คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
กิตติ สีหนนทน์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 599 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1009/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความสมบูรณ์ของพินัยกรรมตามแบบเอกสารฝ่ายเมือง แม้ผู้ทำพินัยกรรมมิได้ยื่นคำร้องด้วยตนเอง
กฎกระทรวงมหาดไทยที่ว่า ผู้ใดจะทำพินัยกรรมเป็นแบบเอกสารฝ่ายเมืองให้ทำคำร้องแสดงความจำนงตามแบบของเจ้าพนักงานยื่นต่อกรมการอำเภอนั้น เป็นแต่เพียงระเบียบไม่เกี่ยวกับเรื่องแบบแห่งพินัยกรรม ฉะนั้น แม้ผู้ทำพินัยกรรมไม่ได้ยื่นคำร้องเอง ก็ไม่มีผลกระทบกระเทือนถึงความสมบูรณ์ของพินัยกรรม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1009/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แบบพินัยกรรมตามกฎหมาย: การยื่นคำร้องขอทำพินัยกรรมนอกสถานที่ มิใช่สาระสำคัญของแบบพินัยกรรม
กฏกระทรวงมหาดไทยที่ว่า ผู้ใดจะทำพินัยกรรมเป็นแบบเอกสารฝ่ายเมือง ให้ทำคำร้องแสดงความจำนงตามแบบของเจ้าพนักงานยื่นต่อกรมการอำเภอนั้น เป็นแต่เพียงระเบียบไม่เกี่ยวกับเรื่องแบบแห่งพินัยกรรม ฉะนั้น แม้ผู้ทำพินัยกรรมไม่ได้ยื่นคำร้องเอง ก็ไม่มีผลกระทบกระเทือนถึงความสมบูรณ์ของพินัยกรรม.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1004/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางละเมิดจากการลากจูงเรือ ชนกันในทางเดินเรือ
จำเลยลากจูงเรือโยงมาแล้วทำให้เรือโยงลำท้ายขบวนส่ายเข้าไปชนเรือโจทก์ในเส้นทางเดินเรือของโจทก์โดยไม่มีข้อแก้ตัวอย่างใด และการนั้นก็มิได้เกิดจากความประมาทเลินเล่อของฝ่ายเรือโจทก์ ฝ่ายจำเลยจึงเป็นผู้ทำละเมิด
จำเลยที่ 1 เป็นนายท้ายเรือ ได้กระทำละเมิดไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของเรือู้เป็นนายจ้าง จำเลยทั้งสองจึงต้องร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการละเมิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1004/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางละเมิดจากการลากจูงเรือโดยประมาท ชนเรือผู้อื่นในเส้นทางเดินเรือ
จำเลยลากจูงเรือโยงมาแล้วทำให้เรือโยงลำท้ายขบวนส่ายเข้าไปชนเรือโจทก์ในเส้นทางเดินเรือของโจทก์โดยไม่มีข้อแก้ตัวอย่างใด และการนั้นก็มิได้เกิดจากความประมาทเลินเล่อของฝ่ายเรือโจทก์ ฝ่ายจำเลยจึงเป็นผู้ทำละเมิด
จำเลยที่ 1 เป็นนายท้ายเรือ ได้กระทำละเมิดไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของเรือผู้เป็นนายจ้าง จำเลยทั้งสองจึงต้องร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการละเมิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1003/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในทรัพย์สินจากการยืมเงินเพื่อปลูกสร้าง: การโอนสิทธิยังไม่สมบูรณ์แบบ
จำเลยดำเนินการปลูกสร้างแต่ยังไม่สำเร็จบริบูรณ์เพราะขาดเงิน จำเลยจึงยืมเงินผู้ร้องโดยมีข้อตกลงว่าจำเลยจะทำการปลูกสร้างต่อไปให้แล้วเสร็จ ตึกแถวที่ปลูกสร้างนี้จำเลยจะเป็นผู้จัดหาผู้เช่าเข้ามาเช่าโดยตกลงทำสัญญากับผู้ร้องแต่ละห้อง และเจ้าของที่ดินได้ให้ความยินยอมด้วย จำเลยกับผู้ร้องยังได้ตกลงกันอีกว่า ถ้าจำเลยชำระเงินที่ยืมคืนเมื่อใด ผู้ร้องจะโอนสิทธิในการปลูกสร้าง รวมทั้งสิทธิให้เช่าตึกแถวแก่จำเลยทันที ผู้ร้องยังรับรองต่อไปด้วยว่า ถ้าจำเลยสร้างไม่เสร็จ ผู้ร้องจะเป็นผู้สร้างและออกทุนเองแทนจำเลย ปรากฏว่าจำเลยสร้างไม่เสร็จ ผู้ร้องจึงต้องปลูกสร้างต่อจนเสร็จ ข้อตกลงดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่า ผู้ร้องคงมีสิทธิเพียงเป็นผู้ทำการปลูกสร้างต่อไป รวมทั้งสิทธิที่จะทำสัญญาเช่ากับผู้เช่าที่จำเลยจัดหามาเท่านั้น ส่วนกรรมสิทธิ์และสิทธิในการจัดหาคนมาเช่าก็ยังคงเป็นของจำเลยอยู่ตามเดิมและไม่เป็นการโอนสิทธิของจำเลยให้ผู้ร้องโดยเด็ดขาด ผู้ร้องไม่มีอำนาจร้องขัดทรัพย์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1003/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในทรัพย์สินจากการยืมเงินปลูกสร้าง: การโอนสิทธิไม่สมบูรณ์และอำนาจร้องขัดทรัพย์
จำเลยดำเนินการปลูกสร้างแต่ยังไม่สำเร็จบริบูรณ์เพราะขาดเงิน จำเลยจึงยืมเงินผู้ร้องโดยมีข้อตกลงว่า จำเลยจะทำการปลูกสร้างต่อไปให้แล้วเสร็จ ตึกแถวที่ปลูกสร้างนี้จำเลยจะเป็นผู้จัดหาผู้เช่าเข้ามาเช่าโดยตกลงทำสัญญากับผู้ร้องแต่ละห้องและเจ้าของที่ดินได้ให้ความยินยอมด้วยจำเลยกับผู้ร้องยังได้ตกลงกันอีกว่า ถ้าจำเลยชำระเงินที่ยืมคืนเมื่อใด ผู้ร้องจะโอนสิทธิในการปลูกสร้างรวมทั้งสิทธิให้เช่าตึกแถวแก่จำเลยทันที ผู้ร้องยังรับรองต่อไปด้วยว่า ถ้าจำเลยสร้างไม่เสร็จ ผู้ร้องจะเป็นผู้สร้างและออกทุนเองแทนจำเลย ปรากฏว่าจำเลยสร้างไม่เสร็จ ผู้ร้องจึงต้องปลูกสร้างต่อจนเสร็จ ข้อตกลงดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่า ผู้ร้องคงมีสิทธิเพียงเป็นผู้ทำการปลูกสร้างต่อไปรวมทั้งสิทธิที่จะทำสัญญาเช่ากับผู้เช่าที่จำเลยจัดหามาเท่านั้น ส่วนกรรมสิทธิ์และสิทธิในการจัดหาคนมาเช่าก็ยังคงเป็นของจำเลยอยู่ตามเดิม และไม่เป็นการโอนสิทธิของจำเลยให้ผู้ร้องโดยเด็ดขาด ผู้ร้องไม่มีอำนาจร้องขัดทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 992-993/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสละสิทธิในที่ดินเพื่อชำระหนี้ และผลกระทบต่อคดีแพ่งอาญาที่เกี่ยวข้อง
ในคดีบุกรุกในทางอาญา ซึ่งมิได้พิพาทกันในเรื่องสิทธิในที่พิพาทโดยตรง และในที่สุดศาลเห็นว่าเป็นเรื่องเถียงสิทธิที่พิพาทในทางแพ่งขาดเจตนาบุกรุก ลงโทษไม่ได้ เช่นนี้ จึงนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 46 มาใช้บังคับในคดีแพ่งซึ่งต่อมาได้มีการฟ้องร้องกันเกี่ยวกับสิทธิในที่พิพาทนั้น ย่อมไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 990/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หมิ่นประมาททางหนังสือพิมพ์: การคุ้มครองการรายงานข่าวศาล vs. ความเห็นส่วนตัว
โจทก์ในคดีนี้ได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยในความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักร จำเลยในคดีนี้ได้นำข่าวลงในหนังสือพิมพ์ของจำเลยว่า "อดีตกำนันแนว 5 เป็นลมที่ศาล พยานระบุกลางศาลคบเขมร" และลงเนื้อข่าวต่อไปว่า "กำนันผู้ต้องหาขายชาตินำการเคลื่อนไหวของทางการตำรวจทหารไทยไปเปิดเผยให้เขมรเป็นลมฟุมกลางศาล เมื่อถูกพยานปากสำคัญให้การว่าถูกกำนันใช้ไปติดต่อทหารเขมร.." และดำเนินข่าวต่อไปว่า โจทก์คดีนี้ถูกตำรวจจับกุมและถูกฟ้องต่อศาลทหารกรุงเทพ(ศาลอาญา)ข้อความที่จำเลยลงข่าวนี้ เมื่ออ่านดูข้อความทั้งหมดแล้วเข้าใจได้ว่าเป็นการรายงายข่าวเรื่องที่โจทก์คดีนี้ถูกฟ้องในข้อหาว่ากระทำผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักร แม้จะเป็นการเขียนข่าวโดยใช้ถ้อยคำให้ผิดเพี้ยนจากที่โจทก์ถูกฟ้องไปบ้าง เช่นใช้คำว่า "แนว 5" "คนขายชาติ" ก็ตาม แต่ก็เป็นถ้อยคำที่มีความหมายทำนองเดียวกับที่โจทก์ถูกฟ้องนั่นเอง ส่วนเรื่องที่จำเลยลงข่าวว่าโจทก์เป็นลมล้มพับลงกลางศาลนั้น ความจริงโจทก์เพียงแต่แถลงต่อศาลว่าปวดศีรษะมากจะเป็นลม แม้จำเลยได้แจ้งข่าวเกินเลยความจริงไปบ้างก็ตาม แต่ยังไม่พอที่จะถือได้ว่าจำเลยได้กระทำไปโดยไม่สุจริต ฉะนั้น เนื้อข่าวของจำเลยตอนนี้จึงถือได้ว่าได้แจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรมเรื่องการดำเนินการอันเปิดเผยในศาลย่อมได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 329(4) แห่งประมวลกฎหมายอาญา ไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท
จำเลยลงภาพโจทก์และเขียนข้อความลงใต้ภาพของโจทก์ว่า "คนขายชาติ อดีตกำนันยี ดันยี คนไทยผู้ยอมเป็นลูกมือเขมร สืบราชการลับ เมื่อถูกตีแผ่ความผิดถึงกับเป็นลมกลางศาล" ข้อความในตอนนี้เป็นคนละตอนแยกออกต่างหากจากเนื้อข่าวที่กล่าวแล้วในตอนแรก และไม่ใช่เป็นการแจ้งข่าวเรื่องการดำเนินการอันเปิดเผยในศาล แต่เป็นถ้อยคำของหนังสือพิมพ์จำเลยเอง ประชาชนผู้อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ย่อมเข้าใจได้ว่า โจทก์เป็นคนขายชาติเป็นคนไทยผู้ยอมเป็นลูกมือเขมรสืบราชการลัม ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริง ความจริงโจทก์เพียงแต่ถูกฟ้องร้องต่อศาลเท่านั้น เมื่อโจทก์ลงข่าวโดยแสดงความเห็นเสียเองเช่นนี้ จึงเป็นการใส่ความโจทก์โดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังได้ เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 ประกอบกับมาตรา 328 และการลงข่าวตอนนี้ไม่ใช่เป็นการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรมเรื่องการดำเนินการอันเปิดเผยในศาล จำเลยจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 329(4)
จำเลยที่ 1 เป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ฉบับที่โจทก์นำมาฟ้อง จึงต้องรับผิดเป็นตัวการในการที่หนังสือพิมพ์จำเลยลงข่าวหมิ่นประมาทโจทก์ตามพระราชบัญญัติการพิมพ์ พ.ศ.2484 มาตรา 48 วรรค 2 แม้จำเลยที่ 1 จะไม่ได้ลงข่าวนี้โดยได้มอบหมายให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้ดำเนินการแทนก็ตาม จำเลยที่ 1 หาพ้นผิดไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 990/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหมิ่นประมาททางหนังสือพิมพ์: การคุ้มครองข่าวในศาล vs. การใส่ความเกินจริง
โจทก์ในคดีนี้ได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยในความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักร จำเลยในคดีนี้ได้นำข่าวลงในหนังสือพิมพ์ของจำเลยว่า "อดีตกำนันแนว 5 เป็นลมที่ศาลพยานระบุกลางศาลคบเขมร" และลงเนื้อข่าวต่อไปว่า"กำนันผู้ต้องหาขายชาตินำการเคลื่อนไหวของทางการตำรวจทหารไทยไปเปิดเผยให้เขมรเป็นลมฟุบกลางศาล เมื่อถูกพยานปากสำคัญให้การว่าถูกกำนันใช้ไปติดต่อทหารเขมร...." และดำเนินข่าวต่อไปว่า โจทก์คดีนี้ถูกตำรวจจับกุมและถูกฟ้องต่อศาลทหารกรุงเทพ(ศาลอาญา)ข้อความที่จำเลยลงข่าวนี้ เมื่ออ่านดูข้อความทั้งหมดแล้วเข้าใจได้ว่าเป็นการรายงานข่าวเรื่องที่โจทก์คดีนี้ถูกฟ้องในข้อหาว่ากระทำผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักร แม้จะเป็นการเขียนข่าวโดยใช้ถ้อยคำให้ผิดเพี้ยนจากที่โจทก์ถูกฟ้องไปบ้าง เช่นใช้คำว่า "แนว5""คนขายชาติ" ก็ตาม แต่ก็เป็นถ้อยคำที่มีความหมายทำนองเดียวกับที่โจทก์ถูกฟ้องนั่นเอง ส่วนเรื่องที่จำเลยลงข่าวว่าโจทก์เป็นลมล้มพับลงกลางศาลนั้น ความจริงโจทก์เพียงแต่แถลงต่อศาลว่าปวดศีรษะมากจะเป็นลม แม้จำเลยจะได้แจ้งข่าวเกินเลยความจริงไปบ้างก็ตาม แต่ยังไม่พอที่จะถือได้ว่าจำเลยได้กระทำไปโดยไม่สุจริต ฉะนั้นเนื้อข่าวของจำเลยตอนนี้จึงถือได้ว่าได้แจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรมเรื่องการดำเนินการอันเปิดเผยในศาลย่อมได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 329(4) แห่งประมวลกฎหมายอาญา ไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท
จำเลยลงภาพโจทก์และเขียนข้อความลงใต้ภาพของโจทก์ว่า"คนขายชาติอดีตกำนันยีตันยี คนไทยผู้ยอมเป็นลูกมือเขมรสืบราชการลับ เมื่อถูกตีแผ่ความผิดถึงกับเป็นลมกลางศาล" ข้อความในตอนนี้เป็นคนละตอนแยกออกต่างหากจากเนื้อข่าวที่กล่าวแล้วในตอนแรก และไม่ใช่เป็นการแจ้งข่าวเรื่องการดำเนินการอันเปิดเผยในศาล แต่เป็นถ้อยคำของหนังสือพิมพ์จำเลยเอง ประชาชนผู้อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ย่อมเข้าใจ ได้ว่าโจทก์เป็นคนขายชาติเป็นคนไทยผู้ยอมเป็นลูกมือเขมรสืบราชการลับ ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริง ความจริงโจทก์เพียงแต่ถูกฟ้องร้องต่อศาลเท่านั้น เมื่อโจทก์ลงข่าวโดยแสดงความเห็นเสียเองเช่นนี้ จึงเป็นการใส่ความโจทก์โดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังได้เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 ประกอบกับมาตรา 328 และการลงข่าวตอนนี้ไม่ใช่เป็นการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรมเรื่องการดำเนินการอันเปิดเผยในศาลจำเลยจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 329(4)
จำเลยที่ 1 เป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ฉบับที่โจทก์นำมาฟ้อง จึงต้องรับผิดเป็นตัวการในการที่หนังสือพิมพ์จำเลยลงข่าวหมิ่นประมาทโจทก์ตามพระราชบัญญัติการพิมพ์พ.ศ. 2484 มาตรา 48 วรรค 2 แม้จำเลยที่ 1 จะไม่ได้ลงข่าวนี้โดยได้มอบหมายให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้ดำเนินการแทนก็ตามจำเลยที่ 1 หาพ้นผิดไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 973/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิทำนาภายหลังคำพิพากษา: การกระทำไม่เป็นละเมิด แม้ศาลฎีกาพิพากษาเปลี่ยน
การที่จำเลยเข้าทำนาพิพาทในระหว่างที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ ไม่เป็นการผิดกฎหมายเพราะจำเลยเป็นผู้ชนะคดี ย่อมมีสิทธิเข้าทำนาได้โดยอาศัยสิทธิตามคำพิพากษา แม้ต่อมาภายหลังศาลฎีกาจะได้พิพากษากลับให้โจทก์ชนะก็ไม่ทำให้การกระทำของจำเลยในตอนนั้นกลายเป็นผิดกฎหมาย จึงไม่เป็นการละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420
of 60