเจน
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกสมคบกันปล้นทรัพย์ของนายชายและนางแอ๋ไปรวมราคา 3,344 บาท ตามบัญชีท้ายฟ้อง และบัญชีท้ายฟ้องระบุเพียงว่าทรัพย์ของนายชายราคา 1,344 บาท ทรัพย์ของนางแอ๋ราคา 2,000 บาท เมื่อโจทก์ไม่ได้ระบุว่าจำเลยปล้นทรัพย์อะไรไปบ้าง ฟ้องโจทก์จึงไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีตามมาตรา 158(5) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาจึงเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 25/2509)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1342/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์รวมและความสามารถในการมีกรรมสิทธิ์ของคนต่างด้าว การฟ้องแบ่งทรัพย์สินต้องมีคุณสมบัติครบถ้วน
โจทก์ฟ้องขอแบ่งทรัพย์พิพาทครึ่งหนึ่งซึ่งเป็นที่ดินกับห้องแถวส่วนควบในที่ดิน อันเป็นลักษณะกรรมสิทธิ์รวมระหว่างโจทก์จำเลย ได้มาระหว่างอยู่กินร่วมกัน แต่ฟ้องโจทก์เองกลับบรรยายมาว่า โจทก์เป็นคนต่างด้าว ไม่สามารถมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและห้องแถวได้ การที่โจทก์เอาชื่อผู้อื่นใส่ในโฉนดแทนโจทก์ จึงหาก่อให้โจทก์มีสิทธิในทรัพย์พิพาทแต่ประการใดไม่ โจทก์จึงไม่ใช่เจ้าของผู้มีกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยในทรัพย์พิพาท ไม่มีสิทธิขอแบ่งทรัพย์พิพาทได้ ปัญหาเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ของโจทก์ในทรัพย์พิพาทดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลยกวินิจฉัยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1342/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์รวมและข้อจำกัดสิทธิของคนต่างด้าวในการถือครองที่ดิน ศาลยกฟ้องหากโจทก์ไม่มีสิทธิในทรัพย์สิน
โจทก์ฟ้องขอแบ่งทรัพย์พิพาทครึ่งหนึ่งซึ่งเป็นที่ดินกับห้องแถวส่วนควบในที่ดินอันเป็นลักษณะกรรมสิทธิ์รวมระหว่างโจทก์จำเลย ได้มาระหว่างอยู่กินร่วมกัน แต่ฟ้องโจทก์เองกลับบรรยายมาว่า โจทก์เป็นคนต่างด้าว ไม่สามารถมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและห้องแถวได้ การที่โจทก์เอาชื่อผู้อื่นใส่ในโฉนดแทนโจทก์ จึงหาก่อให้โจทก์มีสิทธิในทรัพย์พิพาทแต่ประการใดไม่ โจทก์จึงไม่ใช่เจ้าของผู้มีกรรมสิทธิ์รวมกับจำเลยในทรัพย์พิพาท ไม่มีสิทธิขอแบ่งทรัพย์พิพาทได้ ปัญหาเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ของโจทก์ในทรัพย์พิพาทดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลยกวินิจฉัยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1321/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินภาษีเงินได้และภาษีการค้าจากสัญญาซื้อขายเรือขุดโดยตัวแทนต่างประเทศ
โจทก์ได้รับมอบอำนาจจากผู้ขายที่อยู่ต่างประเทศให้ลงชื่อในสัญญาซื้อขายเรือขุดให้แก่การท่าเรือแห่งประเทศไทย การที่โจทก์ลงชื่อในสัญญาซื้อขายแทนผู้ขายย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้กระทำการแทนในการทำสัญญาขายนั้นแล้ว จึงต้องยื่นรายการและเสียภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 76 ทวิ
เมื่อโจทก์มิได้ยื่นรายการตามมาตรา 71(1) เจ้าพนักงานประเมินจึงประเมินเอาได้จากยอดรายรับหรือยอดขายก่อนหักรายจ่าย
แม้ผู้ขายเรือขุดจะได้ประกอบกิจการในประเทศไทยแต่เมื่อผู้ขายมีการค้าและสถานที่ทำการค้าอยู่ในต่างประเทศเพียงแต่ประกอบกิจการขายเรือขุด 2 ลำในประเทศไทยโดยมีการประมูลปีละลำ ยังไม่เป็นการประกอบหรือดำเนินการค้าในประเทศไทยตามประมวลรัษฎากรมาตรา 78 โจทก์ผู้ทำการแทนจึงไม่ต้องเสียภาษีการค้าและภาษีเทศบาล

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1321/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำแทนในการซื้อขายเรือขุดและการเสียภาษีของผู้แทน
โจทก์ได้รับมอบอำนาจจากผู้ขายที่อยู่ต่างประเทศให้ลงชื่อในสัญญาซื้อขายเรือขุดให้แก่การท่าเรือแห่งประเทศไทย การที่โจทก์ลงชื่อในสัญญาซื้อขายแทนผู้ขาย ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้กระทำการแทนในการทำสัญญาขายนั้นแล้ว จึงต้องยื่นรายการและเสียภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 76 ทวิ
เมื่อโจทก์มิได้ยื่นรายการตามมาตรา 71(1)เจ้าพนักงานประเมินจึงประเมินเอาได้จากยอดรายรับหรือยอดขายก่อนหักรายจ่าย
แม้ผู้ขายเรือขุดจะได้ประกอบกิจการในประเทศไทย แต่เมื่อผู้ขายมีการค้าและสถานที่ทำการค้าอยู่ในต่างประเทศ เพียงแต่ประกอบกิจการขายเรือขุด 2 ลำในประเทศไทยโดยมีการประมูลปีละลำ ยังไม่เป็นการประกอบหรือดำเนินการค้าในประเทศไทยตามประมวลรัษฎากร มาตรา 78 โจทก์ผู้ทำการแทนจึงไม่ต้องเสียภาษีการค้าและภาษีเทศบาล

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1307/2509

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแย่งการครอบครองที่ดินและผลของการฟ้องคดีล่าช้าเกิน 1 ปีตามมาตรา 1375
ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า เมื่อโจทก์ได้ยื่นคำขอการรับรองการทำประโยชน์ต่ออำเภอ จำเลยได้ยื่นคำคัดค้านโดยอ้างว่าโจทก์รังวัดทับที่ของจำเลย ซึ่งโจทก์ได้รับทราบคำคัดค้านของจำเลยแล้ว ดังนี้ การคัดค้านของจำเลยซึ่งให้โจทก์ได้ทราบแล้วนั้น ถือได้ว่าจำเลยได้บอกกล่าวไปยังโจทก์โดยตรงว่าไม่เจตนาจะยึดถือที่พิพาทแทนโจทก์ หากแต่จะยึดถือเพื่อตนเองต่อไปตามมาตรา 1381 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าจำเลยได้ถือสิทธิครอบครองที่พิพาทเพื่อตนเองตั้งแต่นั้นแล้วซึ่งเป็นการแย่งการครอบครองของโจทก์อยู่ในตัว การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองของโจทก์ต้องฟ้องภายใน 1 ปี ตาม มาตรา 1375 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หากโจทก์ฟ้องเมื่อเกิน 1 ปีแล้วศาลก็ต้องยกฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1307/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแย่งการครอบครองที่ดิน การบอกกล่าวเจตนาไม่เช่า และผลของการฟ้องเกิน 1 ปีตามมาตรา 1375
ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า เมื่อโจทก์ได้ยื่นคำขอการรับรองการทำประโยชน์ต่ออำเภอ จำเลยได้ยื่นคำคัดค้านโดยอ้างว่าโจทก์รังวัดทับที่ของจำเลย ซึ่งโจทก์ได้รับทราบคำคัดค้านของจำเลยแล้ว ดังนี้ การคัดค้านของจำเลยซึ่งให้โจทก์ได้ทราบแล้วนั้น ถือได้ว่าจำเลยได้บอกกล่าวไปยังโจทก์โดยตรงว่าไม่เจตนาจะยึดถือที่พิพาทแทนโจทก์ หากแต่จะยึดถือเพื่อตนเองต่อไปตามมาตรา 1381 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าจำเลยได้ถือสิทธิครอบครองที่พิพาทเพื่อตนเองตั้งแต่นั้นแล้ว ซึ่งเป็นการแย่งการครอบครองของโจทก์อยู่ในตัว การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองของโจทก์ต้องฟ้องภายใน 1 ปี ตามมาตรา 1375 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หากโจทก์ฟ้องเมื่อเกิน 1 ปีแล้วศาลก็ต้องยกฟ้อง
of 45