พบผลลัพธ์ทั้งหมด 332 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 186/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าบำเหน็จนายหน้าและค่าใช้จ่ายตัวแทน แม้ไม่มีข้อตกลงชัดเจน ก็มีสิทธิเรียกร้องได้ตามสมควร
โจทก์ให้จำเลยจัดการขายที่ดินจำเลยได้จัดการขายที่ดินของโจทก์ได้สำเร็จย่อมเป็นกิจการที่ทำให้แก่กันโดยพฤติการณ์ที่คาดหมายได้ว่าย่อมทำให้แต่เพื่อจะเอาบำเหน็จจึงถือได้ว่าได้ตกลงกันโดยปริยายว่ามีค่าบำเหน็จนายหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 846แม้จะฟังไม่ได้ว่าได้ตกลงให้ค่านายหน้าแก่กันเป็นจำนวนที่เกินไปจาก11,000 บาท ดังที่จำเลยนำสืบ จำเลยก็ยังมีสิทธิได้ค่าบำเหน็จเมื่อไม่ได้ความว่าค่าบำเหน็จนั้นได้ตกลงกันเป็นจำนวนเท่าใด และไม่ปรากฏธรรมเนียมในการนี้ ศาลย่อมกำหนดให้เท่าที่กำหนดได้ตามสมควร
ส่วนค่าใช้จ่ายในการที่จำเลยได้รับมอบให้จัดการโอนขายที่ดินแทนโจทก์ในภายหลังอีกส่วนหนึ่งนั้น แม้จำเลยไม่สามารถนำสืบให้ฟังได้ แต่ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยต้องเสียค่าใช้จ่ายในการนี้แน่นอนซึ่งจำเลยมีสิทธิเรียกเอาได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 816เมื่อไม่ได้ความว่าค่าใช้จ่ายที่จำเลยเสียไปนั้นเป็นจำนวนแน่นอนเท่าใดศาลก็กำหนดให้ได้ตามที่ควรนับว่าจำเป็นต้องใช้จ่ายไปเช่นเดียวกัน(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2510)
ส่วนค่าใช้จ่ายในการที่จำเลยได้รับมอบให้จัดการโอนขายที่ดินแทนโจทก์ในภายหลังอีกส่วนหนึ่งนั้น แม้จำเลยไม่สามารถนำสืบให้ฟังได้ แต่ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยต้องเสียค่าใช้จ่ายในการนี้แน่นอนซึ่งจำเลยมีสิทธิเรียกเอาได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 816เมื่อไม่ได้ความว่าค่าใช้จ่ายที่จำเลยเสียไปนั้นเป็นจำนวนแน่นอนเท่าใดศาลก็กำหนดให้ได้ตามที่ควรนับว่าจำเป็นต้องใช้จ่ายไปเช่นเดียวกัน(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2510)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 186/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าบำเหน็จนายหน้าและค่าใช้จ่ายตัวแทน: เกิดขึ้นโดยปริยาย แม้ไม่มีข้อตกลงชัดเจน ศาลกำหนดตามสมควร
โจทก์ให้จำเลยจัดการขายที่ดิน จำเลยได้จัดการขายที่ดินของโจทก์ได้สำเร็จย่อมเป็นกิจการที่ทำให้แก่กันโดยพฤติการณ์ที่คาดหมายได้ว่าย่อมทำให้แต่เพื่อจะเอาบำเหน็จ จึงถือได้ว่าได้ตกลงกันโดยปริยายว่ามีค่าบำเหน็จนายหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 846 แม้จะฟังไม่ได้ว่าตกลงให้ค่านายหน้าแก่กันเป็นจำนวนที่เกินไปจาก 11,000 บาทดังที่จำเลยนำสืบ จำเลยก็ยังมีสิทธิได้ค่าบำเหน็จ เมื่อไม่ได้ความว่าค่าบำเหน็จนั้นได้ตกลงกันเป็นจำนวนเท่าใด และไม่ปรากฏธรรมเนียมในการนี้ ศาลย่อมกำหนดให้เท่าที่กำหนดได้ตามสมควร
ส่วนค่าใช้จ่ายในการที่จำเลยได้รับมอบให้จัดการโอนขายที่ดินแทนโจทก์ในภายหลังอีกส่วนหนึ่งนั้น แม้จำเลยไม่สามารถนำสืบให้ฟังได้ แต่ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยต้องเสียค่าใช้จ่ายในการนี้แน่นอน ซึ่งจำเลยมีสิทธิเรียกเอาได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 816 เมื่อไม่ได้ความว่าค่าใช้จ่ายที่จำเลยเสียไปนั้นไปจำนวนแน่นอนเท่าใด ศาลก็กำหนดให้ได้ตามที่ควรนับว่าจำเป็นต้องใช้จ่ายไปเช่นเดียวกัน
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2510)
ส่วนค่าใช้จ่ายในการที่จำเลยได้รับมอบให้จัดการโอนขายที่ดินแทนโจทก์ในภายหลังอีกส่วนหนึ่งนั้น แม้จำเลยไม่สามารถนำสืบให้ฟังได้ แต่ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยต้องเสียค่าใช้จ่ายในการนี้แน่นอน ซึ่งจำเลยมีสิทธิเรียกเอาได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 816 เมื่อไม่ได้ความว่าค่าใช้จ่ายที่จำเลยเสียไปนั้นไปจำนวนแน่นอนเท่าใด ศาลก็กำหนดให้ได้ตามที่ควรนับว่าจำเป็นต้องใช้จ่ายไปเช่นเดียวกัน
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2510)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 161/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยิงต่อเนื่องและเจตนาทารุณโหดร้าย ศาลพิจารณาพฤติการณ์เพื่อกำหนดโทษประหารชีวิต
จำเลยยิงผู้ตายแล้วยังย้อนกลับมายิงอีก 2 นัด ก็เพื่อให้ตายแน่ จะฟังว่าเป็นการแสดงความทารุณโหดร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (5) ยังไม่ถนัด
จำเลยยิงคนตายไปถึง 2 คน ชั้นแรกยิงคนละ 2 นัด และยังไล่ยิง จ. อีก ยิงในร้านกาแฟในตลาดข้างทางซึ่งมีคนสัญจรไปมาในเวลาเช้า แล้วยังกลับมายิงผู้ตายซ้ำอีก 2 นัด แม้จำเลยจะไม่หลบหนี แต่ยอมมอบตัวต่อตำรวจโดยดี และรับว่ายิงผู้ตายจริง แต่จำเลยโยนมีดของจำเลยลงไปที่ผู้ตายแกลังทำหลักฐานว่าผู้ตายแทงจำเลย แต่เมื่อพยานหลักฐานของเจ้าพนักงานหนาแน่นมั่นคง ไม่มีทางต่อสู้คดีได้สำเร็จ จำเลยจึงต้องจำนนและรับสารภาพต่อศาล แต่ก็ยังบ่ายเบี่ยงว่าผู้ตายทั้ง 2 คนหาเรื่องยั่วเย้าจำเลยก่อน มิได้ยิงซ้ำอีก 2 นัด ซึ่งไม่เป็นความจริง ดังนี้ ไม่มีเหตุบรรเทาโทษจำเลย (ปัญหาตามวรรค 2 วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 31/2509)
จำเลยยิงคนตายไปถึง 2 คน ชั้นแรกยิงคนละ 2 นัด และยังไล่ยิง จ. อีก ยิงในร้านกาแฟในตลาดข้างทางซึ่งมีคนสัญจรไปมาในเวลาเช้า แล้วยังกลับมายิงผู้ตายซ้ำอีก 2 นัด แม้จำเลยจะไม่หลบหนี แต่ยอมมอบตัวต่อตำรวจโดยดี และรับว่ายิงผู้ตายจริง แต่จำเลยโยนมีดของจำเลยลงไปที่ผู้ตายแกลังทำหลักฐานว่าผู้ตายแทงจำเลย แต่เมื่อพยานหลักฐานของเจ้าพนักงานหนาแน่นมั่นคง ไม่มีทางต่อสู้คดีได้สำเร็จ จำเลยจึงต้องจำนนและรับสารภาพต่อศาล แต่ก็ยังบ่ายเบี่ยงว่าผู้ตายทั้ง 2 คนหาเรื่องยั่วเย้าจำเลยก่อน มิได้ยิงซ้ำอีก 2 นัด ซึ่งไม่เป็นความจริง ดังนี้ ไม่มีเหตุบรรเทาโทษจำเลย (ปัญหาตามวรรค 2 วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 31/2509)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 161/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฆ่าโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน ยิงซ้ำเพื่อความมั่นใจ ศาลฎีกาเพิ่มโทษประหารชีวิต
จำเลยยิงผู้ตายแล้วยังย้อนกลับมายิงอีก 2 นัด ก็เพื่อให้ตายแน่ จะฟังว่าเป็นการแสดงความทารุณโหดร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(5) ยังไม่ถนัด
จำเลยยิงคนตายไปถึง 2 คน ชั้นแรกยิงคนละ 2 นัดและยังไล่ยิง จ. อีกยิงในร้านกาแฟในตลาดข้างทางซึ่งมีคนสัญจรไปมาในเวลาเช้า แล้วยังกลับมายิงผู้ตายซ้ำอีก 2 นัด แม้จำเลยจะไม่หลบหนีแต่ยอมมอบตัวต่อตำรวจโดยดี และรับว่ายิงผู้ตายจริง แต่จำเลยโยนมีดของจำเลยลงไปที่ผู้ตายแกล้งทำหลักฐานว่าผู้ตายแทงจำเลย แต่เมื่อพยานหลักฐานของเจ้าพนักงานหนาแน่นมั่นคงไม่มีทางต่อสู้คดีได้สำเร็จ จำเลยจึงต้องจำนนและรับสารภาพต่อศาล แต่ก็ยังบ่ายเบี่ยงว่าผู้ตายทั้ง 2 คนหาเรื่องยั่วเย้าจำเลยก่อน มิได้ยิงซ้ำอีก 2 นัดซึ่งไม่เป็นความจริงดังนี้ ไม่มีเหตุบรรเทาโทษจำเลย
(ปัญหาตามวรรคสองวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 31/2509)
จำเลยยิงคนตายไปถึง 2 คน ชั้นแรกยิงคนละ 2 นัดและยังไล่ยิง จ. อีกยิงในร้านกาแฟในตลาดข้างทางซึ่งมีคนสัญจรไปมาในเวลาเช้า แล้วยังกลับมายิงผู้ตายซ้ำอีก 2 นัด แม้จำเลยจะไม่หลบหนีแต่ยอมมอบตัวต่อตำรวจโดยดี และรับว่ายิงผู้ตายจริง แต่จำเลยโยนมีดของจำเลยลงไปที่ผู้ตายแกล้งทำหลักฐานว่าผู้ตายแทงจำเลย แต่เมื่อพยานหลักฐานของเจ้าพนักงานหนาแน่นมั่นคงไม่มีทางต่อสู้คดีได้สำเร็จ จำเลยจึงต้องจำนนและรับสารภาพต่อศาล แต่ก็ยังบ่ายเบี่ยงว่าผู้ตายทั้ง 2 คนหาเรื่องยั่วเย้าจำเลยก่อน มิได้ยิงซ้ำอีก 2 นัดซึ่งไม่เป็นความจริงดังนี้ ไม่มีเหตุบรรเทาโทษจำเลย
(ปัญหาตามวรรคสองวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 31/2509)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 135/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับมรดกแทนที่และการหมดสิทธิรับมรดกเนื่องจากไม่เรียกร้องภายใน 1 ปี
ค. ซึ่งเป็นบุตรเจ้ามรดกคนหนึ่งถึงแก่ความตายก่อนเจ้ามรดกค. มีบุตรคือจำเลยเป็นผู้สืบสันดาน จำเลยย่อมเป็นผู้รับมรดกแทนที่ ค.
จำเลยมิได้ครอบครองมรดกและมิได้เรียกร้องเอาภายใน 1 ปี ย่อมหมดสิทธิรับมรดก การที่บุตรของ ค. คนอื่นปลูกเรือนอยู่ในที่ดินมรดกหากเป็นความจริงก็เป็นสิทธิของผู้นั้นส่วนจำเลยหมดสิทธิไปแล้วจะคัดค้านขอรับมรดกด้วยหาได้ไม่
คดีพิพาทกันในระหว่างทายาทว่า จำเลยมีสิทธิขอแบ่งมรดกหรือไม่ โจทก์ก็ฟ้องเอาทรัพย์มรดกส่วนของ ค. 1 ใน 3 ตามที่ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันในโฉนด ประเด็นในคดีจึงมีเฉพาะเรื่องทรัพย์มรดกของนางคลี่ มิได้พิพาทกับเจ้าของร่วมว่านางคลี่เจ้ามรดกหรือโจทก์ มีกรรมสิทธิ์เกินหนึ่งในสามหรือตามอาณาเขตที่ครอบครอง ศาลจะพิพากษานอกฟ้องไม่ได้
จำเลยมิได้ครอบครองมรดกและมิได้เรียกร้องเอาภายใน 1 ปี ย่อมหมดสิทธิรับมรดก การที่บุตรของ ค. คนอื่นปลูกเรือนอยู่ในที่ดินมรดกหากเป็นความจริงก็เป็นสิทธิของผู้นั้นส่วนจำเลยหมดสิทธิไปแล้วจะคัดค้านขอรับมรดกด้วยหาได้ไม่
คดีพิพาทกันในระหว่างทายาทว่า จำเลยมีสิทธิขอแบ่งมรดกหรือไม่ โจทก์ก็ฟ้องเอาทรัพย์มรดกส่วนของ ค. 1 ใน 3 ตามที่ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันในโฉนด ประเด็นในคดีจึงมีเฉพาะเรื่องทรัพย์มรดกของนางคลี่ มิได้พิพาทกับเจ้าของร่วมว่านางคลี่เจ้ามรดกหรือโจทก์ มีกรรมสิทธิ์เกินหนึ่งในสามหรือตามอาณาเขตที่ครอบครอง ศาลจะพิพากษานอกฟ้องไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 135/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับมรดกแทนที่และการหมดสิทธิรับมรดกจากไม่เรียกร้องสิทธิภายในกำหนด
ค. ซึ่งเป็นบุตรเจ้ามรดกคนหนึ่งถึงแก่ความตายก่อนเจ้ามรดก ค. มีบุตรคือ จำเลยเป็นผู้สืบสันดาน จำเลยย่อมเป็นผู้รับมรดกแทนที่ ค.
จำเลยมิได้ครอบครองมรดกและมิได้เรียกร้องเอาภายใน 1 ปี ย่อมหมดสิทธิรับมรดก การที่บุตรของ ค. คนอื่นปลูกเรือนอยู่ในที่ดินมรดก หากเป็นความจริงก็เป็นสิทธิของผู้นั้น ส่วนจำเลยหมดสิทธิไปแล้ว จะคัดค้านขอรับมรดกด้วยหาได้ไม่
คดีพิพาทกันในระหว่างทายาทว่า จำเลยมีสิทธิขอแบ่งมรดกหรือไม่ โจทก์ก็ฟ้องเอาทรัพย์มรดกส่วนของ ค.1 ใน 3 ตามที่ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันในโฉนด ประเด็นในคดีจึงมีเฉพาะเรื่องทรัพย์มรดกของนางคลี่ มิได้พิพาทกับเจ้าของร่วมว่านางคลี่เจ้ามรดกหรือโจทก์มีกรรมสิทธิ์เกินหนึ่งในสามหรือตามอาณาเขตที่ครอบครอง ศาลจะพิพากษานอกฟ้องไม่ได้
จำเลยมิได้ครอบครองมรดกและมิได้เรียกร้องเอาภายใน 1 ปี ย่อมหมดสิทธิรับมรดก การที่บุตรของ ค. คนอื่นปลูกเรือนอยู่ในที่ดินมรดก หากเป็นความจริงก็เป็นสิทธิของผู้นั้น ส่วนจำเลยหมดสิทธิไปแล้ว จะคัดค้านขอรับมรดกด้วยหาได้ไม่
คดีพิพาทกันในระหว่างทายาทว่า จำเลยมีสิทธิขอแบ่งมรดกหรือไม่ โจทก์ก็ฟ้องเอาทรัพย์มรดกส่วนของ ค.1 ใน 3 ตามที่ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันในโฉนด ประเด็นในคดีจึงมีเฉพาะเรื่องทรัพย์มรดกของนางคลี่ มิได้พิพาทกับเจ้าของร่วมว่านางคลี่เจ้ามรดกหรือโจทก์มีกรรมสิทธิ์เกินหนึ่งในสามหรือตามอาณาเขตที่ครอบครอง ศาลจะพิพากษานอกฟ้องไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 134/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสิ้นสิทธิรับมรดกและการพิจารณาความประมาทในการขับรถ ทำให้เกิดอันตรายต่อผู้อื่น
ค. ซึ่งเป็นบุตรเจ้ามรดกคนหนึ่งถึงแก่ความตายก่อนเจ้ามรดก ค. มีบุตรคือ จำเลยเป็นผู้สืบสันดาน จำเลยย่อมเป็นผู้รับมรดกแทนที่ ค.
จำเลยมิได้ครอบครองมรดกและมิได้เรียกร้องเอาภายใน 1 ปี ย่อมหมดสิทธิรับมรดก การที่บุตรของ ค. คนอื่นปลูกเรือนอยู่ในที่ดินมรดก หากเป็นความจริงก็เป็นสิทธิของผู้นั้น ส่วนจำเลยหมดสิทธิไปแล้ว จะคัดค้านขอรับมรดก หากเป็นความจริงก็เป็นสิทธิของผู้นั้น ส่วนจำเลยหมกสิทธิไปแล้ว จะคัดค้านขอรับมรดกด้วยหาได้ไม่
คดีพิพาทกันในระหว่างทายาทว่า จำเลยมีสิทธิขอแบ่งมรดกหรือไม่ โจทก์ก็ฟ้องเอาทรัพย์มรดกส่วนของ ค.1 ใน 3 ตามที่ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันในโฉนด ประเด็นในคดีจึงมีเฉพาะเรื่องทรัพย์มรดกของนางคลี่ มิได้พิพาทกับเจ้าของร่วมว่านางคลี่เจ้ามรดกหรือโจทก์มีกรรมสิทธิ์เกินหนึ่งในสามหรือตามอาณาเขตที่ครอบครอง ศาลจะพิพากษานอกฟ้องไม่ได้
จำเลยมิได้ครอบครองมรดกและมิได้เรียกร้องเอาภายใน 1 ปี ย่อมหมดสิทธิรับมรดก การที่บุตรของ ค. คนอื่นปลูกเรือนอยู่ในที่ดินมรดก หากเป็นความจริงก็เป็นสิทธิของผู้นั้น ส่วนจำเลยหมดสิทธิไปแล้ว จะคัดค้านขอรับมรดก หากเป็นความจริงก็เป็นสิทธิของผู้นั้น ส่วนจำเลยหมกสิทธิไปแล้ว จะคัดค้านขอรับมรดกด้วยหาได้ไม่
คดีพิพาทกันในระหว่างทายาทว่า จำเลยมีสิทธิขอแบ่งมรดกหรือไม่ โจทก์ก็ฟ้องเอาทรัพย์มรดกส่วนของ ค.1 ใน 3 ตามที่ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันในโฉนด ประเด็นในคดีจึงมีเฉพาะเรื่องทรัพย์มรดกของนางคลี่ มิได้พิพาทกับเจ้าของร่วมว่านางคลี่เจ้ามรดกหรือโจทก์มีกรรมสิทธิ์เกินหนึ่งในสามหรือตามอาณาเขตที่ครอบครอง ศาลจะพิพากษานอกฟ้องไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 104/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฆ่าโดยไม่มีเจตนาไตร่ตรองไว้ก่อน และการพิจารณาความทารุณโหดร้ายในการลงโทษ
เพียงแต่จำเลยกับพวกร่วมกันฆ่าผู้ตาย โดยไม่ปรากฏว่า ร่วมคบคิดตระเตรียมการฆ่ามาก่อนแต่อย่างใดจะถือเอาเป็นการฆ่า โดยไตร่ตรองไว้ก่อนไม่ได้
การที่จำเลยกับพวกไล่ยิงผู้ตายหลายนัดจนผู้ตายล้มลง ยังจ่อยิงศีรษะผู้ตายใช้ขวานฟันอีกหลายที และร้องว่าเอาให้ตาย นั้น ก็ยังไม่ถึงขนาดที่จะถือว่าเป็นการทารุณโหดร้ายยิ่งไปกว่าการกระทำโดยเจตนาให้ตายในทันที
การที่จำเลยกับพวกไล่ยิงผู้ตายหลายนัดจนผู้ตายล้มลง ยังจ่อยิงศีรษะผู้ตายใช้ขวานฟันอีกหลายที และร้องว่าเอาให้ตาย นั้น ก็ยังไม่ถึงขนาดที่จะถือว่าเป็นการทารุณโหดร้ายยิ่งไปกว่าการกระทำโดยเจตนาให้ตายในทันที
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 104/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฆ่าโดยไม่มีเจตนาไตร่ตรองและไม่เข้าข่ายทารุณโหดร้าย ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษา
เพียงแต่จำเลยกับพวกร่วมกันฆ่าผู้ตาย โดยไม่ปรากฏว่าร่วมคบคิดตระเตรียมการฆ่ามาก่อนแต่อย่างใด จะถือเอาเป็นการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนไม่ได้
การที่จำเลยกับพวกไล่ยิงผู้ตายหลายนัดจนผู้ตายล้มลง ยังจ่อยิงศีรษะผู้ตายใช้ขวานฟันอีกหลายที และร้องว่า เอาให้ตาย นั้น ก็ยังไม่ถึงขนาดที่จะถือว่าเป็นการทารุณโหดร้าย ยิ่งไปกว่าการกระทำโดยเจตนาให้ตายในทันที
การที่จำเลยกับพวกไล่ยิงผู้ตายหลายนัดจนผู้ตายล้มลง ยังจ่อยิงศีรษะผู้ตายใช้ขวานฟันอีกหลายที และร้องว่า เอาให้ตาย นั้น ก็ยังไม่ถึงขนาดที่จะถือว่าเป็นการทารุณโหดร้าย ยิ่งไปกว่าการกระทำโดยเจตนาให้ตายในทันที
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 103/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ข้อเท็จจริงเรื่องเขตควบคุมการแปรรูปไม้ เพื่อเอาผิดฐานครอบครองไม้แปรรูปโดยไม่ได้รับอนุญาต
โจทก์มิได้นำสืบ จึงฟังไม่ได้ว่าท้องที่ที่จำเลยมีไม้แปรรูป ไว้ ในครอบครองเป็นเขตควบคุมการแปรรูปไม้ จึงลงโทษจำเลย ฐานมีไม้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่รับอนุญาตไม่ได้ และ ริบไม้ของกลางไม่ได้ (อ้างนัยฎีกาที่ 1384/2494 และที่ 825/2498)