คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ชิต บุณยประภัศร

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 355 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1674/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่กลับคำสั่งไม่รับคำร้องขอเป็นคนอนาถา และการพิจารณาคำร้องใหม่
เมื่อจำเลยอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับคำร้องของจำเลยที่ขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคำขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยใหม่. และศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นรับคำร้อง. ดังนี้โจทก์ซึ่งเป็นคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งก็ย่อมมีสิทธิฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247.
ตามคำร้องของจำเลยที่ขอต่อศาลชั้นต้นให้พิจารณาคำขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาใหม่. กล่าวว่าจำเลยมีหลักฐานอีกเป็นอันมากที่จะแสดงว่าจำเลยเป็นคนยากจนจริงซึ่งเป็นข้ออ้างว่าจำเลยไม่มีทรัพย์สินพอจะเสียค่าธรรมเนียมศาล. ขอให้ศาลพิจารณาคำขอใหม่จึงมีประเด็นชัดแจ้งพอที่ศาลจะหยิบยกขึ้นพิจารณา และมีคำสั่งในข้อนี้ได้แล้ว. ส่วนพยานหลักฐานที่จะนำมาแสดงเพิ่มเติมว่าจำเลยเป็นคนยากจนมีอย่างไร. ก็เป็นเรื่องที่ศาลจะพึงต้องไต่สวนให้ได้ความต่อไป.
คำร้องขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคำขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาใหม่.มิใช่เป็นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นต่อศาลอุทธรณ์. จึงไม่ต้องยื่นภายใน 7 วัน. นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำขออนุญาตอุทธรณ์อย่างคนอนาถาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 156 วรรค5 และเป็นคำร้องที่ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม. เพราะเป็นคำร้องขอดำเนินกระบวนพิจารณาเกี่ยวด้วยการดำเนินคดีอนาถา.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1674/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่กลับคำสั่งไม่รับคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา และการพิจารณาคำร้องใหม่
เมื่อจำเลยอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับคำร้องของจำเลยที่ขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคำขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยใหม่ และศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นรับคำร้อง ดังนี้โจทก์ซึ่งเป็นคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งก็ย่อมมีสิทธิฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247
ตามคำร้องของจำเลยที่ขอต่อศาลชั้นต้นให้พิจารณาคำขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาใหม่ กล่าวว่าจำเลยมีหลักฐานอีกเป็นอันมากที่จะแสดงว่าจำเลยเป็นคนยากจนจริงซึ่งเป็นข้ออ้างว่าจำเลยไม่มีทรัพย์สินพอจะเสียค่าธรรมเนียมศาล ขอให้ศาลพิจารณาคำขอใหม่จึงมีประเด็นชัดแจ้งพอที่ศาลจะหยิบยกขึ้นพิจารณา และมีคำสั่งในข้อนี้ได้แล้ว ส่วนพยานหลักฐานที่จะนำมาแสดงเพิ่มเติมว่าจำเลยเป็นคนยากจนมีอย่างไร ก็เป็นเรื่องที่ศาลจะพึงต้องไต่สวนให้ได้ความต่อไป
คำร้องขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคำขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาใหม่มิใช่เป็นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นต่อศาลอุทธรณ์ จึงไม่ต้องยื่นภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำขออนุญาตอุทธรณ์อย่างคนอนาถาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 156 วรรคห้า และเป็นคำร้องที่ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม เพราะเป็นคำร้องขอดำเนินกระบวนพิจารณาเกี่ยวด้วยการดำเนินคดีอนาถา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1674/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิฎีกาของโจทก์เมื่อศาลอุทธรณ์กลับคำสั่งที่ไม่รับคำร้องอนาถาของจำเลย และหลักการพิจารณาคำขออนาถาใหม่
เมื่อจำเลยอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับคำร้องของจำเลยที่ขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคำขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาของจำเลยใหม่ และศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นรับคำร้อง ดังนี้ โจทก์ซึ่งเป็นคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งก็ย่อมมีสิทธิฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 247
ตามคำร้องของจำเลยที่ขอต่อศาลชั้นต้นให้พิจารณาคำขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาใหม่ กล่าวว่าจำเลยมีหลักฐานอีกเป็นอันมากที่จะแสดงว่าจำเลยเป็นคนยากจนจริงซึ่งเป็นข้ออ้างว่าจำเลยไม่มีทรัพย์สินพอจะเสียค่าธรรมเนียมศาล ขอให้ศาลพิจารณาคำขอใหม่จึงมีประเด็นชัดแจ้งพอที่ศาลจะหยิบยกขึ้นพิจารณา และมีคำสั่งในข้อนี้ได้แล้ว ส่วนพยานหลักฐานที่จะนำมาแสดงเพิ่มเติมว่าจำเลยเป็นคนยากจนมีอย่างไร ก็เป็นเรื่องที่ศาลจะพึงต้องไต่สวนให้ได้ความต่อไป
คำร้องขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคำขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาใหม่มิใช่เป็นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นต่อศาลอุทธรณ์ จึงไม่ต้องยื่นภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำขออนุญาตอุทธรณ์อย่างคนอนาถาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 156 วรรค 5 และเป็นคำร้องที่ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม เพราะเป็นคำร้องขอดำเนินกระบวนพิจารณาเกี่ยวด้วยการดำเนินคดีอนาถา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1601/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังความเสียหายสาหัสจากรายงานแพทย์: ไม่ต้องสืบพยานเพิ่มเติมหากรายงานระบุชัดเจนถึงระยะเวลาพักฟื้น
ตามรายงานชันสูตรบาดแผลของแพทย์ประกอบบันทึกคำฟ้องด้วยวาจาที่อ้างว่า บาดแผลของผู้เสียหายซึ่งได้รับเป็นอันตรายสาหัสนี้ปรากฏว่า ผู้เสียหายได้รับอันตรายถึงกระดูกเชิงกรานขวาหัก กระดูกไหปลาร้าเคลื่อน กระดูกซี่โครงแถวขวาหัก นายแพทย์ผู้ตรวจลงความเห็นว่า จะต้องรักษาประมาณ 35 วัน ดังนี้แม้โจทก์จะนำคดีมาฟ้องหลังเกิดเหตุเพียง 6 วันแต่ตามรายงานชันสูตรบาดแผลของแพทย์ดังกล่าวนี้เป็นที่เห็นได้ว่า ในระหว่างการรักษาตัวประมาณ 35 วันนั้นผู้เสียหายจะต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาหรือประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน ฉะนั้นเมื่อพิจารณาบันทึกคำฟ้องประกอบรายงานชันสูตรบาดแผลของแพทย์ดังกล่าว ก็เพียงพอที่จะรับฟังข้อเท็จจริงได้ว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสแล้ว โจทก์หาจำเป็นต้องนำพยานสืบประกอบว่า ผู้เสียหายต้องทนทุกขเวทนาประกอบกรณียกิจไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวันจริงอีกไม่ (อ้างฎีกาที่ 195/2510)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1601/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังอันตรายสาหัสจากรายงานแพทย์: ไม่จำต้องพยานเพิ่มเติมหากรายงานระบุชัดเจนถึงระยะเวลาพักฟื้น
ตามรายงานชันสูตรบาดแผลของแพทย์ประกอบบันทึกคำฟ้องด้วยวาจาที่อ้างว่า บาดแผลของผู้เสียหายซึ่งได้รับเป็นอันตรายสาหัสนี้ปรากฏว่า ผู้เสียหายได้รับอันตรายถึงกระดูกเชิงกรานขวาหัก กระดูกไหปลาร้าเคลื่อน กระดูกซี่โครงแถวขวาหัก นายแพทย์ผู้ตรวจลงความเห็นว่า จะต้องรักษาประมาณ 35 วัน ดังนี้แม้โจทก์จะนำคดีมาฟ้องหลังเกิดเหตุเพียง 6 วันแต่ตามรายงานชันสูตรบาดแผลของแพทย์ดังกล่าวนี้เป็นที่เห็นได้ว่าในระหว่างการรักษาตัวประมาณ 35 วันนั้นผู้เสียหายจะต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาหรือประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน ฉะนั้นเมื่อพิจารณาบันทึกคำฟ้องประกอบรายงานชันสูตรบาดแผลของแพทย์ดังกล่าว ก็เพียงพอที่จะรับฟังข้อเท็จจริงได้ว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสแล้ว โจทก์หาจำเป็นต้องนำพยานสืบประกอบว่า ผู้เสียหายต้องทนทุกขเวทนาประกอบกรณียกิจไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวันจริงอีกไม่ (อ้างฎีกาที่ 195/2510)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1601/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์อันตรายสาหัสจากรายงานแพทย์: ไม่จำเป็นต้องสืบพยานเพิ่มเติมหากรายงานแพทย์บ่งชี้อาการป่วยเจ็บเกิน 20 วัน
ตามรายงานชันสูตรบาดแผลของแพทย์ประกอบบันทึกคำฟ้องด้วยวาจาที่อ้างว่า บาดแผลของผู้เสียหายซึ่งได้รับเป็นอันตรายสาหัสนี้ปรากฏว่า. ผู้เสียหายได้รับอันตรายถึงกระดูกเชิงกรานขวาหัก กระดูกไหปลาร้าเคลื่อน กระดูกซี่โครงแถวขวาหัก. นายแพทย์ผู้ตรวจลงความเห็นว่า จะต้องรักษาประมาณ 35 วัน. ดังนี้แม้โจทก์จะนำคดีมาฟ้องหลังเกิดเหตุเพียง 6 วัน.แต่ตามรายงานชันสูตรบาดแผลของแพทย์ดังกล่าวนี้เป็นที่เห็นได้ว่า. ในระหว่างการรักษาตัวประมาณ 35 วันนั้น.ผู้เสียหายจะต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาหรือประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน. ฉะนั้นเมื่อพิจารณาบันทึกคำฟ้องประกอบรายงานชันสูตรบาดแผลของแพทย์ดังกล่าว ก็เพียงพอที่จะรับฟังข้อเท็จจริงได้ว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสแล้ว. โจทก์หาจำเป็นต้องนำพยานสืบประกอบว่า ผู้เสียหายต้องทนทุกขเวทนาประกอบกรณียกิจไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวันจริงอีกไม่.(อ้างฎีกาที่ 195/2510).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1600/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความร่วมมือในการชิงทรัพย์และการมีส่วนร่วมในการหลบหนีถือเป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์
เมื่อจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ชิงทรัพย์ผู้เสียหายได้แล้ว. ได้วิ่งขึ้นสามล้อเครื่องของจำเลยที่ 3 ซึ่งติดเครื่องรออยู่หนีไป. จึงเห็นได้ว่าจำเลยทั้งสามได้ร่วมคบคิดวางแผนกันมากระทำผิด. โดยจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นคนขับรถสามล้อเครื่อง มีหน้าที่ติดเครื่องรถไว้ในบริเวณที่เกิดเหตุ. คอยรับจำเลยที่ 1 ที่ 2 พาทรัพย์มาขึ้นรถขับพาหนีไปเป็นส่วนหนึ่งของการแย่งชิงทรัพย์. การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1600/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความร่วมมือในการชิงทรัพย์และการมีส่วนร่วมในฐานะผู้สนับสนุน การกระทำจึงเข้าข่ายความผิดฐานปล้นทรัพย์
เมื่อจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ชิงทรัพย์ผู้เสียหายได้แล้ว ได้วิ่งขึ้นสามล้อเครื่องของจำเลยที่ 3 ซึ่งติดเครื่องรออยู่หนีไป จึงเห็นได้ว่าจำเลยทั้งสามได้ร่วมคบคิดวางแผนกันมากระทำผิด โดยจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นคนขับรถสามล้อเครื่อง มีหน้าที่ติดเครื่องรถไว้ในบริเวณที่เกิดเหตุ คอยรับจำเลยที่ 1 ที่ 2 พาทรัพย์มาขึ้นรถขับพาหนีไปเป็นส่วนหนึ่งของการแย่งชิงทรัพย์ การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1600/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร่วมกันชิงทรัพย์และมีส่วนร่วมในการหลบหนี ถือเป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์
เมื่อจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ชิงทรัพย์ผู้เสียหายได้แล้ว ได้วิ่งขึ้นสามล้อเครื่องของจำเลยที่ 3 ซึ่งติดเครื่องรออยู่หนีไป จึงเห็นได้ว่าจำเลยทั้งสามได้ร่วมคบคิดวางแผนกันมากระทำผิด โดยจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นคนขับรถสามล้อเครื่อง มีหน้าที่ติดเครื่องรถไว้ในบริเวณที่เกิดเหตุ คอยรับจำเลยที่ 1 ที่ 2 พาทรัพย์มาขึ้นรถขับพาหนีไปเป็นส่วนหนึ่งของการแย่งชิงทรัพย์ การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1598/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัว: ภยันตรายใกล้ถึง การกระทำพอสมควรแก่เหตุ และขอบเขตการป้องกันสิทธิ
ขณะเกิดเหตุผู้ตายเรียกจำเลยไปหา กล่าวหาว่าจำเลยขัดขวางผู้ตายและพูดเป็นทำนองจะฆ่าจำเลย พร้อมทั้งชักปืนจะยิงจำเลยก่อนในระยะใกล้เพียง 2 ศอก จำเลยจึงยิงโต้ตอบผู้ตายในขณะนั้น ดังนี้ ถือได้ว่าเป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง อันจำเลยจำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตน
การทะเลาะกันด้วยวาจาแล้วฝ่ายหนึ่งทำร้ายอีกฝ่ายหนึ่งถ้าฝ่ายที่ถูกทำร้ายมิได้สมัครใจทำร้ายโต้ตอบด้วย ฝ่ายที่ถูกทำร้ายย่อมป้องกันสิทธิของตนได้โดยชอบด้วยกฎหมายเพราะเพียงทะเลาะกันด้วยวาจาไม่ทำให้ฝ่ายหนึ่งทำร้ายร่างกายหรือชีวิตของอีกฝ่ายหนึ่งได้โดยชอบ ต่อเมื่อฝ่ายหลังสมัครใจทำร้ายโต้ตอบ จึงจะเป็นเรื่องต่างฝ่ายต่างสมัครใจซึ่งกันและกันอันเป็นการละเมิดต่อกฎหมายด้วยกันฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจึงจะอ้างว่ากระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายมิได้
บริเวณที่เกิดเหตุเป็นที่โล่ง เมื่อผู้ตายชักปืนจะยิงจำเลย จำเลยกระโดดหนีไปข้างหลังผู้ตายในระยะใกล้ เห็นได้ว่าจำเลยยังไม่พ้นภยันตรายที่จะถูกผู้ตายยิง ในเวลาฉุกละหุกเช่นนี้จำเลยย่อมตัดสินใจกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อป้องกันสิทธิของตนได้ตามควรแก่กรณีโดยไม่จำต้องวิ่งหนี การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำพอสมควรแก่เหตุกรณีเป็นการป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมายซึ่งผู้กระทำไม่มีความผิด
of 36