พบผลลัพธ์ทั้งหมด 72 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 645/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลักลอบนำทรัพย์สินเข้าเรือนจำ: คำฟ้องไม่จำเป็นต้องระบุการฝ่าฝืนระเบียบเฉพาะเจาะจง หากกิริยา 'ลักลอบ' ครอบคลุมความผิดทั้งทางกฎหมายและระเบียบ
ผู้ว่าคดีฟ้องด้วยวาจาว่า " เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2506 เวลากลางวัน จำเลยได้ลักลอบนำธนบัตรเข้าไปในเรือนจำและมีไว้ในครอบครอง 580 บาท ฯลฯ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ.2479 มาตรา 37, 39, 45 วรรค 3 และริบของกลาง ฯลฯ" โดยไม่ได้แจ้งข้อความต่อศาลว่า "เป็นการฝ่าฝืนระเบียบหรือข้อบังคับของเรือนจำ" ด้วยนั้น ก็เป็นฟ้องที่ครบบริบูรร์แล้ว เพราะกิริยา "ลักลอบ" หมายถึงการนำธนบัตรเข้าไปในเรือนจำเป็นการกระทำผิดกฎหมายหรือฝ่าฝืนระเบียบหรือข้อบังคับของเรือนจำ อันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิดได้ทั้ง 2 กรณี
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 29/2507)
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 29/2507)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 645/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของคำฟ้องกรณีลักลอบนำสิ่งของเข้าเรือนจำ ศาลตีความ 'ลักลอบ' ครอบคลุมทั้งความผิดตามกฎหมายและระเบียบ
ผู้ว่าคดีฟ้องด้วยวาจาว่า 'เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2506 เวลากลางวันจำเลยได้ลักลอบนำธนบัตรเข้าไปในเรือนจำและมีไว้ในครอบครอง580 บาท ฯลฯ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ.2479 มาตรา 37,39,45 วรรคสาม และริบของกลางฯลฯ' โดยไม่ได้แจ้งข้อความต่อศาลว่า 'เป็นการฝ่าฝืนระเบียบหรือข้อบังคับของเรือนจำ' ด้วยนั้น ก็เป็นฟ้องที่ครบบริบูรณ์แล้ว เพราะกิริยา'ลักลอบ' หมายถึงการนำธนบัตรเข้าไปในเรือนจำเป็นการกระทำผิดกฎหมายหรือฝ่าฝืนระเบียบหรือข้อบังคับของเรือนจำอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิดได้ทั้ง 2 กรณี (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 29/2507)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 591/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยินยอมให้จดทะเบียนขายฝากที่ดินรวมโดยไม่คัดค้านผูกพันเจ้าของรวมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
โจทก์และจำเลยเป็นเจ้าของรวมในที่นาพิพาทอันเป็นที่ดินมือเปล่า จำเลยไปแจ้งการครอบครองที่พิพาทเป็นของจำเลยแต่ผู้เดียวและยื่นคำขอคำรับรองทำประโยชน์ กับยื่นคำขอจดทะเบียนนิติกรรมขายฝาก โจทก์รู้แต่ก็นิ่งเสียไม่คัดค้าน แสดงให้เห็นว่าโจทก์ได้ให้จำเลยแสดงตนเป็นเจ้าของนาพิพาทแต่ผู้เดียว โดยยินยอมให้จำเลยขายฝากที่พิพาท การขายฝากจึงผูกพันโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1361 วรรค 2
จำเลยคนหนึ่งขาดนัดมาแต่ต้นและมิได้อุทธรณ์ฎีกา แต่รูปคดีเป็นเรื่องเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ จำเลยจึงได้รับผลตามคำพิพากษาด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1) และ 247
จำเลยคนหนึ่งขาดนัดมาแต่ต้นและมิได้อุทธรณ์ฎีกา แต่รูปคดีเป็นเรื่องเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ จำเลยจึงได้รับผลตามคำพิพากษาด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1) และ 247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 591/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยินยอมโดยปริยายให้จำเลยจดทะเบียนขายฝากที่ดินมรดกย่อมผูกพันโจทก์ผู้เป็นเจ้าของรวม
โจทก์และจำเลยเป็นเจ้าของรวมในที่นาพิพาทอันเป็นที่ดินมือเปล่าจำเลยไปแจ้งการครอบครองที่พิพาทเป็นของจำเลยแต่ผู้เดียวและยื่นคำขอคำรับรองทำประโยชน์กับยื่นคำขอจดทะเบียนนิติกรรมขายฝากโจทก์รู้แต่ก็นิ่งเสียไม่คัดค้าน แสดงให้เห็นว่าโจทก์ได้ให้จำเลยแสดงตนเป็นเจ้าของนาพิพาทแต่ผู้เดียว โดยยินยอมให้จำเลยขายฝากที่พิพาทการขายฝากจึงผูกพันโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1361 วรรคสอง
จำเลยคนหนึ่งขาดนัดมาแต่ต้นและมิได้อุทธรณ์ฎีกาแต่รูปคดีเป็นเรื่องเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้จำเลยจึงได้รับผลตามคำพิพากษาด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1) และ 247
จำเลยคนหนึ่งขาดนัดมาแต่ต้นและมิได้อุทธรณ์ฎีกาแต่รูปคดีเป็นเรื่องเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้จำเลยจึงได้รับผลตามคำพิพากษาด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1) และ 247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 503/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความต้องพิจารณาจากเอกสารโดยรวม แม้จะแบ่งเป็นหลายตอน
บันทึกที่เกี่ยวเนื่องในเรื่องเดียวกัน แม้จะแบ่งเป็นหลายตอนก็ต้องอ่านตลอดเรื่องแล้วจึงจะวินิจฉัยได้ว่าบันทึกนั้นเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยตกลงทำบันทึกที่อำเภอว่า โจทก์จะชำระเงินที่กู้ไปให้ 6,400 บาท และจำเลยยอมคืนนาให้โจทก์ถึงวันนัดจำเลยไม่ยอมตามข้อตกลงขอให้ศาลบังคับนั้น เอกสารหมาย จ. 1 แบ่งเป็น 4 ตอน ตอนที่ 1เป็นคำร้องของโจทก์ยื่นต่อนายอำเภอกล่าวหาว่าโจทก์ขายฝากนาไว้กับจำเลย โจทก์ขอไถ่จำเลยไม่ยอม ขอให้เรียกมาพูดจากันตอนที่ 2 เป็นบันทึกปากคำโจทก์ประกอบข้อกล่าวว่าโจทก์ได้กู้เงินจำเลยโดยมอบนาพิพาทให้จำเลยยึดถือ โจทก์ลงชื่อท้ายบันทึก ตอนที่ 3 เป็นบันทึกปากคำจำเลยแก้ข้อกล่าวหาของโจทก์ว่า โจทก์ขายกรรมสิทธิ์นาพิพาทให้จำเลยจำเลยลงชื่อท้ายบันทึกตอนที่ 4 เป็นบันทึกของปลัดอำเภอผู้สอบสวนและไกล่เกลี่ยว่าสอบโจทก์ โจทก์ยินดีให้เงิน จำเลย 6,400 บาท จะได้เข้าทำนาเป็นปกติเสียทีแล้วนัดชำระเงินและคืนสัญญากู้ให้แก่กันวันที่ 2 มิถุนายน 2504 โจทก์จำเลยลงชื่อท้ายบันทึก บันทึก ตอนที่ 2 ถึงตอนที่ 4 ทำวันเดียวต่อหน้าโจทก์จำเลยศาลฎีกาเห็นว่า ถ้าอ่านเฉพาะตอนที่ 2 ที่ 3 อาจไม่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความแต่บันทึกทั้ง 4 ตอนนี้เกี่ยวเนื่องในเรื่องเดียวกันต้องอ่านตลอดเรื่องจะปรากฏข้อโต้เถียงว่า โจทก์มอบที่พิพาทให้จำเลยทำกินต่างดอกเบี้ยหรือขายให้ เป็นข้อพิพาทเมื่อจำเลยยอมรับเงินและย่อมคืนสัญญาให้โจทก์ สิทธิของจำเลยเหนือที่พิพาทก็สิ้นไปการต้องคืนที่พิพาทจึงเป็นเงาตามตัว ซึ่งโจทก์จำเลยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน เป็นการระงับข้อพิพาทดังกล่าวข้างต้นเอกสารหมาย จ. 1 จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยตกลงทำบันทึกที่อำเภอว่า โจทก์จะชำระเงินที่กู้ไปให้ 6,400 บาท และจำเลยยอมคืนนาให้โจทก์ถึงวันนัดจำเลยไม่ยอมตามข้อตกลงขอให้ศาลบังคับนั้น เอกสารหมาย จ. 1 แบ่งเป็น 4 ตอน ตอนที่ 1เป็นคำร้องของโจทก์ยื่นต่อนายอำเภอกล่าวหาว่าโจทก์ขายฝากนาไว้กับจำเลย โจทก์ขอไถ่จำเลยไม่ยอม ขอให้เรียกมาพูดจากันตอนที่ 2 เป็นบันทึกปากคำโจทก์ประกอบข้อกล่าวว่าโจทก์ได้กู้เงินจำเลยโดยมอบนาพิพาทให้จำเลยยึดถือ โจทก์ลงชื่อท้ายบันทึก ตอนที่ 3 เป็นบันทึกปากคำจำเลยแก้ข้อกล่าวหาของโจทก์ว่า โจทก์ขายกรรมสิทธิ์นาพิพาทให้จำเลยจำเลยลงชื่อท้ายบันทึกตอนที่ 4 เป็นบันทึกของปลัดอำเภอผู้สอบสวนและไกล่เกลี่ยว่าสอบโจทก์ โจทก์ยินดีให้เงิน จำเลย 6,400 บาท จะได้เข้าทำนาเป็นปกติเสียทีแล้วนัดชำระเงินและคืนสัญญากู้ให้แก่กันวันที่ 2 มิถุนายน 2504 โจทก์จำเลยลงชื่อท้ายบันทึก บันทึก ตอนที่ 2 ถึงตอนที่ 4 ทำวันเดียวต่อหน้าโจทก์จำเลยศาลฎีกาเห็นว่า ถ้าอ่านเฉพาะตอนที่ 2 ที่ 3 อาจไม่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความแต่บันทึกทั้ง 4 ตอนนี้เกี่ยวเนื่องในเรื่องเดียวกันต้องอ่านตลอดเรื่องจะปรากฏข้อโต้เถียงว่า โจทก์มอบที่พิพาทให้จำเลยทำกินต่างดอกเบี้ยหรือขายให้ เป็นข้อพิพาทเมื่อจำเลยยอมรับเงินและย่อมคืนสัญญาให้โจทก์ สิทธิของจำเลยเหนือที่พิพาทก็สิ้นไปการต้องคืนที่พิพาทจึงเป็นเงาตามตัว ซึ่งโจทก์จำเลยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน เป็นการระงับข้อพิพาทดังกล่าวข้างต้นเอกสารหมาย จ. 1 จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 503/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความต้องพิจารณาจากเอกสารโดยรวม แม้จะแบ่งเป็นหลายตอน
บันทึกที่เกี่ยวเนื่องในเรื่องเดียวกันแม้จะแบ่งเป็นหลายตอนก็ต้องอ่านตลอดเรื่องแล้วจึงจะวินิจฉัยได้ว่าบันทึกนั้นเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 501/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขโทษจากลักทรัพย์เป็นขโมยทรัพย์: จำเลยฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้ ย่อมต้องห้ามตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลย 2 เดือน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 334 ศาลอุทธรณ์แก้ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 6 เดือนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7) จำเลยฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
การกระทำผิดตามมาตรา 335 จะลงโทษตามมาตรา 334 ได้มิใช่ทรัพย์มีราคาเล็กน้อยอย่างเดียวผู้กระทำต้องกระทำโดยความจำใจหรือความยากจนเหลือทนทานเห็นหลักประกอบด้วย
การกระทำผิดตามมาตรา 335 จะลงโทษตามมาตรา 334 ได้มิใช่ทรัพย์มีราคาเล็กน้อยอย่างเดียวผู้กระทำต้องกระทำโดยความจำใจหรือความยากจนเหลือทนทานเห็นหลักประกอบด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 501/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขโทษจากลักทรัพย์เป็นทำลายทรัพย์สิน: จำเลยฎีกาไม่ได้ และต้องมีเหตุความจำเป็นหรือยากจน
ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลย 2 เดือนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 ศาลอุทธรณ์แก้ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 6 เดือนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7) จำเลยฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
การกระทำผิดตามมาตรา 335 จะลงโทษตามมาตรา 334 ได้ มิใช่ทรัพย์มามีราคาเล็กน้อยอย่างเดียว ผู้กระทำต้องกระทำโดยความจำใจหรือความยากจนเหลือทนทานเป็นหลักประกอบด้วย
การกระทำผิดตามมาตรา 335 จะลงโทษตามมาตรา 334 ได้ มิใช่ทรัพย์มามีราคาเล็กน้อยอย่างเดียว ผู้กระทำต้องกระทำโดยความจำใจหรือความยากจนเหลือทนทานเป็นหลักประกอบด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 478/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดต่างวัน – ข้อต่อสู้หลง – รับของโจร – ยกฟ้อง – ความสำคัญของวันเกิดเหตุ
ฟ้องว่า จำเลยลักทรัพย์เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2507 เวลากลางคืนก่อนเที่ยงแต่พยานโจทก์ที่เห็นเหตุการณ์ใกล้ชิดเบิกความแสดงว่าเห็นเหตุการณ์ลักทรัพย์เกิดขึ้นในคืนวันที่ 17 เวลาประมาณตี 1 เศษ ต้องถือว่าข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบผิดวันต่างกับข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวในฟ้อง เป็นข้อสารสำคัญนอกจากนี้จำเลยยังหลงข้อต่อสู้ด้วย ต้องยกฟ้อง
แม้จะเป็นความจริงว่าจำเลยรับของโจร โจทก์ไม่ได้อ้างบทขอให้ลงโทษและบรรยายความมาในฟ้องเพื่อแสดงให้เห็นว่าโจทก์มีความประสงค์ขอให้ลงโทษจำเลยในฐานรับของโจรศาลจะลงโทษจำเลยในฐานรับของโจรไม่ได้
แม้จะเป็นความจริงว่าจำเลยรับของโจร โจทก์ไม่ได้อ้างบทขอให้ลงโทษและบรรยายความมาในฟ้องเพื่อแสดงให้เห็นว่าโจทก์มีความประสงค์ขอให้ลงโทษจำเลยในฐานรับของโจรศาลจะลงโทษจำเลยในฐานรับของโจรไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 478/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงวันเวลาเกิดเหตุในฟ้องมีผลต่อการรับฟังพยานหลักฐานและทำให้จำเลยหลงต่อสู้ ศาลต้องยกฟ้อง
ฟ้องว่า จำเลยลักทรัพย์เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2507 เวลากลางคืนก่อนเที่ยงแต่พยานโจทก์ที่เห็นเหตุการณืใกล้ชิดเบิกความแสดงว่าเห็นเหตุการณ์ลักทรัพย์เกิดขึ้นในคืนวันที่ 17 เวลาประมาณตี 1 เศษ ต้องถือว่าข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบผิดวันต่างกับข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวในฟ้อง เป็นข้อสารสำคัญ นอกจากนี้จำเลยยังหลงข้อต่อสู้ด้วย ต้องยกฟ้อง
แม้จะเป็นความจริงว่าจำเลยรับของโจร โจทก์ไม่ได้อ้างบทขอให้ลงโทษ และบรรยายความมาในฟ้องเพื่อแสดงให้เห็นว่าโจทก์มีความประสงค์ขอให้ลงโทษณจำเลยในฐานรับของโจร ศาลจะลงโทษจำเลยในฐานรับของโจรไม่ได้
แม้จะเป็นความจริงว่าจำเลยรับของโจร โจทก์ไม่ได้อ้างบทขอให้ลงโทษ และบรรยายความมาในฟ้องเพื่อแสดงให้เห็นว่าโจทก์มีความประสงค์ขอให้ลงโทษณจำเลยในฐานรับของโจร ศาลจะลงโทษจำเลยในฐานรับของโจรไม่ได้