คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
บุศย์ ขันธวิทย์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 357 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 883/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ, ประนีประนอมยอมความ, การแบ่งแยกที่ดิน: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าฟ้องแบ่งแยกที่ดินหลังยอมความแล้วไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คดีเดิม โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยบุกรุก ขอให้ขับไล่และชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยทำยอม ให้ที่พิพาทเป็นของโจทก์คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยแบ่งแยกที่พิพาทนั้นให้โจทก์จึงเป็นคนละประเด็นกันไม่เป็นฟ้องซ้ำ
จำเลยกล่าวอ้างลอยๆ ว่าประนีประนอมยอมความแล้วจะฟ้องโดยตั้งข้อหาเป็นอย่างอื่นอีกไม่ได้ ชอบที่จะบังคับไปตามสัญญายอม โดยมิได้ยกกฎหมายสนับสนุนก็คงหมายถึงว่าเป็นฟ้องซ้ำนั่นเอง จึงไม่จำต้องวินิจฉัยข้อนี้อีก
ในคดีที่จำเลยยอมให้ที่พิพาทเป็นของโจทก์ ที่พิพาทก็ตกเป็นของโจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นโดยไม่จำต้องบังคับอะไรอีกฉะนั้น การที่โจทก์มิได้ขอให้บังคับคดีภายใน 10 ปี จึงหาทำให้สิทธิของโจทก์ที่ได้ที่พิพาทดังกล่าวแล้วต้องเสียไปแต่อย่างใดไม่
โจทก์ร้องขอให้ศาลบังคับจำเลยให้แบ่งแยกที่ดินตามยอมให้โจทก์ โดยที่คำขอท้ายฟ้องมิได้ขอให้แบ่งแยกไว้ด้วยเช่นนี้เป็นเรื่องเกินคำขอ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 883/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ, ประนีประนอมยอมความ, การแบ่งแยกที่ดิน: ศาลตัดสินว่าคดีไม่เป็นฟ้องซ้ำ แม้มีการประนีประนอมก่อนหน้า
คดีเดิม โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยบุกรุก ขอให้ขับไล่และชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยทำยอม ให้ที่พิพาทเป็นของโจทก์ คดีนี้ โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยแบ่งแยกที่พิพาทนั้นให้โจทก์ จึงเป็นคนละประเด็นกัน ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
จำเลยกล่าวอ้างลอย ๆ ว่าประนีประนอมยอมความแล้ว จะฟ้องโดยตั้งข้อหาเป็นอย่างอื่นอีกไม่ได้ ชอบที่จะบังคับไปตามสัญญายอม โดยมิได้ยกกฎหมายสนับสนุน ก็คงหมายถึงว่าเป็นฟ้องซ้ำนั่นเองจึงไม่จำต้องวินิจฉัยข้อนี้อีก
ในคดีที่จำเลยยอมให้ที่พิพาทเป็นของโจทก์ ที่พิพาทก็ตกเป็นของโจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นโดยไม่จำต้องบังคับอะไรอีก ฉะนั้น การที่โจทก์มิได้ขอให้บังคับคดีภายใน 10 ปี จึงหาทำให้สิทธิของโจทก์ที่ได้ที่พิพาทดังกล่าวแล้วต้องเสียไปแต่อย่างใดไม่
โจทก์ร้องขอให้ศาลบังคับจำเลยให้แบ่งแยกที่ดินตามยอมให้โจทก์ โดยที่คำขอท้ายฟ้องมิได้ขอให้แบ่งแยกไว้ด้วย เช่นนี้ เป็นเรื่องเกินคำขอ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 882/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจะซื้อขายต่างตอบแทน: เมื่อผู้ซื้อผิดนัด จะฟ้องให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาอีกไม่ได้
สัญญาจะซื้อขายเป็นสัญญาต่างตอบแทน เมื่อโจทก์ผิดสัญญา โจทก์จะฟ้องขอให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาอีกไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 882/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจะซื้อขายต่างตอบแทน: ฝ่ายผิดสัญญาไม่อาจบังคับให้ปฏิบัติตามสัญญาได้
สัญญาจะซื้อขายเป็นสัญญาต่างตอบแทน เมื่อโจทก์ผิดสัญญาโจทก์จะฟ้องขอให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาอีกไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 881/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์: การครอบครองที่ดินโดยเข้าใจผิดและอายุความ
ศาลชั้นต้นฟังว่า ที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดของโจทก์จำเลยครอบครองมาด้วยความสงบเปิดเผยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 10 ปี จึงได้กรรมสิทธิ์ ให้ยกฟ้องโจทก์ศาลอุทธรณ์แก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า ให้จำเลยที่ 1 รื้อคันนาจากหลักไม้หมายเลย 2 ถึงหลักไม้หมายเลข 3 ในแผนที่พิพาทออกไปจากที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยที่ 1 ถึง 8 รื้อรั้วที่ทำไว้ในที่ดินของโจทก์ออกไปด้วย ดังนี้ เป็นแก้ไขมาก
จำเลยให้การว่า เดิมที่นาพิพาทจำเลยมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ จำเลยได้ครอบครองมีเขตคันเป็นส่วนสัดมาโดยสงบและเปิดเผยติดต่อตลอดมาทุกปีเป็นเวลา 30 ปีเศษ ทางพิจารณาได้ความว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์แต่จำเลยครอบครอง ถือว่าเป็นการต่อสู้ว่าครอบครองทรัพย์ของโจทก์โดยปรปักษ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แล้ว
การครอบครองปกปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ผู้ครอบครองจะรู้ว่าทรัพย์สินที่ตนครอบครองเป็นของผู้อื่นหรือไม่ ไม่สำคัญ ย่อมได้กรรมสิทธิ์เสมอ เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญติไว้เป็นอย่างอื่น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 881/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์: การครอบครองที่ดินของผู้อื่นโดยสงบ เปิดเผย และเจตนาเป็นเจ้าของ ทำให้ได้กรรมสิทธิ์
ศาลชั้นต้นฟังว่า ที่พิพาทอยู่ในเขตโฉนดของโจทก์จำเลยครอบครองมาด้วยความสงบเปิดเผยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 10 ปีจึงได้กรรมสิทธิ์ให้ยกฟ้องโจทก์ศาลอุทธรณ์แก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า ให้จำเลยที่ 1 รื้อคันนาจากหลักไม้หมายเลข 2 ถึงหลักไม้หมายเลข 3. ในแผนที่พิพาทออกไปจากที่ดินของโจทก์ให้จำเลยที่ 1 ถึง 8 รื้อรั้วที่ทำไว้ในที่ดินของโจทก์ออกไปด้วย ดังนี้ เป็นแก้ไขมาก
จำเลยให้การว่า เดิมที่นาพิพาทจำเลยมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์จำเลยได้ครอบครองมีเขตอันเป็นส่วนสัดมาโดยสงบและเปิดเผยติดต่อมาทุกปีเป็นเวลา 30 ปีเศษทางพิจารณาได้ความว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์แต่จำเลยครอบครอง ถือว่าเป็นการต่อสู้ว่าครอบครองทรัพย์ของโจทก์โดยปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แล้ว
การครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1382 ผู้ครอบครองจะรู้ว่าทรัพย์สินที่ตนครอบครองเป็นของผู้อื่นหรือไม่ ไม่สำคัญย่อมได้กรรมสิทธิ์เสมอ เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 873/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับสภาพหนี้ทำให้ระยะเวลาอายุความสะดุดหยุดลง แม้หนี้มีหลักฐานก็ได้ และอายุความนับใหม่จากวันรับสภาพ
แม้วันที่จำเลยได้กู้เงินโจทก์ไปถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกิน 10 ปีแล้วก็ตามแต่เมื่อวันที่จำเลยรับสภาพหนี้นั้นถึงวันฟ้องยังไม่เกิน 10 ปีเช่นนี้ คดีโจทก์ก็ยังไม่ขาดอายุความ
การรับสภาพหนี้นั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นหนี้ที่ไม่มีหลักฐานแม้หนี้ที่มีหลักฐานกู้ยืมอยู่แล้วก็มีการรับสภาพหนี้กันได้
จำเลยทำสัญญากู้ให้โจทก์ไว้เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม2496 และต่อมาเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2501 จำเลยได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้นั้นซึ่งเป็นฉบับท้ายฟ้องโจทก์ดังนี้ เมื่อปรากฏว่าโจทก์ฟ้องเรียกหนี้เงินกู้ซึ่งจำเลยกู้ไปเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2496 ส่วนเดียวเท่านั้น ฟ้องโจทก์จึงหาใช่ฟ้องให้ชำระหนี้ ส่วนอุปกรณ์ซึ่งมีหนี้ในส่วนที่เป็นประธานแต่อย่างใดไม่ จะนำมาตรา 190 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาปรับแก่คดีนี้ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 873/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความสะดุดหยุดเมื่อมีการรับสภาพหนี้ แม้มีหลักฐานสัญญากู้ยืม การฟ้องภายใน 10 ปีนับจากรับสภาพหนี้ไม่ขาดอายุความ
แม้วันที่จำเลยได้กู้เงินโจทก์ไป ถึงวันฟ้องเป็นเวลาเกิน 10 ปีแล้วก็ตาม แต่เมื่อวันที่จำเลยรับสภาพหนี้นั้นถึงวันฟ้องยังไม่เกิน 10 ปี เช่นนี้คดีโจทก์ก็ยังไม่ขาดอายุความ
การรับสภาพหนี้นั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นหนี้ที่ไม่มีหลักฐาน แม้หนี้ที่มีหลักฐานสัญญากู้ยืมอยู่แล้วก็มีการรับสภาพหนี้กันได้
จำเลยทำสัญญากู้ให้โจทก์ไว้เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2496 และต่อมาเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2501 จำเลยได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้นั้นซึ่งเป็นฉบับท้ายฟ้องโจทก์ ดังนี้ เมื่อปราฏว่าโจทก์ฟ้องเรียกหนี้เงินกู้ซึ่งจำเลยก็ไปเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2496 ส่วนเดียวเท่านั้น ฟ้องโจทก์จึงหาใช่ฟ้องให้ชำระหนี้ส่วนอุปกรณ์ซึ่งมีหนี้ในส่วนทีเป็นประธานแต่อย่างใดไม่จะนำมาตรา 190 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาปรับแก่คดีนี้ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 828/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา: ศาลต้องถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีอาญา หากมีมูลเหตุเดียวกัน
การฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญานั้นโจทก์จะฟ้องคดีส่วนแพ่งก่อนก็ได้ และถ้าในระหว่างที่คดีส่วนแพ่งยังไม่ถึงที่สุดโจทก์ฟ้องคดีส่วนอาญาในมูลกรณีเดียวกันกับที่โจทก์ฟ้องในคดีส่วนแพ่งนั้นเอง เช่นนี้ หาใช่เป็นเรื่องคดีแพ่งเกิดก่อนคดีอาญาไม่และการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา
จำเลยทำใบมอบอำนาจปลอมให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินเซ็นโดยหลอกลวงว่าเพื่อมอบอำนาจให้จำเลยเช่านาแต่ความจริงเป็นใบมอบอำนาจให้โจทก์ขายนาให้จำเลยโดยโจทก์มิได้ยินยอมด้วย ดังนี้ เป็นการที่โจทก์ทำนิติกรรมมอบอำนาจไปโดยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสารสำคัญแห่งนิติกรรมเป็นโมฆะใบมอบอำนาจจึงใช้ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 828/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีแพ่ง-อาญาเกี่ยวเนื่องกัน: ศาลต้องใช้ข้อเท็จจริงจากคำพิพากษาคดีอาญาเป็นหลัก แม้ฟ้องแพ่งก่อน
การฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญานั้นโจทก์จะฟ้องคดีส่วนแพ่งก่อนก็ได้ และถ้าในระหว่างที่คดีส่วนแพ่งยังไม่ถึงที่สุด โจทก์ฟ้องคดีส่วนอาญาในมูลกรณีเดียวกันกับที่โจทก์ฟ้องในคดีส่วนแพ่งนั้นเองเช่นนี้ หาใช่เป็นเรื่องคดีแพ่งเกิดก่อนคดีอาญาไม่และการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา
จำเลยทำใบมอบอำนาจปลอมให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินเซ็น โดยหลอกลวงว่าเพื่อมอบอำนาจให้จำเลยเช่ามา แต่ความจริงเป็นใบมอบอำนาจให้โจทก์ขายนาให้จำเลยโดยโจทก์มิได้ยินยอมด้วย ดังนี้ เป็นการที่โจทก์ทำนิติกรรมมอบอำนาจไปโดยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสารสำคัญแห่งนิติกรรมเป็นโมฆะ ใบมอบอำนาจจึงใช้ไม่ได้
of 36