คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ชิต บุณยประภัศร

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 355 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1799/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขายที่ดินที่ได้รับยกให้โดยเสน่หา ไม่ถือเป็นการค้าหากำไร ไม่ต้องเสียภาษี
โจทก์ได้รับยกให้ที่ดินโดยเสน่หาจากน้าและมารดาซึ่งซื้อที่ดินดังกล่าวมาหลายปีแล้วโดยไม่ได้มุ่งหวังหากำไรเป็นทางค้า. แล้วโจทก์ขายไปโดยได้ตัดถนนซอยและแบ่งที่ดินเป็นแปลงเล็กๆ เพื่อให้ขายได้ง่ายและได้ราคาดีขึ้นนั้น. เป็นการขายที่ดินอันเป็นสมบัติเก่าตามธรรมดาในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์. ถือไม่ได้ว่าโจทก์ขายที่ดินไปเป็นทางค้าหากำไร อันจะต้องเสียภาษีการค้าตามประมวลรัษฎากร.แม้ต่อมาภายหลังโจทก์จะได้ตั้งบริษัทค้าที่ดินขึ้น. ก็จะฟังย้อนหลังว่าการขายที่ดินของโจทก์ก่อนตั้งบริษัทค้าที่ดินเป็นทางค้าหากำไรด้วยหาได้ไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1780/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายและฆ่าโดยไม่เจตนา: การพิจารณาเจตนาของผู้กระทำและการป้องกันตัว
เมื่อพฤติการณ์แห่งคดีฟังได้ว่า สำหรับเหตุการณ์ตอนหลังจำเลยถือเหล็กขูดชาร์ฟสามเหลี่ยมปลายแหลมวิ่งไล่แทงนายถึงถูกบริเวณก้นกบ 1 ที ครั้นนายอุทัยไปถึงจำเลย จำเลยก็หันมาแทงนายอุทัย 1 ที ถูกที่โคนขาซ้าย แล้วจำเลยก็วิ่งหนีไป ส่วนนายอุทัยวิ่งไปได้ 3-4 ก้าวก็ล้มและไปตายที่โรงพยาบาลปราจีนบุรีเพราะโลหิตออกมาก ต้องถือว่าการกระทำของจำเลยในส่วนที่เกี่ยวกับนายถึงเป็นการทำร้ายร่างกายถึงบาดเจ็บ และในส่วนที่เกี่ยวกับนายอุทัยแม้เหล็กขูดชาร์ฟจะใช้เป็นอาวุธร้ายได้ จำเลยก็ได้แทงนายอุทัยผู้ตายส่งๆ ไปทีเดียวโดยไม่มีโอกาสได้เลือกแทงตรงไหน เผอิญไปถูกเส้นโลหิตใหญ่ที่ไปเลี้ยงส่วนขาโลหิตออกมากจึงถึงตาย เช่นนี้ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาจะทำร้ายนายอุทัยให้ถึงตาย จำเลยคงมีผิดเพียงฐานฆ่าคนโดยไม่เจตนาเท่านั้น
อนึ่ง รูปคดีหาใช่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1780/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายและฆ่าโดยไม่เจตนา: การพิจารณาเจตนาและเหตุป้องกันตัว
เมื่อพฤติการณ์แห่งคดีฟังได้ว่า สำหรับเหตุการณ์ตอนหลังจำเลยถือเหล็กขูดชาร์ฟสามเหลี่ยมปลายแหลมวิ่งไล่แทงนายถึงถูกบริเวณก้นกบ 1 ที. ครั้นนายอุทัยไปถึงจำเลย จำเลยก็หันมาแทงนายอุทัย 1 ที ถูกที่โคนขาซ้าย แล้วจำเลยก็วิ่งหนีไป. ส่วนนายอุทัยวิ่งไปได้3-4ก้าวก็ล้มและไปตายที่โรงพยาบาลปราจีนบุรีเพราะโลหิตออกมาก. ต้องถือว่าการกระทำของจำเลยในส่วนที่เกี่ยวกับนายถึงเป็นการทำร้ายร่างกายถึงบาดเจ็บ. และในส่วนที่เกี่ยวกับนายอุทัยแม้เหล็กขูดชาร์ฟจะใช้เป็นอาวุธร้ายได้. จำเลยก็ได้แทงนายอุทัยผู้ตายส่งๆ ไปทีเดียวโดยไม่มีโอกาสได้เลือกแทงตรงไหน. เผอิญไปถูกเส้นโลหิตใหญ่ที่ไปเลี้ยงส่วนขาโลหิตออกมากจึงถึงตาย. เช่นนี้ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาจะทำร้ายนายอุทัยให้ถึงตาย. จำเลยคงมีผิดเพียงฐานฆ่าคนโดยไม่เจตนาเท่านั้น.
อนึ่ง รูปคดีหาใช่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1780/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายและฆ่าโดยไม่เจตนา: การพิจารณาเจตนาและเหตุแห่งการกระทำ
เมื่อพฤติการณ์แห่งคดีฟังได้ว่า สำหรับเหตุการณ์ตอนหลังจำเลยถือเหล็กขูดชาร์ฟสามเหลี่ยมปลายแหลมวิ่งไล่แทงนายถึงถูกบริเวณก้นกบ 1 ที ครั้นนายอุทัยไปถึงจำเลยจำเลยก็หันมาแทงนายอุทัย 1 ที ถูกที่โคนขาซ้าย แล้วจำเลยก็วิ่งหนีไป ส่วนนายอุทัยวิ่งไปได้ 3-4 ก้าวก็ล้มและไปตายที่โรงพยาบาลปราจีนบุรีเพราะโลหิตออกมาก ต้องถือว่าการกระทำของจำเลยในส่วนที่เกี่ยวกับนายถึงเป็นการทำร้ายร่างกายถึงบาดเจ็บ และในส่วนที่เกี่ยวกับนายอุทัยแม้เหล็กขูดชาร์ฟจะใช้เป็นอาวุธร้ายได้จำเลยก็ได้แทงนายอุทัยผู้ตายส่งๆ ไปทีเดียวโดยไม่มีโอกาสได้เลือกแทงตรงไหน เผอิญไปถูกเส้นโลหิตใหญ่ที่ไปเลี้ยงส่วนขาโลหิตออกมากจึงถึงตาย เช่นนี้ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาจะทำร้ายนายอุทัยให้ถึงตาย จำเลยคงมีผิดเพียงฐานฆ่าคนโดยไม่เจตนาเท่านั้น
อนึ่ง รูปคดีหาใช่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1778-1779/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานจับคนเรียกค่าไถ่: พฤติการณ์สำคัญกว่ากรรโชกธรรมดา
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า คนร้าย 7 คนไปที่บ้านผู้เสียหาย 2 คน อยู่ข้างล่าง 5 คน ซึ่งมีจำเลยทั้งสองอยู่ด้วยขึ้นไปบนเรือน พวกจำเลยคนหนึ่งเรียกเอาเงิน 2,000 บาท ครั้นผู้เสียหายว่าไม่มี พวกจำเลยคนนั้นจึงใช้ปืนจี้พาผู้เสียหายลงเรือนไป โดยบอกภรรยาผู้เสียหายว่าถ้าต้องการสามีคืนให้หาเงินจำนวนดังกล่าวไปให้ เมื่อคนร้ายไปแล้ว มีผู้ช่วยพาภรรยาผู้เสียหายติดตามไปนำเงิน 100 บาท ไปด้วยเพื่อไถ่ตัวผู้เสียหาย เมื่อไปพบจำเลยกับพวกนั่งอยู่กลางทุ่งนา ภรรยาผู้เสียหายเอาเงินจำนวนนั้นมอบให้แก่พวกจำเลยคนที่เป็นผู้เรียกเงิน แต่พวกจำเลยไม่ยอมปล่อยตัวผู้เสียหายจนกว่าจะได้เงินครบตามที่เรียกร้อง ภรรยาผู้เสียหายจึงแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่รับผิดชอบให้ดำเนินคดีต่อไปพฤติการณ์ดังนี้ถือได้ว่าเป็นการกระทำผิดฐานจับคน(อายุเกิน 13 ปี)ไปเรียกค่าไถ่ หาใช่กรรโชกธรรมดาไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1778-1779/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจับกุมเพื่อเรียกค่าไถ่: ความผิดฐานจับบุคคลอายุเกิน 13 ปี ไม่ใช่กรรโชก
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า คนร้าย 7 คนไปที่บ้านผู้เสียหาย 2 คน อยู่ข้างล่าง 5 คน ซึ่งมีจำเลยทั้งสองอยู่ด้วยขึ้นไปบนเรือน. พวกจำเลยคนหนึ่งเรียกเอาเงิน 2,000 บาท ครั้นผู้เสียหายว่าไม่มี พวกจำเลยคนนั้นจึงใช้ปืนจี้พาผู้เสียหายลงเรือนไป โดยบอกภรรยาผู้เสียหายว่าถ้าต้องการสามีคืนให้หาเงินจำนวนดังกล่าวไปให้ เมื่อคนร้ายไปแล้ว มีผู้ช่วยพาภรรยาผู้เสียหายติดตามไปนำเงิน100 บาท ไปด้วยเพื่อไถ่ตัวผู้เสียหาย เมื่อไปพบจำเลยกับพวกนั่งอยู่กลางทุ่งนา ภรรยาผู้เสียหายเอาเงินจำนวนนั้นมอบให้แก่พวกจำเลยคนที่เป็นผู้เรียกเงิน แต่พวกจำเลยไม่ยอมปล่อยตัวผู้เสียหายจนกว่าจะได้เงินครบตามที่เรียกร้อง ภรรยาผู้เสียหายจึงแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่รับผิดชอบให้ดำเนินคดีต่อไป พฤติการณ์ดังนี้ถือได้ว่าเป็นการกระทำผิดฐานจับคน (อายุเกิน 13 ปี) ไปเรียกค่าไถ่ หาใช่กรรโชกธรรมดาไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1778-1779/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จับกุมเรียกค่าไถ่: ความผิดฐานจับบุคคลอายุเกิน 13 ปีเรียกค่าไถ่ ไม่ใช่กรรโชกธรรมดา
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า คนร้าย 7 คนไปที่บ้านผู้เสียหาย 2 คน อยู่ข้างล่าง 5 คน ซึ่งมีจำเลยทั้งสองอยู่ด้วยขึ้นไปบนเรือน. พวกจำเลยคนหนึ่งเรียกเอาเงิน 2,000 บาท ครั้นผู้เสียหายว่าไม่มี. พวกจำเลยคนนั้นจึงใช้ปืนจี้พาผู้เสียหายลงเรือนไป โดยบอกภรรยาผู้เสียหายว่าถ้าต้องการสามีคืนให้หาเงินจำนวนดังกล่าวไปให้. เมื่อคนร้ายไปแล้ว มีผู้ช่วยพาภรรยาผู้เสียหายติดตามไปนำเงิน100 บาท ไปด้วยเพื่อไถ่ตัวผู้เสียหาย. เมื่อไปพบจำเลยกับพวกนั่งอยู่กลางทุ่งนา. ภรรยาผู้เสียหายเอาเงินจำนวนนั้นมอบให้แก่พวกจำเลยคนที่เป็นผู้เรียกเงิน. แต่พวกจำเลยไม่ยอมปล่อยตัวผู้เสียหายจนกว่าจะได้เงินครบตามที่เรียกร้อง. ภรรยาผู้เสียหายจึงแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่รับผิดชอบให้ดำเนินคดีต่อไป. พฤติการณ์ดังนี้ถือได้ว่าเป็นการกระทำผิดฐานจับคน(อายุเกิน 13 ปี)ไปเรียกค่าไถ่ หาใช่กรรโชกธรรมดาไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1747/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในทรัพย์มรดกหลังบังคับคดี: บุคคลภายนอกไม่อาจเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาถึงที่สุดได้
ทรัพย์ซึ่งคู่ความในฐานะทายาทพิพาทกันอ้างว่าเป็นมรดกของผู้ตาย และคู่ความตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันให้ขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งกันในระหว่างคู่ความ ซึ่งศาลได้พิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุดแล้ว ในชั้นบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์เพื่อปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ บุคคลภายนอกจะร้องขอเข้ามาในคดีอ้างว่ามีส่วนเป็นเจ้าของทรัพย์ที่ขายทอดตลาดอยู่ครึ่งหนึ่ง และขอรับเงินส่วนแบ่งจากการขายทอดตลาดโดยคู่ความเดิมไม่ยินยอม หาได้ไม่ เพราะเป็นกรณีที่บุคคลภายนอกนั้นตั้งประเด็นขึ้นใหม่พิพาทกับคู่ความเดิมเกี่ยวกับทรัพย์ซึ่งศาลพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
หากบุคคลภายนอกมีสิทธิในทรัพย์ที่ขายทอดตลาดอย่างไรหรือถูกโต้แย้งสิทธิตามกฎหมายประการใด ก็ชอบที่จะฟ้องร้องเป็นคดีใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1747/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในทรัพย์มรดกหลังขายทอดตลาด: ผู้อ้างสิทธิใหม่ต้องฟ้องคดีใหม่ ไม่สามารถแทรกแซงคดีเดิมได้
ทรัพย์ซึ่งคู่ความในฐานะทายาทพิพาทกันอ้างว่าเป็นมรดกของผู้ตาย. และคู่ความตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันให้ขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งกันในระหว่างคู่ความ. ซึ่งศาลได้พิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุดแล้ว. ในชั้นบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์เพื่อปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ. บุคคลภายนอกจะร้องขอเข้ามาในคดีอ้างว่ามีส่วนเป็นเจ้าของทรัพย์ที่ขายทอดตลาดอยู่ครึ่งหนึ่ง. และขอรับเงินส่วนแบ่งจากการขายทอดตลาดโดยคู่ความเดิม.ไม่.ยินยอม. หาได้ไม่. เพราะเป็นกรณีที่บุคคลภายนอกนั้นตั้งประเด็นขึ้นใหม่พิพาทกับคู่ความเดิมเกี่ยวกับทรัพย์ซึ่งศาลพิพากษาถึงที่สุดแล้ว.
หากบุคคลภายนอกมีสิทธิในทรัพย์ที่ขายทอดตลาดอย่างไร.หรือถูกโต้แย้งสิทธิตามกฎหมายประการใด ก็ชอบที่จะฟ้องร้องเป็นคดีใหม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1747/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในทรัพย์มรดกหลังขายทอดตลาด: บุคคลภายนอกต้องฟ้องคดีใหม่เพื่อเรียกร้องสิทธิ
ทรัพย์ซึ่งคู่ความในฐานะทายาทพิพาทกันอ้างว่าเป็นมรดกของผู้ตาย และคู่ความตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันให้ขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งกันในระหว่างคู่ความ ซึ่งศาลได้พิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุดแล้ว ในชั้นบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์เพื่อปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ บุคคลภายนอกจะร้องขอเข้ามาในคดีอ้างว่ามีส่วนเป็นเจ้าของทรัพย์ที่ขายทอดตลาดอยู่ครึ่งหนึ่ง และขอรับเงินส่วนแบ่งจากการขายทอดตลาดโดยคู่ความเดิม ไม่ ยินยอม หาได้ไม่ เพราะเป็นกรณีที่บุคคลภายนอกนั้นตั้งประเด็นขึ้นใหม่พิพาทกับคู่ความเดิมเกี่ยวกับทรัพย์ซึ่งศาลพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
หากบุคคลภายนอกมีสิทธิในทรัพย์ที่ขายทอดตลาดอย่างไรหรือถูกโต้แย้งสิทธิตามกฎหมายประการใด ก็ชอบที่จะฟ้องร้องเป็นคดีใหม่
of 36